วันเสาร์ที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2565

[หาญท้าฯ] ด้ายแดง (เหยียนปิงอวิ๋น/ฟ่านเสียน)


ด้ายแดง

หาญท้าชะตาฟ้า ปริศนายุทธจักร

เหยียนปิงอวิ๋น / ฟ่านเสียน

Warning : Spoiler Alert for Season 1

Summary : เหยียนปิงอวิ๋นไม่แยแสสิ่งที่เรียกว่าโชคชะตา และด้ายแดงบนนิ้วก้อยซ้ายก็ไม่สลักสำคัญเท่าหน้าที่ต่อแว่นแคว้น





ชั่วชีวิตขอมอบให้ใต้หล้า หยาดเหงื่อและเลือดเนื้อเพื่อปวงประชา แต่เล็กจนโตทุกความคิดคำนึงของเหยียนปิงอวิ๋นล้วนขึ้นอยู่กับประโยชน์สุขของแคว้นชิ่ง เพื่อส่วนรวมแล้ว เขายอมสละได้ทุกสิ่ง

มองด้ายแดงที่ผูกกับนิ้วก้อยซ้ายด้วยดวงตาเย็นชา เรื่องคู่ครองแห่งโชคชะตาที่ใครต่างเฝ้าคะนึงหาจึงเป็นสิ่งที่เขาไม่เคยนึกเก็บมาใส่ใจ หากพบเจอก็ดี หากไม่พบพานยิ่งดีกว่า กล่าวกันว่าเมื่อพบผู้อยู่สุดปลายด้ายแดงของตนเพียงคราหนึ่งแล้วจะไม่อาจพรากจาก หลังจากนั้นหากทำด้ายแดงขาดก็คล้ายทำโชคชะตาตนหล่นหาย เหยียนปิงอวิ๋นเคยหวั่นใจว่าคนผู้นั้นจะมาทำให้ตนต้องพะวักพะวน กลัวว่าจะมาทำให้ตนเผอเรอละเลยหน้าที่ เขาเคยคิดจะตัดไฟเสียแต่ต้นลม ทว่าก็ไม่อาจหักใจ

กระนั้นด้วยการฝึกฝนอันเข้มงวดจากบิดารวมถึงท่านผู้นำ ต่อมาไม่นานชายหนุ่มก็ละความสนใจจากด้ายที่พันรอบนิ้วมืออย่างหมดจด ขอเพียงตั้งมั่นกับเป้าหมาย แม้ใครคนนั้นจะผูกโยงชะตาตนอย่างแน่นหนาเพียงใดก็คงไม่สามารถสั่นคลอนจิตใจ สายตาเหยียนปิงอวิ๋นมุ่งตรงไปแต่อนาคตข้างหน้า อนาคตที่มีแค่ตนเอง หนึ่งยกมือซ้ายค้ำนภา ขวากำกระบี่ชี้หน้าศัตรู

ด้ายแดงที่นิ้วมือกลายเป็นความเฉยชา กลายเป็นเครื่องประดับที่ตนมองเมิน แค่เส้นสายที่ไม่สร้างความรู้สึกร้อนหนาว ไม่สลักสำคัญ

ยามนั่งในเกี้ยว ม่านกั้นบดบัง เหยียนปิงอวิ๋นที่ทุกข์ทนกับบทลงทัณฑ์จากความเลินเล่อ คอยแต่มองไปข้างหน้า มองไปยังตัวต้นเหตุที่นำพาให้เขาต้องถูกขับไล่ไปแคว้นศัตรู มองอย่างชิงชัง มองอย่างนึกระแวง ตนต้องจากเมืองหลวงไปแต่คนผู้นี้กลับมาแทน ไม่ประจวบเหมาะเกินไปหรือ

ชายหนุ่มจ้องมองเบื้องหน้า มิทันเห็นว่าด้ายแดงลอยขึ้นเหนือพื้น ขยับสั่นน้อย ๆ เพราะแรงดึง

ครั้นสังเกตตัวตนมันอีกคราว ก็พบเพียงด้ายแดงนอนนิ่ง ขดยาวตามระยะห่างที่ถ่างกว้าง

แต่ท้ายสุดแล้ว ด้ายแดงแห่งโชคชะตาก็นำพาเขามาพบกับผู้ที่อยู่สุดปลายอีกด้าน ชั่วยามแรกที่ถูกปลดจากโซ่ตรวนแห่งความทรมาน เหยียนปิงอวิ๋นคิดว่าสิ่งที่เห็นเป็นภาพหลอน ร่างกายของเขาแบกรับความเจ็บปวดและยาพิษลวงประสาทหลายขนาน ไม่อาจทำใจเชื่อในทันทีว่าตนมีโชคได้พบพานคู่ครอง

