วันอาทิตย์ที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2565

[DCU] Riddle me this, (Joker/Batman)


“Riddle me this,”

By Cloudburst

— Joker / Batman —

The Batman (2022)

For Project : #AllBattinson2022 Theme ‘Riddle’

Warning : บรรยายฉากฆาตกรรม ความรุนแรง เลือดและอวัยวะภายใน 






III.

“สุดท้ายแล้วเขาจะหลุดออกมา” เสียงที่เปล่งท่ามกลางหยดน้ำกับลมกระพือใต้ปีกสีดำเหมือนคำสารภาพมากกว่าการคาดคะเนอนาคต มันคือความตระหนักถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้น เป็นความแน่นอนเสมือนเงาลามเลียโลกหลังพระอาทิตย์ตก

ที่หางตา อัลเฟรดนิ่งไปชั่วอึดใจ ก่อนขยับน้ำหนักลงบนไม้เท้า “อาร์คัมเพิ่งปรับปรุงระบบรักษาความปลอดภัย” พ่อบ้านให้เหตุผล “ทำไมคุณถึงเชื่อเช่นนั้น”

บรูซไม่ได้ละสายตาจากจอมอนิเตอร์เพื่อยืนยันกับอัลเฟรดว่ามันไม่ใช่แค่ความเชื่อแต่เป็นข้อเท็จจริง ปลายนิ้วหมุนปุ่มบังคับตามความเคยชิน เมื่อไม่อาจควานพบหลักฐานที่มีน้ำหนัก เขาบังคับตนเองกลับไปในอดีตที่บันทึกด้วยรหัส ฉายผ่านภาพย้อมสีฟ้า พยายามมองหาว่าตนพลาดอะไรไป

แย่ชะมัดเลยเนอะ

เขาทำลายความสนุกซะป่นปี้

บรูซจำครั้งแรกที่พบเหยื่อของจอห์น โด ได้

คืนนั้นฝนตก แต่มีวันใดบ้างที่ก็อทแธมปราศจากสายฝน และหากไม่ใช่หิมะ มันก็จะเป็นควันกับเถ้าถ่านระบายในหมอกหนาอึมครึม กระทั่งวันที่แสงแดดส่องต้องพื้น เงาก็มืดทึบราวภาพถมหมึก — คืนนั้นฝนตก แต่บรูซล่วงรู้จากความเย็นที่สัมผัสบนริมฝีปากว่าใกล้ถึงเวลาที่หยาดน้ำจะควบแน่นเป็นปุยหิมะ

เขาเคยเห็นการฆาตกรรมมาแล้ว เคยเป็นประจักษ์พยานตั้งแต่เริ่มต้นจนสิ้นสุด คดีฆาตกรรมของก็อทแธมเผยอหน้าอย่างใจกล้าบ้าบิ่นเบื้องหลังตัวเลขสถิติที่มีแต่พุ่งสูง ความจริงอันน่าหดหู่คือมันไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่ คนทั่วไปรู้ว่าอารมณ์ความนึกคิดผิดเพี้ยนได้ขนาดไหนในยามวิกาล เพียงฉับพลันที่ฟ้าหมดแสงทั้งเมืองก็เป็นเหมือนทุ่งสังหาร กลางคืนคือเวลาออกล่า และอาชญากรของเมืองนี้ก็ลือชื่อด้านความตะกละตะกลาม แต่เวลานั้นความกลัวไม่ได้กัดกินแต่เพียงพลเมืองหาเช้ากินค่ำอีกแล้ว มันเริ่มแว้งกัดพวกที่เรียกตัวเป็นผู้ล่าเสียเอง

กอร์ดอนเริ่มขอคำปรึกษาจากแบทแมนในช่วงเวลานี้เอง เมื่อสังเกตเห็นว่าพฤติกรรมของอาชญากรเปลี่ยนไป สิ่งที่เขานำมาคือบรรดาคดีมากมายที่ปิดไม่ลง ทั้งการฆาตกรรมเหี้ยมโหดที่เกิดได้กับคนแปลกหน้าบนท้องถนนไปจนถึงกลวิธีฆ่าที่ออกแบบอย่างแยบยลบนชั้นระฟ้า

บรูซเห็นสถานที่เกิดเหตุฆาตกรรมมาไม่น้อย แต่เขาไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้มาก่อน

“ใครก็ตามที่ทำเรื่องนี้จะต้อง…” กอร์ดอนหายใจติดขัด เขาเบือนหน้าออก ไม่มีเจ้าหน้าที่คนใดเดินตามเข้ามานอกจากเพื่อเก็บหลักฐาน สีหน้าของพวกเขาเขียวคล้ำ โศกสลด เดือดดาล และสะอิดสะเอียน “ต้องไม่ใช่มนุษย์

แบทแมนไม่ออกความเห็น เขาเดินเข้าไปในห้องนั่งเล่นที่หลายชั่วโมงก่อนคงจะครึกครื้นด้วยเสียงดนตรีกับความเริงรื่น มุมผนังประดับป้ายข้อความสุขสันต์วันเกิดอแมนด้ากับลูกโป่งหลากสีสัน เขาเห็นกระดาษห่อของขวัญ พื้นที่เปรอะด้วยริบบิ้นชิ้นเล็กชิ้นน้อยเหมือนเม็ดน้ำตาลบนไอศกรีม กลิ่นหวานเลี่ยนอวลอากาศ เคล้าคลอกับสนิมและของเหลวจากร่างกายมนุษย์ 

มีศพนั่งและนอนตามมุมต่าง ๆ ของห้อง บริเวณใบหน้าทั้งเด็กและผู้ใหญ่ถูกกรีดลอกออกมาสลับด้านระหว่างกล้ามเนื้อลายกับผิวหนังแล้ววางทาบกลับ ซี่ฟันขาวสะท้อนแสงเหมือนจัดแสดง ไม่มีปากของใครเว้นว่างจากชิ้นขนมเค้กที่ยัดเข้าไปจนอ้ากว้างหุบไม่ลงหรือวงโค้งซึ่งระบายเป็นรอยยิ้มโหยหวน

ดูจากลักษณะของผิวเนื้อและหลักฐานที่ตกกระจัดกระจาย พวกเขายังมีชีวิตขณะที่ฆาตกรสร้างสรรค์ฉากวิปริตนี้ขึ้น พวกเขาเห็นสิ่งที่จะเกิดกับตนเองและรับรู้สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นก่อนหมดลมหายใจ

ที่โต๊ะกลางห้อง เด็กมัดผมแกละนั่งคุดคู้ ใบหน้าจมลงบนถาดเค้ก เจ้าหน้าที่ค่อย ๆ ขยับร่างเย็นชืดออกมา แสงแฟลชสว่างวาบและจางหาย ทิ้งไว้แต่ความเย็นจัดรดราดโพรงอก ใบหน้าของเด็กหญิงถูกของมีคมวาดรอยยิ้มจากมุมปากสองข้างไปถึงหางตา รอยยิ้มทั้งสยายกว้างและลึกจนเห็นผิวกะโหลก นอกจากครีมกับเลือด น้ำตาแห้งเหือดรอบเบ้าที่ถลึงกว้างยิ่งกว่า

