วันอาทิตย์ที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2565

[Black Panther] Ceasefire (Erik/T'Challa)


Ceasefire

Black Panther (2018)

— Erik Killmonger / T’Challa —

Warning : Cousin Incest, Suicidal Thoughts




1


“น่าจะปล่อยให้ฉันตาย”

“แต่ที่ได้ยินคือนายยอมตายดีกว่าไร้อิสรภาพ”

เอริคตาวาว จ้องราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ สีอำพันทั้งคู่วาวโรจน์ขณะที่ใบหน้าเย็นชาห่างเหิน เขาเหมือนภูเขาไฟที่หากไม่จ้องลงไปในปากปล่องตรง ๆ ก็จะไม่มีทางเห็นธารลาวาเดือดปะทุอยู่ข้างใน 

ลูกพี่ลูกน้องผู้เคยสาบสูญเชิดหน้าขึ้น มือกระชากคอเสื้อตนเองลงให้เห็นสร้อยลูกปัดกิโมโยสีดำรอบลำคอ “แล้วสิ่งนี้ต่างจากคุกตรงไหน”

เขาหัวไวและช่างสังเกต ทั้งที่เพิ่งฟื้นจากอาการบาดเจ็บได้ไม่นานก็สามารถอ่านสถานการณ์ของตัวเองออก ทีชัลลาไม่อาจคาดหวังอะไรได้มากไปกว่านี้แล้ว 

แทนที่จะใช้ถ้อยคำสร้างสะพานสันติ ทีชัลลากลับนึกอยากทดสอบขอบเขตของอีกฝ่าย จุดยืนทางอำนาจระหว่างพวกเขาพลิกผันเป็นอันมากในช่วงไม่กี่วันนี้ “มันไม่ใช่ผนังครอบสี่ด้าน หากนายไม่สร้างปัญหามันก็จะเป็นแค่เครื่องประดับชิ้นหนึ่ง”

“แล้วหากฉันสร้างปัญหาที่ว่านั้นล่ะ” ราวเส้นความอดทนขาด เอริคผุดลุกขึ้นจากเตียง มือพุ่งออกคล้ายการตะปบ แต่ก่อนที่ปลายนิ้วจะสัมผัสกษัตริย์แห่งวาคานด้า นักฆ่าหนุ่มก็ล้มลงบนพื้น ตัวกระตุกเพราะกระแสไฟฟ้าที่แล่นปลาบมาจากสร้อยกิโมโย

“มันก็จะช็อตนายจนสลบยังไงล่ะ” ชูรีร้องบอกจากอีกฟากของห้องแล็บ เธอเงยหน้าขมวดคิ้วมองทีชัลลาขึ้นลง “เขายังไม่ได้ทำอะไรพี่ใช่ไหม”

“ยัง แต่เธอกำลังจะทำให้เขาสลบไปอีกครั้งแล้ว พอได้แล้วชูรี”

ลูกปัดกิโมโยหยุดทำงาน เอริคขยับมานอนหงายกับพื้น หอบหายใจไปพร้อมทั้งแค่นหัวเราะ “เหมือนปลอกคอหมา นี่คือรางวัลสำหรับหน่วยวอร์ด็อกที่เลี้ยงไม่เชื่องงั้นสิ ฝ่าบาท

ทีชัลลาไพล่มือไว้ข้างหลัง กล่าวเสียงเรียบ “พวกเราไม่ได้เลินเล่อถึงขนาดมองว่าชัยชนะครั้งหนึ่งจะกำราบผู้ต่อต้านลงได้ สงครามไม่ใช่การแก้ปัญหาที่ยั่งยืน ในเวลาเดียวกัน สิ่งที่นายใช้จูงใจพวกเขามีน้ำหนักพอให้นำมาใคร่ครวญ แต่ไม่มากพอให้ลดความระมัดระวัง” 

“คนนอกยังไงก็เป็นคนนอก” เอริคหัวเราะในลำคอ “แค่ฆ่าทิ้งเสียก็จบแล้ว เหมือนที่พ่อนายทำไง อีกอย่างฉันตัดสินใจแล้วว่าจะตาย นายไม่มีสิทธิ์มาพรากการตัดสินใจไปจากฉัน”