ไม่อาจเชื่อสายตาตนเองว่าใครคนนั้นจะเป็นฟ่านเสียน

“เจ้ารู้แต่แรกแล้วว่าเป็นข้า”

เหยียนปิงอวิ๋นนอนหมอบ หน้านิ่วฝืนกลั้นความเจ็บขณะปลายนิ้วของฟ่านเสียนป้ายยาลงบนบาดแผล

“รู้แล้วก็ทำอะไรไม่ได้ เจ้ากำลังจะไปเป่ยฉีและยังต้องปกปิดหน้าตา จะให้ข้าทะเล่อทะล่าเข้าไปเปิดม่านชี้ให้ดูคงถูกท่านอาจารย์ตีตาย”

น้ำเสียงกึ่งขบขันยังแฝงการแก้ตัว เหยียนปิงอวิ๋นเงียบงัน ซึมซับความชาที่ลามเลียมาจากแผ่นหลัง

ไม่รู้ควรจัดการคน ๆ นี้อย่างไร

อีกฝ่ายสั่งห้ามเขาไม่ให้ออกนอกเรือนพำนัก กล่าวว่าเรื่องทั้งหมดจะจัดการด้วยตนเอง เหยียนปิงอวิ๋นรับฟัง กระทำตามโดยมิคลายความเคลือบแคลง ทั้งยังอดไม่ได้ที่จะเบนสายตาตามทิศทางด้ายแดง เส้นด้ายที่ผูกโยงคนทั้งสอง ใครอื่นล้วนไม่อาจมองเห็น ข้ารับใช้จึงพาลนึกว่าเขากำลังตั้งใจอ่านตำราหรือกำลังครุ่นคิดเรื่องสำคัญ

“เจ้าไม่ได้บอกใครหรือ”

เหยียนปิงอวิ๋นเอ่ยถาม หลังจากที่ฟ่านเสียนกล่าวถึงท่านผู้นำด้วยอาการที่ผิดแปลกไป ตื่นตระหนก หวาดกลัว หรือเสียใจ ทั้งหมดนั้นปนเปกันบนใบหน้าจนยากแยกแยะ

ช่วงเวลาเช่นนี้ไม่ควรซ้ำเติมเรื่องราวหักหาญน้ำใจคน แต่ช่วงเวลานี้กลับเหมาะสมที่สุดในการควานหาความลับ กำแพงของฟ่านเสียนกำลังพังทลาย หากใบหน้านั้นคือวิหารเทพอันศักดิ์สิทธิ์ มันก็กำลังพังครืนลงมา ให้คนได้ลอบมองสิ่งที่ซุกซ่อนอยู่ภายใน

“ไม่บอก” ฟ่านเสียนตอบเสียงเบา “ข้ากลัวว่าบอกไปแล้วจะเป็นอันตราย”

แต่เป็นอันตรายต่อผู้ใด ฟ่านเสียนมิได้ขยายความ

เหยียนปิงอวิ๋นผ่อนลมหายใจ ก่อนเหลียวมองลานหน้าเรือนอันชุ่มโชก

มองไปแล้ว เห็นแต่ฉากฝนพรำ ไม่มีอะไรน่าดู

สิ่งที่อยากรู้ก็ได้รู้แล้ว ไม่จำเป็นต้องฝืนทนต่ออีก เรื่องราวทางเป่ยฉี เหยียนปิงอวิ๋นปล่อยให้ฟ่านเสียนวิ่งเต้นตามแต่ใจ ทำเพียงมองอยู่ห่าง ๆ คอยระวังหลัง หาช่องโหว่ แต่ก็ไม่พบอะไร นอกจากคำประกาศตั้งตนแย่งชิงตำแหน่งผู้นำสำนักตรวจสอบแล้ว คนผู้นี้นับว่าใช้การได้

แต่อย่างไร ผู้ที่ตั้งตัวเป็นอริกับสำนักที่ขึ้นตรงต่อฮ่องเต้ ย่อมเป็นตัวอันตราย หาดีไม่ได้

“ยอมรับข้อเสนอขององค์ชายไปไม่ดีกว่าหรือ”

เหยียนปิงอวิ๋นเอ่ยถามอีกครั้ง

และเป็นการถามเพื่อวัดใจครั้งสุดท้าย

ดวงตาฟ่านเสียนปกคลุมด้วยหมอกเมฆของความคั่งแค้น ยังคงไม่ยินยอมก้มหัวให้ใครเช่นเดิม