ครอบครัวหนึ่งที่แสนธรรมดา ไม่มีประวัติอาชญากรรม ไม่มีความสัมพันธ์ที่เชื่อมโยงกับกิจกรรมนอกกฎหมาย กลับกลายเป็นเครื่องมือจำอวดภาพงานเลี้ยงฉลองที่แสนสะเทือนขวัญ

มันเป็นคดีแรกแต่ไม่ใช่คดีสุดท้าย ฆาตกรต่อเนื่องไม่ใช่ตัวละครใหม่สำหรับก็อทแธม แต่อะไรบางอย่างบอกกับเขาว่าครั้งนี้แตกต่างจากที่เคยเป็นมา ทั้งวิธีถลกเนื้อเถือหนังวาดลายราวกับต้องการเล่าเรื่องตลกร้าย วิธีการเลือกเหยื่อที่ยังไม่อาจจำแนกแยกแยะ ฆาตกรคนนี้เหมือนพายุที่ไม่อาจคาดการณ์หรือควบคุม เหมือนสัตว์หิวโซหนังหุ้มกระดูกที่สวาปามไม่เลือกหน้า คล้ายกับเหยื่อทุกรายเพียงโชคร้ายเดินผ่านเส้นทางที่ภัยพิบัติกราดกราย

หลักฐานที่รวบรวมได้นำทางบรูซมาถึงอาคารร้างใกล้ท่าเรือเชอร์รี่ฮิลส์ ชายคนนั้นนั่งริมทางเท้าหน้าร้านขายของเก่าราวกับเฝ้ารอการปรากฏตัวของเขา มองจากข้างหลังบรูซเห็นศีรษะที่เส้นผมหลุดร่วงจนเผยผิวหนังขาวซีดผิดธรรมชาติ เส้นผมสีเขียวสว่างเหมือนเศษหญ้าแห้งกรังบนดินแล้งน้ำ เวลานั้นฝนหยุดตกแล้ว แต่ในท่อระบายยังส่งเสียงดังเหมือนคลื่นทะลักผ่านรอยแยกยิงฟัน เสื้อผ้าที่อีกฝ่ายสวมมีรอยเย็บปุปะ มันเปียกแนบร่างที่กำยำผิดกับรูปกายภายนอกซึ่งดูเปราะบางคล้ายคนป่วยเรื้อรัง 

บรูซเคยเห็นภาพของเขามาแล้วจากกล้องวงจรปิด ชายที่พิการแต่กำเนิดทำให้มีใบหน้าผิดรูป ริมฝีปากไม่อาจหุบรอยยิ้ม แต่เมื่อจอห์น โด เหลียวมองเข้ามาในความมืดที่แบทแมนยืนอยู่ บรูซกลับเห็นดวงตาสีฟ้าที่มีชีวิตชีวาอย่างที่สุด มันทอประกายคล้ายลางร้ายประเภทที่ผลิแสงวาบก่อนตามมาด้วยแรงกัมปนาท 

ไม่รู้ว่าสิ่งใดที่เขาควรนึกกังวลมากกว่าระหว่างดวงตาที่แสดงให้เห็นว่าจุดเลวร้ายที่สุดของอาการป่วยไข้ไม่ใช่ที่กายภาพ หรือการที่อีกฝ่ายล่วงรู้ถึงการมาอย่างที่ไม่เคยมีใครทำได้

รอยยิ้มที่มอบให้กันชวนยะเยือกยิ่งกว่าไอเย็นของเดือนธันวาคม

“ฉันรู้อยู่แล้วว่านายมีตัวตนจริง” ชายคนนั้นค่อย ๆ ลุกขึ้น “ฉันเฝ้าฝันถึงนายตลอดเวลา

ตำรวจยกปืนขึ้นเล็งและล้อมวงเข้าจับกุม แต่ฆาตกรผู้เคลือบรอยยิ้มแสยะกว้างไม่ได้หาทางถอยหนี เขามองมายังบรูซเหมือนมันเป็นภารกิจหนึ่งเดียวในชีวิต

“นายเป็นใคร” บรูซอดถามไม่ได้ ตลอดสัปดาห์ที่สูญเรี่ยวแรงและทรัพยากรไปกับการตามสืบพยานหลักฐาน สิ่งเดียวที่เขาหาไม่พบคือตัวตน ชื่อเรียกของฆาตกรคนนี้ไม่เคยซ้ำราวมายากลที่จะไม่หยิบขึ้นมาใช้มากกว่าหนึ่งหน

อีกฝ่ายเอียงคอเหมือนหุ่นไม้หลุดจากใย สีหน้าสายตาดูคล้ายเด็กพบของเล่นชิ้นใหม่ “อยากรู้แค่เรื่องนั้นเองเหรอ”

เขาโยนคำถามเช่นนักเล่นกลชวนทายมุกตลก บรูซเอ่ยเสียงเบา “เรื่องอื่นฉันรู้หมดแล้ว”

เสียงหัวเราะบาดหูดังพร้อมฟ้าผ่า กอร์ดอนตรงเข้าไปกระชากแขนของเขาใส่กุญแจมือ

“จริงเหรอ งั้นลองบอกมาว่าฉันเลือกผู้ร่วมสนุกจากอะไร”

“นายไม่ได้เลือก” บรูซตอบอย่างใจเย็น “นายแค่สุ่มเอาจากใครก็ตามที่…เข้าตา”

ดวงตาสีฟ้าขยายกว้างพร้อมกับวงปากฉีกโค้งแทบถึงใบหู เขาหัวเราะคิกคักเหมือนได้ยินเรื่องควรกล่าวในที่รโหฐาน “รู้หนึ่งเรื่อง สนิทสนมเพิ่มอีกหนึ่งขั้น นายชอบเกมนี้เหมือนกันไหม ฉันไม่เคยรู้สึกสนุกขนาดนี้มาก่อน…”

“การฆ่าคนไม่ควรเป็นเรื่องสนุก” บรูซกัดฟัน มือกำแน่นข้างตัวจนไร้ความรู้สึก ตำรวจโดยรอบที่ใกล้พอจะได้ยินต่างยืนขึง หน้าเผือดสี

“นั่นคือสิ่งที่นายบอกตัวเองเหรอ โอ้ ถ้างั้นมันควรจะเป็นอะไร การปลดปล่อย ล้างแค้น? ช่าย ความโกรธแบบนั้นแหละ เกิดอะไรขึ้นกันนะที่รัก อะไรที่ทำให้นายกลายเป็นตัวน่าชวนหัวที่สุดที่เคยพบ แต่ไม่ ไม่ ฉันไม่อยากรู้ขนาดนั้น นายไม่ต้องบอกหรอก แค่มีนายเป็นตัวเป็นตนตรงนี้ก็เพียงพอแล้ว”

คำพูดฟังไม่ได้ศัพท์ ไหล่สั่นเทิ้ม คอของเขาขยับกลั้นเสียงขบขันทว่าล้มเหลว ดวงตาโชนขึ้นเหมือนสะเก็ดไฟต้องลม เสียงหัวเราะเบิกบานแต่เย็นเสียดสันหลัง เป็นครั้งแรกที่บรูซรู้สึกว่าเกราะที่สวมกำบัง ป้องกัน ปิดกั้น ราวกับไร้ความหมาย 