อาชญากรรมเก่าก่อนสะกิดแผลระบมร้าวที่ไร้รูปไร้รอย ต้องใช้เวลาและความพยายามอีกมากในการสมานสิ่งพังทลายขึ้นมาใหม่ กษัตริย์หนุ่มถอนหายใจก่อนย่อเข่าลงชิดลูกพี่ลูกน้อง เอริคมองตอบด้วยสายตาแข็งกร้าว แต่ทีชัลลาไม่ถอยหนี ไม่อีกแล้ว “ฉันไม่ได้พรากมันไป”

“การกระทำของนายกลับตรงกันข้าม”

“ฉันต่อเวลาให้นายได้พิจารณาตัวเลือกนั้นอีกครั้ง” ทีชัลลาพูด ประคองสายตาอย่างเคลื่อนคลาย เขาไม่ต้องการให้ข้อความใดที่ซ่อนหลังการกระทำของลูกพี่ลูกน้องคนนี้หลุดรอดจากสายตา

เมื่อเอริคนิ่งเงียบ เขาจึงกล่าวต่อ “นี่ไม่ใช่การไว้ชีวิต เอริค”

นี่คือความเห็นแก่ตัวของเขา ความเอาแต่ใจที่จะแก้ไขข้อผิดพลาดซึ่งสายเกินการณ์และอีกฟากฝั่งยังไม่ปรารถนาจะรับไว้

“เวลาสามเดือนคงไม่มากไม่น้อยเกินไปสำหรับการเตรียมตัวตาย”




2


นอกจากวะคาบี ชูรีและเอ็มบาคู ทุกคนในสภาล้วนคัดค้านเป็นเสียงเดียวกันต่อการตัดสินใจของกษัตริย์

“เขาเป็นตัวอันตราย” หัวหน้าเผ่าวาณิชเอ่ยปาก “ท่านก็เห็นแล้วว่าเขาทำอะไรได้บ้าง เขากระจายความคิดที่นำมาซึ่งความขัดแย้งในหมู่พวกเรา ทำให้คนของเราต้องบาดเจ็บล้มตาย และเกือบทำให้วาคานด้าต้องเข้าสู่สงคราม”

หัวหน้าเผ่าชายแดนก้มหน้าลง ไม่กล้าสบตาผู้ใด ทีชัลลาลอบมองสหายอย่างเห็นใจ เขาเข้าใจความคับข้องของทุกคนในที่แห่งนี้ มารดาของเขายังไม่อาจลบภาพที่บุตรชายถูกโยนลงจากน้ำตก หัวหน้าเผ่าอื่น ๆ ไม่พอใจที่ถูกล่อลวงและกดอยู่ใต้ความหวาดกลัวจากน้ำมือผู้ที่เติบโตนอกประเทศ ไม่ว่าจะเป็นเอริค คิลมองเกอร์หรือเอ็นจาดากา ไม่ว่าในฐานะใด เชื้อสายวาคานด้าที่กำเนิดนอกดินแดนก็ไม่เป็นที่ต้อนรับ

เอ็มบาคูที่นิ่งเงียบมาตลอดกลับใช้จังหวะนี้ร้องตะโกนแล้วชี้ไปที่ทีชัลลา “แต่สิ่งที่เขากล่าวมามีเหตุผล”

โอโคเยถลึงตาจากข้างบัลลังก์ “เจ้าต้องขานเขาว่ากษัตริย์หรือพยัคฆา”

“ยังไงก็ช่าง” หัวหน้าเผ่าจาบารียกสองมือ “การทำความเข้าใจศัตรู เพื่อแก้ข้อบกพร่อง เพื่อให้พวกเราเข้มแข็งและเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันนั้นฟังเข้าท่ากว่าการโยนเจ้าหนุ่มนั่นลงทัณฑ์ประหาร”