คนที่ยอมหักไม่ยอมงอ มีคุณค่าต่อแคว้น แต่คุณค่าที่ได้มาต้องจ่ายด้วยราคาแสนแพง นั่นคือความวุ่นวาย สงครามภายใน การช่วงชิงอำนาจที่อาจนำมาสู่การนองเลือด

เหยียนปิงอวิ๋นหลุบตามองด้ายแดงที่ปลายนิ้ว ด้ายแดงอันร้อนแรงจับตา ถึงกับทำให้ผิวเนื้อของเขาร้อนวาบขึ้นอย่างไร้ที่มา ภายใต้สีหน้าเคร่งเครียดที่คล้ายจะเป็นไปตามสถานการณ์ ท่ามกลางกองทหารซึ่งรายล้อมรอบทิศ เหยียนปิงอวิ๋นไม่ได้คิดหาหนทางรอด ชีวิตของเขาไม่นับเป็นอะไร

แต่ชีวิตของฟ่านเสียน หากตัดทิ้งไปจะดีต่อหนานชิ่งกว่าหรือไม่

คำถามนี้หนักหนานัก กลางสถานที่รกร้างไม่มีคนปรึกษา ท่านพ่อไม่อยู่ ท่านเฉินไม่อยู่ เขาต้องตัดสินใจด้วยตนเอง

ไม่นึกเลยว่าจุดตัดสิน จะมาจากปากของฟ่านเสียนเอง

“บุตรชายของเถิงจื่อจิง หากเขาเป็นอะไรไป ข้าจะไม่ยอมละเว้นไว้หน้าผู้ใดทั้งนั้น”

เหยียนปิงอวิ๋นชะงัก สมองขาวโพลนไปวูบหนึ่ง

บุตรชายของเถิงจื่อจิงหรือ ช่างกล้าบ้าบิ่นยิ่งนัก ถึงกับใช้บุตรชายของคนที่ตนเองสังหารมาเป็นเครื่องมือในยามนี้

ผู้เป็นโชคชะตาของเขามีเนื้อแท้เช่นนี้เอง

จะตัดสายใยต้องตัดให้ขาด คำพูดของท่านผู้นำเป็นสิ่งแรกที่ผุดขึ้นมาในความคิด จะรับผิดชอบหน้าที่ จะรักษาแผ่นดินได้อย่างไร หากในใจยังห่วงหาคนเพียงคนเดียว

เหยียนปิงอวิ๋นตัดสินใจได้ทันที

เขาพลิกกระบี่แล้วแทงสวนไปด้านหลัง ทั่วทุ่งหญ้ารกร้างเงียบกริบ ได้ยินเพียงเสียงร่างหนึ่งล้มลงกับพื้น

เหยียนปิงอวิ๋นหันหลับกลับ ไล่สายตาตามด้ายแดง จากปลายนิ้วก้อยของตนจรดปลายนิ้วของฟ่านเสียน ด้ายแดงอันร้อนแรงคล้ำเข้ม แทบกลืนเป็นหนึ่งเดียวกับกองโลหิต

ดวงตาตะลึงมอง ค่อย ๆ อับแสงลงจนกระทั่งมืดมิด

“นี่เป็นการตัดสินใจของข้าเอง”

มือขวาของเหยียนปิงอวิ๋นกุมกระบี่แน่น

ขณะที่มือซ้ายปลดปล่อยโชคชะตาของตนไปกับสายลม


[หาญท้าฯ] หนึ่งจอกสุรา (หลี่เฉิงเจ๋อ/ฟ่านเสียน)


หนึ่งจอกสุรา

หาญท้าชะตาฟ้า ปริศนายุทธจักร

หลี่เฉิงเจ๋อ / ฟ่านเสียน

Warning : Spoiler Alert for Season 1

Summary : ความนึกคิดขององค์ชายรองยากคาดเดา ทว่าบางคราวเซี่ยปี้อานมิเพียงมิอาจ แต่ยังมิกล้าเมื่อเรื่องราวเกี่ยวพันกับชายผู้หนึ่ง






พบพานเพียงหนึ่งจอกสุราไม่อาจประเมินจิตใจคนฉันใด พบพานเพียงชั่วหนึ่งพวงองุ่นก็มิอาจคาดคะเนใจองค์ชายรองฉันนั้น