“นี่คือสิ่งที่ฉันตามหา ฉันรู้ว่าจากนี้ไปนายจะไม่มีวันทำให้ฉันต้องเบื่อหน่าย นายทำให้เมืองนี้มีสีสัน แบทแมน ทำให้ฉันยอมตะเกียกตะกายตื่นขึ้นในวันถัดไป ต่อแต่นี้จะไม่มีสิ่งใดสำคัญเท่าเกมของเราอีก”

บรูซไม่รู้เลยว่าตนสะกดลมหายใจไปตั้งแต่เมื่อใด 

ถ้อยคำและวิธีการพูดของเขาเหมือนคำสัญญา เหมือนสิ่งที่กล่าวในโบสถ์ ต่อหน้าโลงหินกับกางเขนไม้ ใบหน้าที่บิดเบี้ยวเสียจนเรียกได้ว่าอัปลักษณ์นั้นเปิดเผยทุกอย่าง แต่บรูซกลับไม่กล้าแตะต้อง ไม่กล้าเก็บมาขบคิดตีความ เพราะมันจะหมายความว่าอย่างไรหากเขาเข้าใจความคิดที่ดิ้นรนเบื้องหลังดวงตาเรียวเล็กที่มีสีเหมือนบ่อกรด — ดวงตาเสมือนประตูเปิดกว้างที่หากก้าวผ่านแล้วจะไม่อาจกลับออกมาอย่างครบสมบูรณ์ 

มีอะไรบางอย่างอยู่เหนือการรับรู้ หรือไม่อาจรับรู้ได้หากไม่ยินยอมรับสิ่งเดียวกันกับเขา

“ถึงตาฉันถามกลับบ้าง” ชายไร้ชื่อพูดต่อ “นายรู้ได้ไงว่าเป็นฉัน

แบทแมนปิดปากเงียบ แต่ขยับข้อมือหยิบยื่นไพ่ใบหนึ่งขึ้นจากความว่างเปล่าเหมือนเล่นมายากล 

หนึ่งปีถัดมา ไพ่เปรอะเลือดใบเดียวกันนั้นยังอยู่ในมือของบรูซ และไม่ว่าพลิกสลับกลับข้างอย่างไรโฉมหน้าของตัวตลกก็จะคงอยู่ แม้กระทั่งขณะหลับตา ไม่ว่ายามหลับหรือตื่น เสียงหัวเราะแปร่งหูก็ยังติดตามบรูซไปทุกแห่งหน

ฤดูหนาวยังมาไม่ถึง แต่บรูซกลับลิ้มรสความเย็นเยียบที่ไหลรวมลงช่องท้องขณะจ้องมองการปฏิสัมพันธ์ระหว่างฆาตกรต่อเนื่องสองคนที่เขาส่งเข้าไปในอาร์คัมเองกับมือ

นายคือใคร

นั่นแหละคำถาม 

ลองทายปริศนากันหน่อย

อะไรเอ่ยยิ่งมีน้อย ยิ่งมากคุณค่า

“ถ้างั้นเขาก็หาเพื่อนใหม่ได้” อัลเฟรดเอ่ย “นี่คือสาเหตุที่ทำให้คุณระแวง”

“อาจจะ” บรูซกระซิบ 

เขาไม่ได้แก้ความเข้าใจผิดของพ่อบ้าน บรูซไม่ได้หวาดระแวงคนที่จมลึกอยู่ในโลกลวงตาและเติมเต็มความปรารถนาด้วยการอ้าแขนรับมิตรภาพในที่ซึ่งไม่สมควรแสวงหา คนที่เขาเกรงว่าอาร์คัมไม่สามารถควบคุมตัวได้นั้นคือเจ้าของเงาทาบบนกระจก ใครอีกคนหนึ่งที่ยื่นมุกตลกในคราบของปริศนาคำทาย

บรูซย้อนภาพกลับไปที่จุดเริ่มต้น

วันหนึ่งเรายิ่งใหญ่ วันถัดไปเป็นตัวตลก





II.

มรดกของเวย์นมีมากกว่าเลือดเนื้อและความเจ็บปวด อัลเฟรดพูดถูกเรื่องหนึ่ง เขาควรใส่ใจบริษัทกับสถานะทางอำนาจของตน เพราะเห็นได้ชัดว่ามันส่งผลกระทบอันเลวร้ายได้หากอยู่ผิดมือ

แต่การเบนความสนใจมายังทรัพย์สินของตระกูลทั้งที่ตลอดมาเอาแต่เก็บตัวอยู่บนยอดหอคอยนั้นเรียกสายตาเพ่งเล็งอันไม่พึงปรารถนา บรูซไม่อยากให้ผู้คนรู้ว่าเวย์นเอ็นเตอร์ไพรซ์เริ่มมีความสำคัญกับเขามากขนาดไหน เขาจึงเริ่มต้นใหม่ทีละก้าว โดยใช้ข้ออ้างของการเป็นหนึ่งในผู้เกี่ยวข้องโครงการปฏิรูปเมืองที่นอกจากจะล้มเหลวแล้วยังสร้างบุคคลเช่นริดเลอร์ขึ้นมา เขาเริ่มเข้าประชุมบริษัท เรียกดูรายงานผลประกอบการและรายงานสอบบัญชี รวมถึงยอมรับการติดต่อจากนายกเทศมนตรีคนใหม่

แน่นอนว่าความเปลี่ยนแปลงนี้ขัดกับผลประโยชน์ของคนบางกลุ่ม บรูซรู้ว่าบริษัทที่ครองตลาดแทบทุกอุตสาหกรรมไม่มีทางปราศจากช่องโหว่ให้กอบโกย โครงการปฏิรูปเมืองคือตัวอย่างที่ดีที่สุด มีคนในเวย์นเอ็นเตอร์ไพรซ์ดูแลโครงการนี้แต่กลับปล่อยให้มาเฟียกับนักการเมืองตัดแบ่งไปกินอย่างง่ายดายเหมือนแบ่งเค้กสักก้อน บรูซเริ่มทำรายชื่อ วางแผนจัดระเบียบองค์กรใหม่ร่วมกับคนที่ตรวจสอบมาแล้วว่าไม่มีประวัติทุจริต ในขณะเดียวกันยังสร้างบุคลิกที่จะทำให้ฝ่ายตรงข้ามประมาท บุคลิกที่สังคมคาดหวังที่จะเห็นจากเจ้าชายเมืองผู้มีอภิสิทธิ์เหนือใครและไม่รู้จักความลำเค็ญของชีวิต

บุคลิกที่จะผลักบรูซ เวย์น ให้ห่างไกลจากศาลเตี้ยของเมือง

“คุณทำท่าเหมือนการไปงานเลี้ยงการกุศลคือการเดินในท่อระบายน้ำ” อัลเฟรดวิจารณ์ “ทั้งที่คุณดูกระตือรือร้นกว่านี้มากตอนเดินในทางระบายน้ำใต้เมือง”

“ตอนนั้นผมไม่มีทางเลือก” บรูซติดกระดุมข้อมือล้มเหลวอีกครั้ง เขาพ่นลมหายใจ

อัลเฟรดส่ายหน้าก่อนก้าวเข้ามาช่วย “เวลานี้คุณเลือกได้แต่กลับไม่เลือก”

บรูซส่งสายตานิ่ง “ผมต้องไปงานนี้ อัลเฟรด”

“ผมรู้ แต่คุณไม่จำเป็นต้องซ่อนตัวหลังหน้ากาก ให้เวลาตัวเองได้พักหายใจบ้าง มาสเตอร์บรูซ”