นายพลหญิงขมวดคิ้วหน้าเครียด ชูรีป้องปากบังรอยยิ้ม

ทีชัลลามองเอ็มบาคูอย่างประหลาดใจ ผู้ที่ครั้งหนึ่งเคยท้าทายอำนาจของเขา แต่แล้วกลับเปิดประตูรับราชาที่แพ้พ่ายจากการประลอง ดูแล้วผู้ที่ตระหนักถึงคำว่าโอกาสที่สองดีกว่าใครอื่นคือผู้ที่ประสบโชคชะตาของการล้มแล้วลุกจากทิฐิของตนเอง

การประกาศสนับสนุนอย่างเปิดเผยครั้งนี้มากด้วยคุณ เพราะเป็นที่รู้ทั่วว่าหัวหน้าเผ่าจาบารีไม่เคยรอมชอมต่อกฎเกณฑ์ของตน

“ข้าตระหนักดีว่าเขามีสายเลือดเดียวกัน แต่ท่านก็ไม่ควรใจอ่อน ปล่อยให้คนเช่นนั้นสามารถเดินไปทั่วเมืองได้อย่างอิสระ” หัวหน้าเผ่าวาณิชเอ่ยต่ออย่างไม่ใส่ใจ

“ข้ายังมีข้อจำกัดการเข้าออกสถานที่สำคัญ พวกท่านวางใจได้” ทีชัลลาพูด เขาเหลียวไปทางมารดาแล้วกุมมือนาง ผู้ที่เขาหวังจะปลอบประโลมมากที่สุด นางนั่งนิ่ง สายตากระด้างแต่แฝงความกังวล ทว่าสุดท้ายยอมผ่อนปรน รามอนด้าบีบมือบุตรชายตอบ

รอยยิ้มบางผุดพรายขึ้นบนริมฝีปากราชา “เชื่อเถอะท่านทั้งหลาย หากเราเปิดใจเขาได้ เขาจะเป็นหนึ่งในบุคคลทรงคุณค่าที่สุดของเรา”




3


ทีชัลลายอมรับว่าตนอาจมองโลกในแง่ดีหรือด่วนตัดสินเกินไป การรับมือลูกพี่ลูกน้องที่ไม่เคยรู้ว่ามีตัวตนอยู่นี้ท้าทายขีดความอดทนของเขาเกินใครคาดหมาย แม้กระทั่งกับตัวเขาเอง

เขาเคยภาคภูมิกับความเยือกเย็นต่อการพิจารณาหาทางรับมือสถานการณ์หลากรูปแบบ แต่อดีตสายลับหญิงได้พิสูจน์ต่อหน้าเขาแล้วครั้งหนึ่งว่ามันคือความหลงตัว อาชญากรที่พรากบิดาของเขาไปได้แสดงให้เห็นว่าการสนองแค้นด้วยความรุนแรงไม่ใช่หนทางเรียกร้องความยุติธรรม แม้ผ่านประสบการณ์คล้ายคลึง แต่ทีชัลลาก็ยังไม่ใช่ตัวเลือกที่ดีเมื่อต้องต่อรองกับอารมณ์โกรธเกรี้ยวที่บ่มเพาะมายาวนานแทบตลอดชีวิต เขาถูกเลี้ยงดูมาเพื่อปกครอง เพื่อความพร้อมด้านการทูตกับสงคราม และเพื่อเป็นสมิงดำแห่งวาคานด้า

ทว่าจะสูงหรือต่ำ จะเป็นผู้วิเศษหรือชนสามัญ ไม่ว่าใครก็ไม่อาจหลีกหนีปัญหาซึ่งเปิดเปลือยจุดอ่อนและความกลัวของตนไปได้

“รางขนส่งไวเบรเนียมสายหนึ่งชำรุด” ทีชัลลาพูดขึ้นเมื่อก้าวเข้ามาในบริเวณห้องพักของลูกพี่ลูกน้องผู้อยู่ใต้อาณัติ

เอริคนั่งบนเก้าอี้นวม ขาเหยียดพาดบนโต๊ะ แขนข้างหนึ่งยกรองศีรษะ มืออีกข้างถือหนังสืออ่าน เขาสวมผ้าคลุมรุ่มร่ามแทบไม่ปิดบังเนื้อหนังมังสา ไม่เปลี่ยนท่าหรือลุกขึ้นยืนรับ เพียงปรายมองจากหางตาและขยับมุมปากก่อนกลับไปสนใจหนังสือวัฒนธรรมวาคานด้าต่อ