เซี่ยปี้อานติดตามองค์ชายท่านนี้มานาน พยายามคิดอ่านอย่างไรก็จับไม่ได้ไล่ไม่ทันจนคร้านตาม คนต่างรู้ กลยุทธ์มิหน่ายเล่ห์กล เรื่องเล่ห์กลเขานับว่าพอมีติดตัว แต่ก็เทียบชั้นคนผู้นี้ไม่ติด ยิ่งนึกยิ่งรู้สึกว่าตนคล้ายโง่งม เปรียบกันแล้วมีแต่ย่ำยีศักดิ์ศรีลงจมดิน ดังนั้นไม่คิดมากความ ไม่ถามมากเรื่อง ทำตัวลอยลมเฉกเช่นฉากหน้าขององค์ชายรองยังนับว่าสะดวกสบายใจอยู่บ้าง ตลอดหลายปีมานี้ คิดตามไม่ทันก็ไม่เป็นไร ประสบการณ์สอนเขาว่าแค่อ่านอารมณ์ คำพูด และสถานการณ์ออก จากนั้น กระทำตามคำสั่งอย่างไม่บิดพลิ้วก็สนองตอบความต้องการขององค์ชายรองได้แล้ว

ดังนั้น เมื่อแผนการคุมตัวฟ่านเสียนผิดพลาดจึงเหมือนถูกสาดโครมด้วยน้ำเย็นยะเยือกกลางเดือนเหมันต์ มองร่างนั้นล้มลงจมกองเลือด เซี่ยปี้อานไม่เพียงหวาดกลัวว่าจะนำภัยเข้าตัว แต่ยังกลัวโทสะขององค์ชายรองแห่งหนานชิ่งเสียจนนึกอะไรไม่ออกไปครู่ใหญ่

องค์ชายรองไม่ได้ห้ามหากต้องลงมือกับฟ่านเสียน แต่ก็ไม่ได้สั่งให้ลงมือถึงตาย แม้ฟ่านเสียนจะบาดเจ็บด้วยน้ำมือผู้อื่นผลลัพธ์ก็ไม่ต่าง โทษทัณฑ์ได้ตกอยู่บนบ่าของเขาแล้ว

ตรงนั้นมีคนมากมายเป็นพยาน กลับเป็นเซี่ยปี้อานที่ได้สติคนแรก ด้วยระดับผู้ฝึกยุทธ์ขั้นเก้า เขารู้ว่าฟ่านเสียนยังมีลมหายใจ จึงรีบทุบศีรษะเหยียนปิงอวิ๋นให้สิ้นสติ แล้วสั่งการให้ทหารหาม้าเร็วมาในทันที

ฝ่ายของฟ่านเสียนย่อมไม่คัดค้าน เวลานี้หากบอกว่ามียาที่ทำให้บาดแผลหายในพริบตาก็คงยอมโขกหัวคำนับเป็นข้ารับใช้ชั่วชีวิต สีหน้าหวังฉี่เหนียนซีดเผือดแทบไม่ต่างจากคนบาดเจ็บ ทว่ามือไม้ไม่ได้พิรี้พิไร กลับฉีกชายเสื้อออกมากดแผลห้ามเลือด องครักษ์เกาต่าก็เร่งผูกม้ากับเกวียนแล้ววิ่งย้อนกลับมาอุ้มร่างเจ้านายขึ้น

เซี่ยปี้อานไม่อาจออกหน้าเรื่องนี้ ได้แต่ส่งคนลอบออกเดินทางล่วงหน้าไปแผ้วถางเส้นทางและแจ้งข่าวองค์ชายรอง

ตลอดวันนั้นเมืองหลวงสงัดเงียบเหมือนกลั้นลมหายใจ จวบจนมืดค่ำ ภายในวังไฟยังถูกจุดขึ้นแทบทุกตำหนักไม่เว้นว่าง ฝีเท้าสลับหมุนเวียนไปทั่ว ไม่มีเจ้านายหรือข้ารับใช้คนใดนอนอย่างสงบใจได้เมื่อจักรพรรดิตรัสว่าหากฟ่านเสียนไม่รอดชีวิต ทุกคนที่เกี่ยวข้องแม้น้อยนิดเพียงใดจะต้องถูกประหารทั้งครอบครัวโดยไม่ละเว้น

เรื่องนี้ย่อมทำให้ผู้คนลนลาน กลัวเกรงว่าจะติดร่างแห เซี่ยปี้อานก็เช่นกัน แต่ด้วยเหตุผลอื่น

กลับมาถึงตำหนักองค์ชายรองหลังแน่ใจว่าเก็บงานทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว เซี่ยปี้อานกลับพบนายเหนือหัวยืนนิ่งข้างหน้าต่าง เหม่อมองไปทิศทางหนึ่ง