กระดุมทองเหลืองจ้องกลับมายามเขาหลุบตาลง บรูซเมินถ้อยคำของอัลเฟรดด้วยการเดินไปที่ลิฟต์ เขามีงานที่ต้องทำ และมันก็ไม่จำเป็นว่าเขาจะต้องชอบ

บรูซยินดีกับการเปียกปอนใต้สายฝนมากกว่าการเข้าสังคมผู้ลากมากดีและเศรษฐีของก็อทแธม เขาไม่แยแสเลยสักนิดว่าใครจะมองอย่างไรหรือจะเกิดอะไรขึ้นกับตนเอง แต่บรูซก็ตระหนักว่าไม่สมควรเพิกเฉยขณะที่ยังถืออำนาจมากขนาดนี้ในมือ หากร่วมมือกันเรายังสามารถทำอะไรได้อีกมาก คำพูดของรีอัลที่เขามองว่าไร้น้ำหนักกลับมาเย้ยหยัน เขาคิดว่าแบทแมนคือคำตอบสำหรับความเสื่อมโทรมของก็อทแธม แต่ความจริงแล้ว บรูซ เวย์น ต่างหากคือหัวใจของทุกอย่าง

ทว่าเขายังไม่สามารถทิ้งหน้ากากกับเกราะได้ ยังมีอะไรอีกมากที่กฎหมายเอื้อมไม่ถึง ดังนั้นหากต้องล้มล้างระบบที่ฉกฉวยโอกาสของผู้คนจากทั้งสองทาง เขาก็จะทำ และเพื่อปกปิดไม่ให้ใครตั้งคำถามว่าทำไมบรูซ เวย์น จึงมีรอยช้ำน่าสงสัยทั่วร่างหรือมักเลี่ยงงานสังคมกลางคืน เขาก็จะต้องพาตัวเองเข้าไปอยู่ใกล้ชิดกับคนที่สามารถสาดภาพจำว่าเขาไม่ได้แตกต่างไปจากพวกผู้ดีคนอื่น ไม่ได้แปลกแยกหรือน่าสงสัยเกินกว่าที่ช่องข่าวซุบซิบในก็อทแธมกาเซ็ตต์ระบุไว้

และซิลเวีย เซนต์ คลาวด์ คือคนที่ผ่านเกณฑ์ทุกอย่าง เธอมีเสน่ห์ต่อคนหมู่มาก มีชื่อเสียงในแง่การใช้ชีวิตอย่างฟู่ฟ่าบ้าบิ่น เธอดึงดูดความสนใจแบบที่สามารถกลบข่าวลือแปลก ๆ ของบรูซ เวย์น ได้ 

หญิงสาวดีดนิ้ว แล้วเริ่มปริศนาที่ล้อเลียนจากคดีใหญ่เมื่อปลายปีก่อน “อะไรเอ่ยเหาะได้แต่ไร้ปีก ร้องไห้ได้แต่ไร้ดวงตา ไม่ว่าไปที่แห่งใดความมืดก็ติดตามไล่ทัน”

“แบทแมนเหรอ” ใครสักคนในวงสนทนาเอ่ย

“นายเคยเห็นเขาร้องไห้หรือไง แล้วรู้ได้ไงว่าเขาไม่มีปีก

“ไม่เอาน่า เขาก็แค่คนบ้าแต่งตัวเป็นค้างคาวเท่านั้นแหละ”

บรูซยกแชมเปญขึ้นดื่ม ปล่อยให้เสียงพูดคุยห้อมล้อมตัว หัวเราะตามน้ำ ทำตัวไหลตามกระแส เขาคิดว่าตนแสดงได้สมบทบาททีเดียว

จนกระทั่งเมื่อได้ประสานสายตากับซิลเวีย

ในจังหวะเวลาที่เหลือเพียงพวกเขาสองคน ซิลเวียยกขาขึ้นพาดบนเบาะโซฟายาวอย่างไม่สนมารยาท จิบเครื่องดื่ม มองเขาอย่างพิจารณาและไม่แม้แต่จะแอบซ่อน “คุณรู้คำตอบหรือเปล่า บรูซ”

บรูซเลิกคิ้ว “ปริศนานั่นเหรอ”

“ใช่”

บรูซทำท่านึก เตรียมจะสวมรอยยิ้มขอลุแก่โทษและเปิดปากว่าเขาไม่ถนัดการเล่นทายปริศนา

แต่ลมหายใจที่กักเอาไว้นับตั้งแต่เดินเข้ามาในงานกลับผ่อนออก ความรู้สึกที่เหมือนกับลูกโป่งกลางแสงแดดจ้าค่อย ๆ ซีดจางและหมดแรงลมพยุงตัว ความเหนื่อยล้าชนิดที่ถ่วงจิตใจมากกว่ากล้ามเนื้อทำให้เขาหยุดชะงัก มองสายตาของซิลเวียให้ชัดเจนอีกครั้งก่อนพูดว่า “ก้อนเมฆ”

หญิงสาวยิ้ม “ว่าแล้วเชียว คุณไม่ใช่แค่เจ้าชายอมทุกข์ไม่เอาการเอางานอย่างที่คนอื่นคิด”

“ผมเคยเจอคำถามนี้มาก่อน”

“ไม่จริงหรอก คุณรู้ ฉันเห็นคุณคิดออก” ซิลเวียชี้

บรูซไม่ได้พยายามกลบความสงสัยตอนกล่าวถาม “ผมพลาดตรงไหน”

“เมื่อกี้คุณไม่ได้พลาด เป็นก่อนหน้านั้นต่างหาก” ซิลเวียยกแก้วของตนขึ้น โน้มตัวมาข้างหน้าก่อนพูดเสียงเบา “พวกเราในที่นี้ต่างบริจาคเงินให้เมือง ทำเหมือนกับว่ามันเป็นการเสียสละแสนยิ่งใหญ่ทั้งที่แทบไม่ทำให้ขนหน้าแข้งร่วง ทำเหมือนกับว่ามันเป็นเรื่องสำคัญคอขาดบาดตาย แต่ไม่มีใครเลย ไม่มีใครเดินเข้าไปหาเบลล่า รีอัล แล้วถามความคืบหน้าหรือซักไซ้ว่าเอาเงินไปลงกับอะไรแล้วบ้าง ไม่มีใครสน นอกจากคุณ ตรงนั้นแหละที่คุณพลาด บรูซ คุณสนใจ

หญิงสาวกลับไปเอนตัวพิงพนักเหมือนแมวคร้าน ชุดราตรีสีเงินสะท้อนแสงระยิบระยับ บรูซเบนสายตาออก ดื่มแชมเปญโดยไม่รู้สึกถึงรสชาติ แต่ความอึดอัดที่เคยมีหายไปแล้ว

“พวกเขาคงชอบน่าดู” ซิลเวียเปรยขึ้น

บรูซมองตามสายตาของเธอไปยังกลุ่มนักข่าวที่ได้รับเชิญมางานและลอบมองมาทางพวกเขาเป็นระยะ