ทีชัลลาจ้องอีกฝ่าย คำถามที่ว่าทำได้อย่างไร คงไม่สำคัญเท่าข้อเท็จจริงที่ว่าเอริคหาจุดบอดในระบบตรวจจับภัยคุกคามของชูรีเจอ “รถขนส่งไวเบรเนียมหายไปหนึ่งขบวน”

หลังหน้าหนังสือ เอริคฉีกยิ้มกว้าง

ทีชัลลาส่ายหน้า ภายนอกที่ดูเหมือนให้ความร่วมมือด้วยดีนั้นเต็มไปด้วยการกระทำแยบยลซ่อนจุดประสงค์ ทุกอย่างเป็นไปตามที่คาดการณ์ แต่การจะไล่ตามอดีตทหารและผู้ก่อการร้ายฝีมือฉกาจฉกรรจ์นั้นกลับเป็นอีกปัญหาใหญ่ที่กระทั่งนักรบโดรามิลาเจยังต้องทุ่มสุดตัว

“นายหวังผลอะไรจากการระเบิดชายแดนเผ่าวารี สร้างสถานการณ์เพื่อหาทางหลบหนีหรือ นั่นไม่ใช่ข้อตกลงของเรา”

“ฉันไม่เคยร่วมตกลงอะไรทั้งนั้น” เอริคโยนหนังสือลงบนโต๊ะ เขาไม่ได้แสดงอาการประหลาดใจสักนิดที่ถูกจับได้ “แล้วไหนว่าจะเชื่อใจกันอย่างไรเล่า ท่านพี่ รู้ถึงขนาดนี้แสดงว่าตามสอดแนมฉันทุกฝีก้าวเลยนี่หว่า”

เขาเคยบอกเอริคว่าที่ยอมให้เข้าออกที่พักได้อิสระเพราะเชื่อใจอีกฝ่าย “ฉันเชื่อว่านายจะไม่ยอมอยู่เฉย นั่นดูจะไม่ใช่ธรรมชาติของนาย”

“พลิกลิ้นอย่างนักการเมือง” เอริคเงยหน้า คลี่รอยยิ้มราวกับกรด “คุณลุงสอนสั่งมาได้ดี”

ทีชัลลาไม่ใส่ใจคำยั่วโทสะ “สงครามไม่ใช่หนทางเดียวของการอยู่ร่วมกับโลกภายนอก”

เอริคลุกขึ้น ทุกย่างก้าวที่เข้าใกล้เหมือนเสือต้อนเหยื่อ “การประนีประนอมคือการเปิดทางให้พวกคนขาวฉกฉวยโอกาส ไม่เห็นหรือว่าพวกมันสามารถทำอะไรได้บ้างเพื่อให้พวกพ้องตนยังคงเป็นมหาอำนาจของโลก”

“ฉันรู้ว่าโลกภายนอกมองเรายังไง” ทีชัลลายืนกับที่ แม้เอริคเข้ามาในระยะเอื้อมถึงตัว “สงครามอาจกำราบพวกเขาลงได้ แต่คนกลุ่มแรกที่เดือดร้อนและล้มตายคือประชาชน มันเป็นเช่นนั้นเสมอ ครอบครัวต้องแตกแยก พี่น้องต้องพลัดพราก นั่นคือสิ่งที่นายต้องการแน่หรือเอริค”

เอริคขบกราม “อย่างน้อยมันก็ช่วยสร้างโลกที่ดีขึ้น สุดท้ายทุกคนก็ต้องตาย”

“ทุกคนต้องตายในสักวันหนึ่ง” ทีชัลลายอมรับ “เพียงแต่ต้องไม่ใช่ด้วยเส้นทางนี้”