บ่อยครั้งที่องค์ชายรองประพฤติตัวผิดแผก ยากคาดเดา บ่อยครั้งที่แสดงท่าทีหมกมุ่นครุ่นคิด นั่งชันเข่าบ้าง นอนเลื้อยคล้ายคนไม่เอาอ่าวบ้าง ทว่าไม่มีครั้งใดที่เค้าความทะนงตน ไม่แยแสผู้ใดในโลกหล้าจะเลือนหายไร้ร่องรอยเช่นนี้

องค์ชายรอง...คล้ายกำลังกลัดกลุ้มกังวลอย่างแท้จริง

“บาดแผลฉกรรจ์มากหรือ” องค์ชายรองกล่าวแผ่วเบา

เซี่ยปี้อานประสานมือ “หากมาถึงช้าเกินไป เกรงว่าคงไม่รอด”

“เจ้าทำได้ดีแล้ว”

“องค์ชาย ท่านจะไปเข้าเฝ้าฝ่าบาทหรือไม่” เซี่ยปี้อานสำนึกตัวว่าพลั้งปากก็ช้าไปเสียแล้ว เขารู้ว่ายามองค์ชายใช้ความคิดควรสำรวมคำพูด ทว่าองค์ชายรองคล้ายไม่ใส่ใจ เขายืนนิ่งเฉย มองดวงไฟในเงามืด

แต่คนผู้นี้ มีหรือไม่เคยใส่ใจเรื่องราวใดอย่างแท้จริง

“ควรแสดงความร้อนรนอยู่บ้างจริง ๆ รัชทายาทก็คงไปถึงตำหนักแล้ว” องค์ชายรองเอ่ย “แต่เวลานี้ข้ากลับไม่มีใจจะทำเรื่องเช่นนั้น”

“เพราะฟ่านเสียนอย่างนั้นหรือ”

หลี่เฉิงเจ๋อแหงนคอหัวเราะ “ช่วงหลังมานี้เจ้าสังเกตบ้างหรือไม่ มีเรื่องใดไม่เกี่ยวข้องกับฟ่านเสียนบ้าง ฟ่านเสียน ฟ่านเสียน เขาเป็นใครฮ่องเต้จึงคอยหนุนหลัง เขาเป็นใครผู้นำสำนักตรวจสอบจึงสนับสนุน เขาเป็นใครจึงคว้าความเชื่อมั่นจากใครต่อใครได้…”

“...ข้ารู้คำตอบแต่ไม่อาจทำความเข้าใจ ไหนเจ้าลองว่ามา พบกันตั้งมากครั้ง ประมือกันก็เคยมาแล้ว ข้ากลับไม่เคยถามเจ้า เจ้ามีความคิดเห็นอย่างไรต่อคนผู้นี้บ้าง”

เซี่ยปี้อานเงียบอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนตอบช้าชัด “ฟ่านเสียนเหมือนกับท่าน”

องค์ชายรองแสยะยิ้ม “ใครก็กล่าวเช่นนั้น ชมชอบโคลงกลอนเหมือนกันบ้าง ชอบดื่มกินเหมือนกันบ้าง รอยยิ้มคลับคล้ายคลับคลากันบ้าง ล้วนแล้วแต่มีน้ำหนักเท่าปุยนุ่น”

เซี่ยปี้อานเคยได้ยินมาเช่นกัน เขาแทบไม่อยู่ห่างกายองค์ชายรอง ผู้ใดที่กระซิบกระซาบลับหลัง เนื้อความย่อมเข้าหูเขาทั้งหมด

ทว่าเรื่องที่ติดตรึงใจที่สุดกลับเป็นเรื่องที่องค์ชายรองให้ค่าเท่าปุยนุ่น ที่ว่ารอยยิ้มคลับคล้ายกันนั้นเป็นเรื่องที่เขาเห็นไปในทางเดียวกัน หากพินิจก็จะยิ่งเห็น พวกเขาสองคนละม้ายคล้ายกันมาก ทว่าก็เพียงคลับคล้าย

รอยยิ้มไม่ต่างจากเด็กซุกซนมากเล่ห์ คนหนึ่งกลับให้ความรู้สึกอบอุ่นเหมือนแรกวสันต์ คนหนึ่งกลับคมบาดเหมือนไอหนาว ฟ่านเสียนที่ว่ารูปหน้าคมคายกลับเจือไปด้วยความอ่อนละมุน องค์ชายรองที่ว่ารูปงามหวานล้ำเยี่ยงอิสตรีกลับมีกรอบหน้าคมกร้าน เรื่องจิตใจที่ว่าลึกซึ้ง ฟ่านเสียนกลับอ่อนไหวในเรื่องพวกพ้อง องค์ชายรองยังไร้น้ำใจเหี้ยมโหดกว่ามากนัก