“เจ้าหญิงกับเจ้าชายของก็อทแธมแสดงท่าทีสนิทสนมกัน เอาไว้ใช้บังหน้าอะไรก็ตามที่คุณกำลังทำได้พอดี” ซิลเวียเหลียวกลับมาส่งสายตาที่คล้ายกับว่ากำลังสนุก “อะไรเอ่ย เมื่อมีไว้ในครอบครองแล้วมักอยากแบ่งปัน แต่เมื่อแบ่งปันก็จะสูญเสียการครอบครอง”

บรูซขมวดคิ้ว “ความลับ”

หญิงสาวพยักหน้า สะบัดผมบลอนด์ยาวที่พาดไหล่ “ให้เป็นความลับระหว่างเรา คุณอยากจะไล่กวดทวงเรื่องโครงการกับใครต่อใครก็ทำไป จะไปนั่งทอดอารมณ์บูดจนกว่างานจะเลิกหรือหนีกลับก่อนก็ได้ ส่วนฉันจะทำตัวเฉิดฉายดึงพวกเขาไว้ไม่ให้วอแวคุณเอง”

เป็นข้อเสนอน่าสนใจ ทว่าบรูซนึกอย่างไรก็นึกไม่ออกจึงโพล่งถาม “แล้วคุณจะได้อะไรจากเรื่องนี้”

ซิลเวียเอียงคอ และในวินาทีที่แสนประหลาดนั้น ห้องจัดเลี้ยงที่สว่างไสวด้วยสีอำพันกับคริสตัลก็ซ้อนทับกับสีสันเย็นชืดของเหล็กเขียวคล้ำกับผนังสีน้ำเงิน ผิวที่ขรุขระด้วยรอยแผลเป็นกับดวงตาสว่างโพลงเช่นไฟราตรี 

รอยยิ้มของซิลเวียหวานเชื่อม “ฉันชอบการเป็นจุดสนใจอยู่แล้ว อีกอย่างก็คือคุณดูน่าสนุกกว่าคนพวกนี้ตั้งเยอะ” 

บรูซสะอึก เขาได้ยินเสียงหัวเราะดังลอดอุโมงค์ความทรงจำ มันคลอเคลียข้างหู กรีดผิวเหมือนเล็บมือยาวแหลมเกลี่ยผ่าน แต่พลอดเบาเหมือนคนรักกระซิบกล่อม ทำไมล่ะ นายน่าสนุกกว่าตั้งเยอะ

บรูซซ่อนความรู้สึกสั่นไหวไว้ใต้ใบหน้าเฉยเมย “ตกลง”

“คุณนี่แปลกจริง ๆ” ซิลเวียดูขบขัน แต่ความสงสัยยังไม่เลือนไปจากดวงตา “ทำไมต้องหลบซ่อน ในเมื่อการสร้างเรื่องง่ายกว่าเยอะ”

บรูซเพียงรับคำในลำคอ ซิลเวียเองก็คงไม่คาดหวังว่าจะได้รับคำตอบ แต่คำถามของเธอเดินเคียงคู่เขาไปจนถึงสถานีรถไฟร้าง ในโถงอันชื้นแฉะและเต็มไปด้วยค้างคาว

มรดกของเวย์นมีมากกว่าเลือดเนื้อและความเจ็บปวด มันซึมลึกอยู่ในรากเหง้าของปัญหาอาชญากรรมเมืองก็อทแธม ข้อเท็จจริงนี้กระทบใจเกินกว่าที่บรูซจะกล้ายอมรับ เพราะนอกจากมรดกเลือดแล้ว แบทแมนก็อาจจะเป็นส่วนหนึ่งของปัญหาเหล่านี้ด้วย

บรูซรื้อแฟ้มคดีริดเลอร์ออกมาจากชั้นวาง เปิดอ่านตั้งแต่หน้าแรกถึงหน้าสุดท้าย มองภาพเด็กชายคนหนึ่งในกลุ่มร้องประสานเสียง แว่นตากรอบใหญ่สีใสสะดุดตาท่ามกลางคลื่นเงาคน มองตัวอักษรเบียดแน่นอย่างเหม่อลอย ปล่อยปลายนิ้วปัดผ่านขอบกระดาษ ก่อนดึงมือออกเพื่อมองหยดเลือดซึมผ่านรอยบาด

เหมือนทุกคราวที่ไม่อาจทำความเข้าใจเรื่องราว บรูซย้อนกลับไปยังจุดเริ่มต้น

ใกล้ถึงวันครบรอบของเราแล้วนี่

มีบางสิ่งสะกิดใจ เหมือนรอยคันที่มือเอื้อมไม่ถึง เขาหลงลืมอะไรบางอย่างหรืออาจจะปล่อยบางสิ่งคลาดสายตา อะไรบางอย่างที่สำคัญและอาจนำมาซึ่งความล้มเหลว

บรูซเพ่งมองจนถึงบทสรุปแล้วย้อนกลับ นิ่วหน้าเมื่อเสียงหัวเราะชวนสะอิดสะเอียนดังผ่านลำโพง แต่เขาไม่เคยละสายตาเวลาอยู่ใกล้ชายคนนี้ ไม่มีปริศนาใดลึกลับเท่ากับจอห์น โด ตลอดเวลาที่มองและพินิจเพื่อหาเป้าหมาย จุดประสงค์ หรือประวัติใดก็ตามที่ซุกซ่อนบนรอยหยักของเนื้อหนัง บรูซพบแต่เพียงอารมณ์ขันกับดวงตาอันเบิกโพลงเจิดจ้ากว่าใครในก็อทแธม 

เขารู้ว่าการเยี่ยมเยียนครั้งนั้นเสียเที่ยวเปล่า เขารู้ว่าจะไม่ได้อะไรกลับมา แต่ด้วยความกลัว ความรู้สึกปฏิเสธต่อสิ่งที่ริดเลอร์แสดงให้เห็น เขาดันทุรังกลับไปพบบุคคลอันตรายยิ่งกว่าเพียงเพื่อรับคำตอบแสกหน้าว่าตนไม่มีอะไรต่างจากผู้ที่กำลังก่อความหายนะกับเมือง

ฉันรู้ว่าเขาเป็นใคร

ทำไมล่ะ นายน่าสนุกกว่าตั้งเยอะ

บรูซมองทั้งความรู้สึกเย็นเยียบกัดกินไขสันหลัง ขณะที่ดวงตาสีฟ้าระริกจ้องกลับมาราวกับเห็นทะลุถึงเนื้อในสีดำหลังหน้ากาก





I.