“พ่อของนายไม่ได้คิดแบบนั้นตอนฆ่าพ่อของฉัน” เอริคแสยะยิ้มก่อนเดินกระแทกตัวจากไป

ทีชัลลาก้มมองหนังสือที่เปิดค้าง หยิบมันขึ้นมาสอดที่คั่นหน้าก่อนวางมันลง เขาเดินมือไพล่หลังกลับไปที่ห้องทำงานอย่างไม่เร่งร้อน แต่ตลอดเส้นทางที่รายล้อมด้วยทิวทัศน์ของบ้านเกิดเมืองนอน เขากลับไม่อาจถอดภาพรอยยิ้มที่ขมขื่นที่สุดที่เคยพบจากความคิดคำนึงได้เลย




4


ทีชัลลานั่งมองเอริคอยู่นอกลานประลอง ร่างกำยำที่เต็มไปด้วยรอยแผลนูนเคลื่อนไหวปราดเปรียวจนแทบไม่อาจไล่สายตาตาม แต่ละย่างก้าวแผ่วเบา ประกายสังหารแผ่พุ่งคุกคาม เหมือนเสือเล่นเหยื่อก่อนลงมือฆ่า แม้ถูกล้อมจู่โจมด้วยนักรบโดรามิลาเจทั้งห้า รวมถึงนายพลที่แข็งแกร่งที่สุดแล้วก็ยังไม่สามารถล้มทายาทของเอ็นโจบูลงได้

ชายหนุ่มยังมีฤทธิ์จากสมุนไพรรูปหัวใจในโลหิต แต่จำต้องยอมรับว่าฝีมือของเอริคเฉียบคมอย่างน่าหวาดหวั่น ทุกการเคลื่อนไหวถึงตายหากเขาตั้งใจปลิดชีพคู่ต่อสู้ กระทั่งทีชัลลายังรู้แน่ว่าตนอาจไม่มีโอกาสชนะเป็นหนที่สอง ลูกพี่ลูกน้องของเขาคนนี้ใช้ชีวิตในสนามรบจนเจนจัดการล่าสังหาร

เมื่อใช้เวลาส่วนใหญ่หมกมุ่นกับความรุนแรงก็เท่ากับทำให้จิตวิญญาณเสื่อมถอย ทว่าจะห้ามไม่ไห้จับอาวุธเลยก็ไม่ใช่วิธีแก้ปัญหาในระยะยาว เหมือนอาการเสพติด เขาต้องการให้เอริคเห็นอีกด้านหนึ่งของการต่อสู้ ไม่ใช่แค่เพื่อดับชีวิตแต่เพื่อปกป้อง ช่วยให้สายเลือดที่เกิดและอาศัยอยู่โลกภายนอกได้เห็นรากเหง้าของตน เห็นวิถีของวาคานด้า

ทีชัลลาหวังด้วยทั้งหมดของหัวใจว่าเอริคจะพบสิ่งที่เขาเห็นมาแต่เยาว์วัย หวังว่าอีกฝ่ายจะพบบ้านของตน

เสียงประอาวุธเรียกทีชัลลาให้ตื่นจากภวังค์ เอริคกำลังเป็นต่อ ดาบคู่ตวัดฟาดฟัน ทุกแรงส่งดุดันขึ้นทีละนิด เหล่านักรบหญิงถูกกดดันล่าถอย กระนั้นโดรามิลาเจจะไม่มีวันยอมรับความพ่ายแพ้ โดยเฉพาะกับคนที่เคยมองว่าเป็นศัตรู หากไม่ชนะก็ขอตาย

ทีชัลลาเขาไม่อาจยอมรับได้ เขากดลูกปัดบนข้อมือเงียบ ๆ และที่สนามเอริคล้มหงาย ทุกการเคลื่อนไหวหยุดชะงัก

โอโคเยหน้าตึงก่อนกราดสายตามาทางเขา นางรู้เท่าทันกษัตริย์หนุ่มเสมอ “เรายังไม่เสร็จธุระ” โอโคเยชี้ปลายหอกไปยังเอริคก่อนพาหญิงสาวทั้งหมดออกจากลานประลอง

เหลือเพียงพวกเขาสองคน

“ทำไมไม่เอายาขับพลังจากสมุนไพรให้ฉันกิน” เอริคลุกขึ้นนั่ง วงหน้าประดับรอยยิ้มยโส “พวกหล่อนจะได้รู้ว่าถึงไม่มีพลังนี้ฉันก็เอาชนะได้อยู่ดี”