แต่คนที่ว่าเหี้ยมโหดเฉกเช่นเหมันต์อันหนาวเหน็บ เบื้องหน้าเขาตอนนี้ ไฉนจึงกลายเป็นดูร้อนใจดังไฟสุมเสียเล่า

หลี่เฉิงเจ๋อเดินมาที่โต๊ะ รินเหล้าลงจอกจนปริ่มขอบ ชูขึ้นมองระดับสายตา “เจ้าหิวหรือไม่”

เซี่ยปี้อานไม่กล่าวคำใด

“ข้าหิว” องค์ชายรองพูด “ข้าอยากกินผลไม้”

เซี่ยปี้อานมองถาดทองเหลืองอันว่างเปล่า นึกถึงวันวานที่องค์ชายรองกับฟ่านเสียนพบกันเป็นคราแรก จะโอ้โลม สัพยอก จะข่มขู่ไปเช่นไรฟ่านเสียนล้วนโต้กลับอย่างฉะฉาน เด็ดผลไม้กินอย่างสำราญทั้งที่มีกระบี่พาดคอ ไม่เพียงเท่านั้น ยังเปรยถึงเรื่องประหลาดน่าขบขันต่อคนแปลกหน้า คุณชายท่านนี้ทั้งบุคลิกการกระทำแปลกแยกแตกต่าง ไม่กลัวฟ้าไม่กลัวดินหรืออำนาจบารมีผู้ใด

อาจหาญถึงเพียงนี้ ฉลาดเฉลียวถึงเพียงนี้ กลับเอ่ยคำถามที่ไม่ว่าใครก็ล้วนคาดไม่ถึงออกมา

องค์ชายเชื่อเรื่องรักแรกพบหรือไม่

เซี่ยปี้อานยังจดจำใบหน้ายามได้ยินคำถามนั้นขององค์ชายรองอย่างแม่นยำ

“กระหม่อมจะสั่งคนมาจัดเตรียม”

“จัดเป็นสำรับสำหรับเดินทาง”

เซี่ยปี้อานหรี่ตาลง น้อยครั้งที่เขาจะย้อนคำพูดองค์ชายรอง แต่เวลานี้ไม่เสี่ยงไม่ได้ “ท่านจะไปสำนักหมอหลวง”

“จะเป็นที่ใดได้อีก”

“ท่านไม่เข้าเฝ้าฝ่าบาท แต่จะไปหาฟ่านเสียนหรือ”

“เสด็จพ่ออยากไปเองแทบขาดใจกลับไม่สามารถ คนเป็นลูก มิควรกระทำการทุกเรื่องราวแทนบุพการีหรอกหรือ” องค์ชายรองกล่าวเสียงเนือย “อีกทั้งฟ่านเสียนเป็นสหายของข้า จะไม่ไปได้หรือ”

ถึงตรงนี้ เซี่ยปี้อานไม่อาจทำความเข้าใจ ทั้งยังไม่กล้าทำความเข้าใจ

องครักษ์หนุ่มประสานมือ “กระหม่อมจะไปสั่งการเดี๋ยวนี้”

หลี่เฉิงเจ๋อยกจอกจรดริมฝีปาก ดื่มในครั้งเดียวก่อนโยนมันทิ้งแทบเท้า

เขาหันไปยังทิศทางหนึ่งอีกครั้ง ทิศที่ร่างหนึ่งกำลังนอนหายใจรวยริน

เอ่ยอย่างนุ่มนวล “เรื่องเหยียนปิงอวิ๋น ทำให้แน่ใจว่ามันไม่ได้ตายดี”

ประกาศิตมาเช่นนี้ เซี่ยปี้อานย่อมไม่คัดค้าน มองเงาร่างผู้เป็นนายเหยียดยาวบนพื้น ยืนเดียวดายใต้เปลวเทียนอันสั่นไหว ก่อนหมุนตัวเดินจากไป




ฟ่านเสียนเคยรำพึงว่ากับองค์ชายรอง ตนคล้ายไร้วาสนาไปพบพาน มีเพียงอีกฝ่ายเดินทางมาหาจึงได้นั่งลงจิบชาสนทนาพาทีกัน ทว่าแต่ละคราวที่ประสบพบล้วนทำให้เขาต้องสิ้นเปลืองกำลังสมองขบคิดตีความ ฟ่านเสียนจึงไม่นึกอยากพบคนผู้นี้บ่อย