ห้องเยี่ยมของอาร์คัมเต็มไปด้วยกลิ่นสนิมพูนพอกตามซอกหลืบและเหลื่อมเงาสีเขียวคราม ความเก่าครึเมียงมองผ่านกล้องวงจรทั้งหางตาและไหล่ตก ไม่มีส่วนใดสดใสหรือมืดพอ ทุกอย่างเหมือนภาพเบลอใต้น้ำในบ่อจับตะไคร่ สภาพของมันคือหลักฐานจากความล้มเหลว แต่บรูซมีแผนการเตรียมไว้แล้ว ใครก็ตามที่ถูกส่งมาที่นี่จะต้องได้รับการรักษาอย่างเต็มรูปแบบ และจะไม่มีใครได้ออกไปหากไม่ได้รับการยืนยันว่าพวกเขาจะไม่เป็นอันตรายต่อตนเองหรือผู้อื่น

ทว่าทั้งหมดคงไร้ความหมายหากกำแพงโรงพยาบาลไม่สามารถกันพวกเขาให้อยู่ที่นี่

เสียงออดดังลั่นก่อนที่ฉากกั้นจะยกขึ้น บรูซยืนรอในความมืด ไม่ต้องการให้กล้องวงจรปิดจับภาพเค้าโครงหน้าไปได้มากกว่าเท่าที่มี เขามองผ่านกระจก และสบกับดวงตาอีกคู่หนึ่งทันทีที่ฉากเลื่อนสูงเหนือศีรษะ ชายไร้ชื่อเหยียดยิ้มเสมอเวลาจ้องมาที่เขา 

บรูซเก็บงำความอึดอัด รอคอยจนกระทั่งผู้คุมปิดประตูแล้วเดินจากไป

“นึกว่าลืมกันเสียแล้ว” จอห์น โด เป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นก่อน เขาเป็นผู้เริ่มเสมอเหมือนกับว่าไม่อาจหยุดตัวเองได้ แต่บรูซคงไม่นึกแปลกใจหากความสามารถในการควบคุมตัวเองไม่ใช่สิ่งที่อีกฝ่ายถนัดหรือกระทั่งใส่ใจ 

ชายผู้สวมเครื่องหน้าพิกลพิการเอียงคอ ดวงตาแดงช้ำ รอยยิ้มสยายเหมือนลางสังหรณ์ร้ายจากอีกา “ฉันเห็นนายในข่าว มีเพื่อนใหม่เพิ่มขึ้นมาเยอะเชียว แต่นั่นคงเป็นเรื่องที่เลี่ยงไม่ได้สำหรับก็อทแธม เหมือนที่ว่าพอน้ำลด ตอก็ผุด…”

“นายก็ด้วย” บรูซเอ่ยขัด เขาไม่หลงกลแล้วไหลไปตามหัวข้อสนทนาที่อีกฝ่ายชักจูง ครั้งนี้เขาจะไม่ยอมเสียเวลาเปล่า 

“เพื่อนใหม่ของฉันน่ะเหรอ” จอห์น โด หัวเราะคิกคัก โบกมือไปทางกล้อง “พวกน่าเบื่อนี่ก็แค่ของเล่นสนุกชั่วครั้งชั่วคราว ไม่เหมือนกับนาย”

“แล้วริดเลอร์ล่ะ” บรูซจ้องทุกอิริยาบทของชายหลังกระจก “นึกว่าพวกนายเป็นเพื่อนกันแล้วเสียอีก”

“โอ้ นายแอบดูอย่างนั้นเหรอ แบท เด็กไม่ดี” ชายผิวซีดจุ๊ปาก “หรือว่าใครแถวนี้รู้สึกอิจฉา”

บรูซหรี่ตาลง อารมณ์แผดร้อนบิดม้วนในช่องท้อง ขัดแย้งกับเหงื่อเย็นที่ซึมผ่านแผ่นหลัง “งั้นนายก็แค่พยายามจูงจมูกเขา”

เขาไม่ควรยื่นแฟ้มคดีของริดเลอร์ให้อีกฝ่ายเลย มันทำให้จอห์น โด รู้ข้อมูลเกี่ยวกับเพื่อนข้างห้องขังมากเกินไป บรูซเคยเห็นวิธีที่อีกฝ่ายกระทำต่อตำรวจควบคุมตัว กับเจ้าหน้าที่อาร์คัม หรือแม้กระทั่งกับตัวเขาเอง — เพียงแค่คำพูด สายตา ทุกอย่างเป็นสื่อนำให้หลุดมือจากบังเหียนควบคุม ชายคนนี้เข้าใจธรรมชาติของมนุษย์ แต่ส่วนที่อันตรายกว่าคือเขาไม่ไยดีว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับสภาพจิตใจภายหลังการชำแหละแกะเกาออกมาแผ่วาง

ริมฝีปากผิดรูปโค้งงอเหมือนใบมีด น้ำเสียงน้อยเนื้อต่ำใจสวนทางกับสายตาระริกวาวราวกับพลุ “เห็นฉันเป็นคนแบบนั้นเหรอเนี่ย”

“เขาถามว่านายเป็นใคร”

“ช่าย ถามเหมือนกับนายเลย” จอห์น โด เลียริมฝีปาก “แต่ฉันก็บอกไปแล้วไม่ใช่หรือไง อะไรเอ่ยยิ่งมีน้อย ยิ่งมากคุณค่า” 

“นั่นไม่ใช่คำตอบ”

“แล้วถ้านายเป็นฉัน นายจะตอบว่าอะไร” เขาหัวเราะ

คำถามนั้นทำให้บรูซหยุดคิด ก่อนพบว่าไม่มีคำตอบใดที่เขาอยากแบ่งปัน เพราะมันคงไม่ต่างจากการยื่นมีด เขาก้าวเข้าไปใกล้กระจกและเลือกคำถามที่เขาอยากตอบ “เพื่อน”

นักโทษอีกฟากหนึ่งเลิกคิ้ว รอยยิ้มของเขาไม่ได้คลายหาย บรูซพูดต่อ

“เงิน เวลา... มันอาจเป็นอะไรก็ได้”

จอห์น โด แหงนคอหัวเราะลั่น “ตลกดีใช่ไหมล่ะ หมอนั่นพูดออกมาเองโดยที่ฉันไม่ต้องลงแรงอะไรเลย!”

“นั่นคือสาเหตุที่ฉันมา” บรูซพูดระหว่างสังเกตทุกรายละเอียดบนใบหน้าที่ยับเยินด้วยความคลุ้มคลั่ง “นายซ่อนอะไรบางอย่าง”

อีกฝ่ายยกมือทาบบนอกซ้าย “รู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่ง” 

เขาแหงนคอ ดวงตาวาวยามแสงไฟตกสะท้อน ขณะที่ความคิดของบรูซเคลื่อนไหวอยู่ตลอด จอห์น โด ไม่เคยขยับเขยื้อนไปไหน เขาจดจ้อง หยุดตรึงกับที่ การตกอยู่ภายใต้สายตาคู่นั้นน่าอึดอัดเกินอธิบาย เหมือนสำหรับชายคนนี้แล้ว เขาเป็นจุดดำบนผืนผ้าขาว แต่จุดดำที่ว่ากลับไม่ใช่รอยตำหนิที่คนทั่วไประคายใจจนไม่อาจละสายตา

บรูซสะกดความรู้สึกทั้งหมดนั้นลง เขาไม่อยากคิดหาเหตุผลว่าทำไม อะไรเป็นตัวจุดประกาย

หากไม่ถูกคล้องด้วยโซ่ตรวน จอห์น โด คงกางแขน เหมือนนักแสดงโอบรับความสนใจจากผู้ชม “ฉันไม่เคยหลบซ่อน ไม่เคยอย่างจงใจล่ะนะ เห็นได้ชัดอยู่แล้วว่าระหว่างเราใครเป็นคนเปิดเผย ส่วนใครเก็บกด”

“เดี๋ยวก็รู้” บรูซพูด

จอห์น โด เลิกคิ้วสูง สีหน้าแววตาใคร่ครวญ ก่อนที่มุมปากจะกระตุกด้วยความตื่นเต้น  “นายทำอะไร”

นายขโมยบางอย่าง”