ทีชัลลารู้ว่าเป็นคำถามลองเชิง เอริคไม่ได้อยากเอาชนะโดรามิลาเจเท่ากับอยากรู้ทางรอดจากการควบคุมของเขา “เพราะยาขับพลังมาจากใบของสมุนไพรรูปหัวใจ”

เอริครับคำ “ฉันสั่งให้เผาหมดแล้ว”

“โชคดีที่มีคนเก็บรากของสมุนไพรไว้จึงยังสามารถปลูกใหม่ได้”

“นั่นขัดคำสั่งฉัน” เอริคเดาะลิ้น

การข่มขู่โน้มน้าวใครไม่ได้อย่างแท้จริงหรอก ไม่ต้องพูดถึงความไร้เหตุผลของมันเลย นายควรจะทำความเข้าใจและให้ใจกับพวกเขา”

“เหมือนที่นายกำลังทำตอนนี้น่ะหรือ”

ความเงียบลุกลามราวธารน้ำตก เป็นความครึกโครมแสนนิ่งสงบและกลบสิ่งใดก็ตามที่เกิดขึ้นในวินาทีนี้

ทีชัลลาจนคำพูด เขาเห็นสิ่งเดียวกันนี้บนใบหน้าของเอริค ความประดักประเดิด ทาบปิดรอยยิ้มพริ้มพรายอย่างรวดเร็วราวกับความเปียกปอนนั้น แค่ใช้สายลมพัดก็แห้งเหือด

เอริคลุกขึ้นปัดกางเกง เดินลากหอกกรีดพื้นเป็นทางแล้วมาหยุดตรงหน้าเขา ก่อนโน้มตัวลงใกล้อย่างจงใจ

“ฉันไม่รับคำสั่งจากใครทั้งนั้น ทีชัลลา”

ชายหนุ่มปักหอกลงบนพื้น ทีชัลลาหลุบตาลงมองรอยแยกเล็ก ๆ บนพื้นอิฐ กษัตริย์วาคานด้ารู้อีกเช่นกันว่าต่อให้ได้หัวใจมาครอง เอริค คิลมองเกอร์ ก็จะไม่ยอมก้มหัวให้ใคร

ทว่านั่นไม่ใช่สิ่งที่ราชาหรือทีชัลลาต้องการ




5


“พาฉันมาที่นี่ทำไม” เอริคถาม ใบหน้าหมองคล้ำอย่างกรุ่นโกรธ

ทีชัลลาขยับยิ้ม ตากวาดมองบริเวณโดยรอบด้วยความรู้สึกคะนึงหา อากาศที่แคลิฟอร์เนียตอนนี้ค่อนข้างเย็น ไม่มีเด็กวิ่งเล่นในสนามบาสเก็ตบอลเหมือนคราวก่อนที่เขามากับชูรี ตลอดถนนเงียบสนิท เมืองหลับลึกตามท้องฟ้าสีหมึกและดวงดาว

เขาชี้นิ้วไปที่ตึกข้างหน้า “ฉันซื้อที่นี่ไว้”

เอริคนิ่งมอง “เพื่ออะไร”

“เพื่อเป็นศูนย์กลางสำหรับเผยแพร่วิทยาการ ความรู้ และวิถีของพวกเรา”

“ของพวกนาย” ชายหนุ่มแก้ “ทำไมต้องเป็นที่นี่”

“เพราะมันคงเป็นสิ่งที่ทั้งพ่อของนายและพ่อของฉันต้องการ” ทีชัลลาตอบเสียงนุ่มนวล ระมัดระวัง “และมันก็เป็นสิ่งที่คนของพวกเราต้องการ สถานที่ปลอดภัยให้พวกเขามาพักพิงและลุกขึ้นยืนใหม่อีกครั้ง”

เอริคเงยหน้ามองตึกสูง สถานที่ที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นบ้านของเขา

“ไร้เดียงสาเกินไปแล้ว ทีชัลลา” ชายหนุ่มกระซิบ “นายกำลังหลงทาง ไม่รู้เลยว่าจะนำพาอะไรมาในอนาคต”