แต่จะเลี่ยงอย่างไรก็คงมิอาจเลี่ยงได้ตลอดรอดฝั่ง คนขององค์ชายรองในเมืองหลวงใช่น้อยนิด ย่อมรู้ตำแหน่งของเขาอย่างง่ายดาย กลับกันจะหนีหน้าได้อย่างไรหากตนไม่ทราบความเคลื่อนไหวของอีกฝ่ายเลยแม้แต่น้อย

นั่งภายใต้ร่มของศาลาไม้ชั่วคราว มองความเวิ้งว้างของถนนศิลา ฟ่านเสียนเด็ดองุ่นเข้าปาก ทางหนึ่งชื่นชมรสชาติหวานหอม ทางหนึ่งใคร่ครวญว่าจะสานคำสนทนาเช่นไร

“กระหม่อมพบพระมารดาของท่านแล้ว”

“นางเป็นคนเข้มงวดนัก หวังว่าคงไม่ทำให้เจ้าต้องลำบาก” องค์ชายรองกล่าว

มุมปากฟ่านเสียนขยับขึ้น กล่าวถึงมารดาคล้ายนางเป็นผู้น้อยเช่นนี้ก็ได้หรือ

“ทำความเข้าใจยากอยู่บ้างแต่ไม่ลำบากกระไร พระนางเปี่ยมเมตตา ยังกล่าวให้คำแนะนำกระหม่อมอยู่หลายเรื่อง”

“อ้อ”

“ไม่ลองทายดูหรือว่าเป็นเรื่องอะไร”

“คงเกี่ยวกับตัวข้ากระมัง”

“หูตาองค์ชายรองกว้างไกลยิ่งนัก” ฟ่านเสียนส่งยิ้มหวานหยด

“แค่โชคดีเดาถูกเท่านั้น” อีกฝ่ายคลี่รอยยิ้มไม่ต่างกัน “ผู้เป็นมารดาจะกล่าวถึงเรื่องใดมากเท่าเรื่องบุตรธิดา”

“กับพระนางซูกุ้ยเฟย คงเป็นหนังสือ” ฟ่านเสียนแนบผลองุ่นบนริมฝีปาก “พระนางกล่าวว่าท่านมิได้เป็นดังที่แสดงให้เห็น คบหานานเข้าก็จะรู้ได้เอง”

“เช่นนั้น พวกเราคงต้องรักษามิตรภาพให้ยืนยาวเข้าไว้จะได้รู้จักกันให้ดียิ่งขึ้น”

ฟ่านเสียนยิ้มไม่กล่าวตอบ จุดประสงค์ขององค์ชายรองเขาอ่านออก แต่ในใจคล้ายมีหนามคอยสะกิดเตือนว่ายัง เขายังมองคนผู้นี้ไม่ทะลุปรุโปร่ง มีบางเรื่องที่ยังไม่ค้นพบ องค์ชายรองเป็นคนมากเล่ห์มากแผนการ แม้ตลอดมาดูเหมือนเป็นแต่ฝ่ายตั้งรับ ฟ่านเสียนกลับรู้สึกว่าที่เห็นเป็นแค่ปลายภูเขาน้ำแข็งเท่านั้น

เหมือนที่ซูกุ้ยเฟยว่า พระนางกล่าวจี้ใจดำเขาได้พอดิบพอดี

ขณะหยิบจอกสุรา นึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ ฟ่านเสียนหลุดเสียงหัวเราะ

“หัวเราะเรื่องอะไรหรือ” องค์ชายรองเอียงศีรษะ

“พระนางยังเอ่ยอีกว่าเฉิงเจ๋อกล่าวถึงกระหม่อมไว้มาก” ฟ่านเสียนใช้จอกบดบังรอยยิ้ม “ยามนั้นกระหม่อมไม่รู้ว่าผู้ใดคือเฉิงเจ๋อ”

หางตาเห็นเซี่ยปี้อานที่ยืนคุ้มกันไม่ไกลขยับตัวอย่างไม่สบายใจแล้ว ฟ่านเสียนยิ่งยิ้มกว้าง

“เช่นนั้นหรือ” เสียงที่เปล่งทุ้มต่ำไม่บ่งบอกอารมณ์

ฟ่านเสียนเงยหน้าพลันต้องชะงัก คำกล่าวที่เตรียมไว้เหือดหาย สองตาสบประสาน องค์ชายรองดื่มสุราจากจอก ทว่ากลับจดจ้องแต่ใบหน้าของเขา ไม่ยอมเคลื่อนคล้อยไปที่ใด

ยิ้มค้างเพียงชั่วครู่ ฟ่านเสียนรีบยกจอกดื่มสุราอึกใหญ่ รสชาติถึงกับร้อนแรงบาดคอกว่าปกติ