“แล้วมันอะไรล่ะ ของที่ว่านั่น” ชายวิกลจริตยิ้มยิงฟัน

“คราวก่อน ตอนที่ฉันหยิบแฟ้มริดเลอร์คืน” บรูซกลืนความละอายลงคอ การมาพบจอห์น โด ครั้งนั้นไม่ใช่สิ่งใดเลยนอกจากความประมาทเลินเล่อ “มีลวดเสียบกระดาษหายไป”

“ฮ่า! นานเหมือนกันนะกว่าจะนึกได้” อีกฝ่ายแผดเสียงหัวเราะ แต่ต่อมากลับเขม้นตา กล่าวแผ่วเบาแทบกระซิบ “ไม่ นายไม่ได้นึกออก เดาว่าคงบันทึกบทสนทนาพวกเราเอาไว้สิท่า สงสัยต้องถอนคำพูดที่ว่านายมักจะนำหน้าคนอื่นหลายก้าว”

บรูซไม่ตอบ การปล่อยให้จอห์น โด รู้มากเกินไปไม่ใช่เรื่องดี เขาจินตนาการออกว่าอีกฝ่ายสามารถใช้ทุกอย่างแม้สิ่งที่ดูไร้พิษสงให้เป็นอาวุธถึงตาย

เขาจะไม่ยอมพลาดซ้ำสอง

ประตูฝั่งนักโทษเปิดออก พัศดีสองคนเดินเข้ามา คนหนึ่งที่บรูซรู้จักสบตาแล้วส่ายหน้า พวกเขาไม่พบอะไรในห้องขังของจอห์น โด เหลือแต่เพียงการค้นตัวแล้ว และหากยังหาไม่พบ บางทีพัศดีอาจพลาดอะไรไป บางทีจอห์น โด อาจกลืนลวดลงท้องระหว่างทางที่เดินมา หรือเขาอาจซ่อนไว้ในห้องอื่น มีความเป็นไปได้สารพัดในการสร้างโอกาสหลบหนี

จอห์น โด ไม่สนใจว่าใครเข้ามา ทั้งใบหน้าเหมือนแช่แข็งในกาลเวลา ไม่ขยับสายตาจากเขาเลยแม้ตอนถูกจับค้นตัว “นายกำลังรอดูว่าพวกเขาจะพบอะไรหรือเปล่า” เสียงหัวเราะแหลมลึกดังก้องผนังเหมือนสะท้อนออกมาจากหุบเหว “แย่หน่อยนะที่ในนี้นายแตะต้องฉันไม่ได้”

“ถ้าหาไม่เจอจะทำยังไงดีล่ะ นายจะบุกเข้ามาค้นเองหรือก้มคองอหัวให้กับกฎ” ดวงตาสีเขียวกลอกมองเพดาน ทั้งที่พัศดีจับกระชากไปมา เขาดูไม่เดือดเนื้อร้อนใจ ในภวังค์ย้ำคิดมีเพียงตนเองกับคู่สนทนา

พัศดีทั้งสองถอยออก ท่าทางสับสนและกังวลสลับสีบนใบหน้า เวลาเดียวกันนี้ความเครียดเริ่มกัดกินบรูซจากภายใน และเมื่อดวงตาจอห์น โด ตวัดกลับมาหาอีกครั้ง รอยยิ้มแยกเขี้ยวยิ่งคุกคามอย่างฉลามได้กลิ่นเลือด “พวกหมอเอาแต่ถามว่ามีเรื่องอะไรน่าหัวเราะนักหนา แหม ก็ดูนายสิ นายโคตรตลกเวลาพยายามชิงไหวชิงพริบกับฉัน”

บรูซซ่อนมือที่กำแน่นหลังผ้าคลุม มองดูจอห์น โด ขยับเข้ามาใกล้ที่สุดเท่าที่จะทำได้ ชายผู้ถูกตรวนแนบหน้าผากกับกระจก ทำราวแก้วใสคือหน้ากากดำและถ้อยคำพลอดบอกรู้กันเพียงสอง ชั่วขณะนั้นดวงตาแวววาว มองแต่เหมือนไม่มอง มัดกล้ามกับรอยนูนกระดูกขยับไหวด้วยท่าทางประหลาด เหมือนสุนัขเรื้อนที่เห็นตามข้างถนนก็อทแธม ลิ้นแลบเลียริมฝีปากคล้ายสัมผัสอากาศและอะไรอื่นที่แขวนลอยระหว่างพวกเขา

“ฉันจะได้ออกไป” จอห์น โด ประกาศ “เพราะอะไรรู้ไหม เพราะนายอยู่ข้างนอกนั่น เล่นสนุกอยู่กับพวกมัน ไม่ยุติธรรมเลย ฉันไม่มีวันยอมให้นายจับคู่เต้นรำกับใครนอกจากฉัน แบทแมน”

ในความเงียบงันราวทุกสิ่งพากันกลั้นหายใจ บรูซเชื่อเขา แต่จะไม่มีวันยอมรับออกมา เพราะไม่ว่าจะเชื่อหรือไม่ จะหวาดหวั่นอย่างไร ทุกอย่างก็จะไปบรรจบบนเส้นทางเดียว ยับยั้งอาชญากรรม ถอนรากถอนโคนมันแม้ต้องแลกด้วยทุกสิ่งที่มี






.

กลิ่นสาบไหม้ลอยคลุ้งพร้อมเปลวควันและสะเก็ดไฟ เสียงเหล็กหลอมและเนื้อไม้ดังเปาะรับไฟโหมท่วมโกดังเก็บสินค้าในท่าเรือร้าง ป้ายเก่าซีดยกสูงขีดเขียนด้วยสีเขียวเรืองว่าสุขสันต์วันครบรอบ! ของเล่นพลาสติกตกกระจัดกระจายคล้ายภาพซ้อนของคดีแรกที่ทำให้บรูซรู้จักฆาตกรไร้นาม ตุ๊กตา ชิ้นส่วนตัวต่อ กล่องดนตรี เหมือนเกล็ดน้ำตาลบนสายไหมสีส้มแดง และท่ามกลางลานความวินาศนี้ จอห์น โด กระโดดร้องเล่นสลับเท้า หัวเราะร่าเหมือนเดินเล่นในสวนสนุก

บรูซทรุดตัวบนพื้น ถอดถุงมือก่อนแตะบนลำคอเหยื่อคนสุดท้ายและพบกับผิวเย็นชืดผิดอากาศร้อนระอุ ลมหายใจของเขาติดขัด รอบดวงตา ลำคอและในอกแสบร้อน ลุกไหม้ไปพร้อมกับกองศพที่แข็งค้างทั้งรอยยิ้ม ชายหนุ่มเงยหน้า มองหลังคาคุเพลิงทยอยร่วงลงเหมือนดาวตก ดวงตาข้างหนึ่งเคลือบรอยเลือดแห้งกรังและลืมไม่ขึ้น ดวงตาอีกข้างพร่ามัว แสบร้อนจนต้องหรี่ลง เหงื่อและน้ำตาไหลรวมจนแยกไม่ออก มือของเขาสั่นเมื่อผละจากร่างที่นอนแน่นิ่ง ปลายนิ้วจรดปลายเท้ามึนชาสิ้นน้ำหนัก

จอห์น โด กระโดดมาตรงหน้าบรูซแล้วย่อเข่าลง “รู้คำตอบหรือยังที่รัก”