“ฉันยืนอยู่ในที่ทางของตัวเองแล้ว” ทีชัลลาเลิกคิ้วกล่าวเสียงเบา “อนาคตเกินหยั่งรู้ พวกเราทำได้แค่เตรียมตัวให้ดีที่สุด เตรียมพร้อมรับอะไรก็ตามที่กำลังจะมา ฉันแค่หวังว่าเมื่อถึงเวลาพวกเราจะเข้มแข็งพอเผชิญหน้า”

เอริคเงียบไปครู่ใหญ่ ตลอดเวลานั้นไม่ยอมละสายตาจากสถานที่อันเป็นจุดเริ่มต้นของตน และทีชัลลาไม่รบเร้าเอาคำตอบ เขารอคอย รับฟังกับความเงียบและสายลมที่สัมผัสผ่านร่าง พลางแหงนคอมองหมู่ดาวที่ไม่น่าปรากฎขึ้นได้ท่ามกลางแสงประดิษฐ์

หากช่วงเวลานี้คือความฝัน เขาคงคิดว่าดวงดาวเหล่านั้นกำลังเคลื่อนใกล้เข้ามา

“นี่คือวิธีซื้อใจของนายเหรอ” เอริคเอ่ยในที่สุด “ทำได้ไม่เลว”

“ใช่” เขาตอบหน้าตาย “แต่ไม่ได้หมายความว่ามันไม่จริงใจ นายยังทำอะไรได้อีกมาก เอริค ด้วยความสามารถทั้งหมดนั้น ความเจ็บปวดและความอยุติธรรมที่ลุกลามนี้อาจทำให้นึกอยากทำลายให้หมดในครั้งเดียว แต่หลังจากนั้นล่ะ บนกองฝุ่นและเศษซากยังจะเหลืออะไรให้ยึดมั่นอีก”

“ความทรงจำ” เอริคพูดเสียงแผ่ว มีความรู้สึกมากมายเหลือเกินในคำเดียวนั้น แต่อีกฝ่ายกลับเอ่ยต่อราวกับไม่รู้สึกถึงพวกมัน “ได้ยินว่าเราเปิดประเทศแล้ว”

“ถ่ายทอดสดภาพยานของเราไปทั่วโลกผ่านที่ประชุมสหประชาชาติ” ทีชัลลายิ้มบาง “คนพวกนั้นไม่รู้เลยว่ากำลังจะได้พบกับอะไร”

“แน่อยู่แล้ว” เอริคหัวเราะเบา ๆ ก่อนเดินไปอีกทาง

“แล้วนั่นจะไปไหน” ทีชัลลาถาม

“ไปที่ที่อยากอยู่” เอริคโบกมือ “ไปหาอะไรกิน”




6


“เตรียมตัวพร้อมแล้วหรือยัง”

เอริคที่กำลังเคี้ยวชีสเบอร์เกอร์เต็มปากเลิกคิ้วเป็นเชิงถามกลับ

มันคือสัญญาณที่ดี การลืมจุดหมายเพราะสิ่งที่พบพานรายทางไม่ใช่เรื่องเลวร้ายเสมอไป 

ทีชัลลาขยับยิ้ม “ใกล้จะครบสามเดือนแล้ว”

“เรื่องนั้นเอง” เอริคเช็ดปากด้วยหลังมือ ทีชัลลายื่นทิชชู่ แต่เขาโบกปัด “ไม่ใช่เรื่องของนาย”

ทีชัลลาแกล้งถอนหายใจ เขากำลังจะกล่าวต่อแต่ถูกขัดจังหวะด้วยชีสเบอร์เกอร์อีกจานที่เอริคดันมาทางเขา

เอริคกระแอมไอ “ฉันไม่ได้สั่งจานนี้มาให้แมลงตอมเล่น”

“แต่ฉันไม่ได้บอกให้นายซื้อ...” และจากเงินของเขาเองด้วย เป็นความย้อนแย้งประเภทไหนกันที่อีกฝ่ายทำท่าราวกับว่าใช้เงินตัวเองออกค่าอาหารให้คนอื่น

ทีชัลลายกมือขึ้นบังเสียงหัวเราะ

“หุบปาก” เอริคสั่ง แต่มันไร้น้ำหนักเสียจนทีชัลลาต้องกระทำตรงกันข้าม




7


ทีชัลลาไม่ได้ใช้ลูกปัดกิโมโยเพื่อเป็นฝ่ายชนะในการประลอง

มันเป็นแค่การประลองอย่างง่าย ๆ ที่จัดขึ้นในเย็นวันหนึ่ง บนลานที่อยู่สุดขอบกำแพงวาคานด้า ผู้ชมมีเพียงชูรีกับโอโคเย แสงแดดอ่อนแรงลงแล้วในยามนั้น ท้องฟ้ากลายเป็นชั้นสีฟ้า ม่วง และชมพู ดวงดาวเริ่มทอแสง ค่ำคืนนี้จะไม่มีพระจันทร์

เอริคชนะตามที่คาดหมาย ชายหนุ่มลดอาวุธลง ก้าวถอยหลัง ใบหน้าระบายยิ้มอย่างผู้เหนือกว่า

จากนั้นจึงปักดาบทั้งสองลงกับพื้น “บอกมาว่าต้องการอะไรจากฉัน”

ทีชัลลามองตอบอย่างฉงน คำถามนั้นมาอย่างกระทันหัน เขาลืมตัวกระทั่งนั่งนิ่งบนพื้นลานประลอง

เอริคพ่นลมหายใจ “ครบสามเดือนแล้ว นายชนะ ฉันตัดสินใจว่าจะอยู่ต่อ” เขาบอก “แต่ไม่ได้หมายความว่าฉันจะทำตามคำสั่งทุกอย่างของนาย ฉันจะไม่ขวางทาง แต่ก็จะฆ่าถ้าเห็นว่าสมควร และถ้าวิธีของนายเกิดพลาดเมื่อไรก็รู้ไว้ซะว่าฉันพร้อมจะยึดเอาทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นของนาย ทีชัลลา ฉันจะอยู่ตรงนั้น ตอนที่นายทำอะไรโง่ ๆ แล้วเหยียบซ้ำ” เอริคฉุดแขนเขาให้ลุกขึ้นยืน ก่อนลากลงมากุมมือแน่นไม่ยอมปล่อย “บอกได้เลยว่านายทำพลาดมหันต์ที่เก็บศัตรูไว้ใกล้ตัว”

“ท่านพ่อเคยพูดเสมอว่าให้เก็บมิตรไว้ใกล้ตัว” ทีชัลลาส่งยิ้มพร้อมคืนแรงบีบ

“นายควรเชื่อไอ้แก่นั่น”

“ฉันเชื่อเขา” ทีชัลลาตอบอย่างจริงใจ “แต่เขาไม่ได้ห้ามให้เก็บเด็กหลงทางมาไว้ใกล้ตัวนี่”

เสียงดาบกระทบกันดังลั่น สะเก็ดสีทองแตกกระจายคล้ายลูกไฟ โอโคเยผุดลุกขึ้นกระแทกหอก ถลึงตาขู่ให้คิลมองเกอร์ถอยห่างจากราชา ชูรีสะดุ้งตัวโยนก่อนหรี่ตาลง แต่สุดท้ายผุดรอยยิ้มยินดี

ทีชัลลาดันดาบของเอริคออกแล้วกล่าวขึ้นอย่างสงสัย “อะไรที่ทำให้เปลี่ยนใจ”

เอริคกลับล่าถอย ไม่ยอมสบตาเขา นี่เป็นครั้งที่สองที่ทีชัลลาเห็นคน ๆ นี้ทำท่าลุกลน ไม่เป็นตัวของตัวเอง

“ไม่มีเหตุผล ก็แค่รู้สึกดีที่มีเวลาหายใจเพิ่มขึ้น” เอริคพูด แต่วินาทีถัดมา เขาเงยหน้าขึ้นสบตาทีชัลลาเหมือนกำลังเอ่ยถ้อยความอื่นซึ่งต่างจากเสียงที่เปล่งผ่านริมฝีปากอย่างสิ้นเชิง “ก็แค่เห็นความเป็นไปได้ของอะไรหลาย ๆ อย่างเพิ่มขึ้น”