กิริยากับคำถามปราศจากที่มาที่ไปทำให้บรูซตั้งตัวไม่ติด แต่ความงุนงงสูญสลายไปอย่างรวดเร็วเมื่อการกระทำของอีกฝ่ายปรากฏผลเป็นรสสนิมและเนื้อไหม้ใต้กลิ่นขี้เถ้า

“อย่ามองกันแบบนั้นสิ มันเบี่ยงเบนความตั้งใจแรกเริ่มที่ทำให้ฉันลงทุนลงแรงทั้งหมดนี้” จอห์น โด กวาดมือไปรอบ ๆ

บางสิ่งที่ร้อนและน่ารังเกียจบิดม้วนภายในกะโหลก ความปรารถนาจะทำลายท่วมท้นจนบรูซแทบหายใจไม่ออก เขาเอื้อมมือ หวังจะบีบลำคอขาวซีด แต่จอห์น โด กลับคว้ามือของเขาไว้ นุ่มนวลเหมือนจับจูงคู่ควงสู่ลานเต้นรำ

“แกต้องการอะไร” บรูซถามเสียงสั่น

จอห์น โด โพล่งเสียงหัวเราะ “คำถามที่เราค้างคากันไว้ ติ๊กตอก ติ๊กตอก อะไรเอ่ยยิ่งมีน้อย ยิ่งมากคุณค่า”

บรูซถลึงตา กระชากมือกลับอย่างไร้ผล ชายตรงหน้าทำเหมือนไม่เห็นแล้วยังเอ่ยต่อ

“ไม่นานมานี้ฉันนึกได้ว่านั่นเป็นคำถามที่ดี ทำให้เก็บไปคิด ฝันถึงเสียด้วย! ทุกคนมีชื่อของตัวเองแล้วฉันก็ควรจะมีบ้างสิ แต่ชื่อไหนดีล่ะ อะไรที่เหมาะ จากนั้นฉันก็คิดถึงวันแรกที่เราเจอกัน ตอนที่ฉันถามว่านายรู้ได้ยังไงว่าคนที่จัดปาร์ตี้ละเลงเลือดนั่นคือฉัน นายก็มอบบางอย่างมาให้…”

“...นายถามว่าฉันเป็นใคร” 

ราวกับเล่นมายากล ไพ่ใบหนึ่งปรากฏบนมืออีกข้างของเขา ไพ่ไร้ตัวเลขกับภาพซ้อนของรอยยิ้มฉีกกว้างที่ทั้งตั้งตรงและกลับหัว

เสียงหัวเราะก้องประสานกับอาคารที่กำลังถล่ม บทเพลงที่ควรสวดสรรเสริญในโบสถ์กลับเปล่งร้องใต้เปลวเพลิงและเหนือซากศพ “อะไรเอ่ยยิ่งมีน้อย ยิ่งมากคุณค่า

บรูซก้มลงมองไพ่โจ๊กเกอร์เฉลยคำตอบทั้งรอยยิ้มเหี้ยมเกรียม



วันอาทิตย์ที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2565

[Jujutsu] Sum of your fears (Sukuna/Yuji)


Sum of your fears

Jujutsu Kaisen

— Sukuna / Itadori Yuji —

Warning : Mention of Death

Summary : ก่อนเป็นผู้ใช้ไสยเวทคนหนึ่ง อิตาโดริ ยูจิ ไม่เคยคำนึงถึงสิ่งที่เรียกว่าความกลัว




ก่อนเป็นผู้ใช้ไสยเวทคนหนึ่ง อิตาโดริ ยูจิ ไม่เคยคำนึงถึงสิ่งที่เรียกว่าความกลัว

กลัวความมืด กลัวความสูง กลัวที่แคบ ยูจิไม่รู้สึกกลัวสิ่งที่สัมผัสจับต้องได้เหล่านั้น เขาไม่กลัวสิ่งใดเป็นพิเศษและไม่คิดตามหา — จนกระทั่งคุณปู่จากไป ทุกอย่างเปลี่ยนไป ยูจิค้นพบว่าตนกลัวความตาย จนกระทั่งมีสุคุนะ เขาไม่เพียงกลัวความตายของคนใกล้ชิด แต่ยังกลัวความตายของตัวเอง

ความกลัวเป็นสิ่งที่ต้องก้าวข้ามไม่ใช่ทำลาย ยูจิเรียนรู้ในเวลาต่อมา วิธีรับมือที่ดีที่สุด คือทำความเข้าใจ เรียนรู้ที่จะอยู่กับความกลัว

แต่ในเวลาเดียวกัน ยูจิค้นพบวิธีลัดของการระงับความกลัว

วิญญาณคำสาปส่วนใหญ่มีสภาพน่าสยดสยอง นั่นเป็นข้อเท็จจริงที่ทราบมานับแต่วันแรกที่กลืนนิ้วสุคุนะ วิญญาณคำสาปบางตนดุร้ายและอันตราย กดข่มจนไม่อาจเคลื่อนไหว ยูจิเคยพบมาแล้วเช่นกัน ยามนั้นเขาไม่เข้มแข็งพอทั้งพลังและจิตใจ แต่ขณะนี้เอง แม้มีพลังพอพาตัวรอดในสถานการณ์บีบรัด ความกลัวก็ยังคงติดตามอย่างชิดใกล้ หายใจรดต้นคอ ไม่ยอมให้เขาขยับเคลื่อนได้ดังใจเกินไป

เมื่อเวลานี้มาถึง ยูจิหลับตาลง

ปล่อยตนให้ตกลงไปในอาณาเขตพิเศษของราชาคำสาป

“ทำอะไรของเจ้า”

สุคุนะนั่งอยู่ที่เดิม บนบังลังก์กระดูกของเขา แขนข้างหนึ่งชันขึ้นรองใต้คาง ตาหลุบลงมองอย่างเกียจคร้าน ส่วนหนึ่งนั้นยังมีแววสงสัยใคร่รู้

ยูจิเงยหน้าจ้องตา ดวงตาสีแดงก่ำคล้ำวาว ราวกับโลหิตที่เนืองนองโดยรอบ กลิ่นคาวคละคลุ้ง แรงกดดันหนาหนักไร้เสียง พาให้ใคร่ครวญถึงความทรงจำอันห่างไกล ไม่อาจปะติดปะต่อ เสียงฟันขาดฉับในคราวเดียว ความเจ็บปวดที่แล่นปราดบนลำคอ เผาไหม้ในหัวสมอง

ยูจิจ้องมอง ระลึกถึงความกลัวที่ไม่อาจจดจำ พยักหน้ากับตนเองแล้วออกมาจากอาณาเขตวิญญาณ

“มาเลย!” ยูจิร้องแข่งเสียงกรีดแหลมของวิญญาณคำสาป ลมหายใจเย็นเยือกหายไปจากไขสันหลัง ไม่มีความกลัวใดหยุดยั้งเขาได้ในนาทีนี้

เพราะมีสิ่งที่น่าสะพรึงกลัวกว่าอยู่ภายในร่างของเขา

ในโลกภายนอก ยูจิกำหมัดทั้งสองและเริ่มเรียงร้อยไสยเวทเพื่อโต้กลับ

ขณะที่โลกภายใน ทิ้งให้สุคุนะนั่งเดียวดายและจับต้นชนปลายไม่ถูก