“ข้าไม่เคยแนะนำชื่อต่อเจ้าจริง ๆ ลืมไปได้อย่างไรนะ” องค์ชายรองกล่าวเสียงกังวาน สีหน้าสำนึกเสียใจ “ต่อไปนี้ ข้าให้เจ้าเรียกว่าเฉิงเจ๋อแล้วกัน”

ดีที่กลืนสุราลงคอไปก่อน หาไม่แล้วฟ่านเสียนคงสำลักใส่หน้าองค์ชายรองแน่

ยามปกติ เขาคงรับคำอย่างไม่นึกแยแส แต่ครั้งนี้จิตใจกลับไม่สงบ ได้รับอนุญาตเอ่ยนามองค์ชายแห่งแว่นแคว้นเท่ากับเป็นสหายสนิท ใครบ้างไม่ยินดี

นิ่งเงียบเด็ดผลไม้ทานอยู่นาน เป็นองค์ชายรองกล่าวต่อ “ยามพบหน้ามิได้เอ่ยถามนาม กลับถูกถามถึงความรัก ยังจำได้หรือไม่”

“กระหม่อมไม่มีวันลืม”

“จริงด้วยสิ เจ้าเคยกล่าวว่ามีความทรงจำเหมือนภาพ จดจำทุกอย่างที่ผ่านตาได้”

“กระหม่อมยังจำได้ว่าตอนนั้นไม่ได้รับคำตอบ”

“ข้าตอบไปว่าเข้าใจแล้วไม่ใช่หรือ เป็นเจ้าที่ไม่ยอมเชื่อ”

“ท่านไม่ได้เข้าใจจริง ๆ เสียหน่อย แค่กล่าวรับไปอย่างนั้นเอง ข้าเล่าให้ฟังอยู่ตั้งนาน” ฟ่านเสียนกลอกตาขึ้นฟ้า วรรคหลังบ่นอุบอิบกับตัวเอง

“เจ้าอธิบายให้ข้าฟังตอนนี้เลยเป็นไร”

“อืม” ฟ่านเสียนวางจอกลง “เรื่องนามธรรมเป็นสิ่งที่ยากจะอธิบายอย่างตรงไปตรงมา”

“เจ้าเป็นเซียนกวีก็ลองร่ายโคลงกลอนสักบทขึ้นมา”

องค์ชายรองโน้มตัวเข้าหา เท้าคางมองดู ดวงตาวาวอย่างเด็กน้อยรอชมเรื่องสนุก

เสียแต่เรื่องสนุกนั้น ออกจะสร้างความยากลำบากให้เขาไม่น้อย ไม่รู้เพราะเหตุใด ฟ่านเสียนเกิดความรู้สึกว่าไม่ควรกล่าวปัดด้วยเรื่องเหลวไหลอย่างทุกคราว

“องค์ชายอ่านหอแดงแล้วไม่ใช่หรือ”

“ข้าอ่านแล้ว”

“ท่านเคยกล่าวว่าเป็นเรื่องเล่าอันเยี่ยมยอดจริงหรือไม่”

“เป็นเช่นนั้นจริง”

“แล้วเยี่ยมยอดเพราะอะไร”

“สัมผัสอักษร ความนัยซ่อนเร้น วรรคตอนสอดคล้อง ไพเราะเสนาะหู”

“ไม่มีความรู้สึกต่อมันเลยแม้แต่น้อยหรือ ไยจึงจืดจางไร้อารมณ์ถึงเพียงนี้” ฟ่านเสียนส่ายหน้า

คำกล่าวสบประมาท ผู้ฟังกลับเผยรอยยิ้มขบขัน “หลักใหญ่ใจความของมันไม่อยู่ในความสนใจของข้า”

“กระหม่อมก็สังเกตอยู่นานแล้ว องค์ชายรองมิใช่ไม่รู้จักอารมณ์ความรู้สึก ท่านแค่เฉยชาต่อมัน หลายครั้งท่านประพฤติตัวเลียนรัชทายาทเพราะความเฉยชาทำให้ไม่ทันตระหนักว่าเวลาใดสมควรแสดงความรู้สึกอย่างไร”

องค์ชายรองค้อมศีรษะ สองแขนผายกว้าง ยอมรับแต่โดยดี “นับว่าเจ้าอ่านขาด”

ฟ่านเสียนถอนหายใจ “รักหนอรักคือสิ่งใด”

“คำถามนี้ เจ้ามิใช่รู้คำตอบจากหลินหว่านเอ๋อร์แล้วหรอกหรือ” อีกฝ่ายเย้ากลับ

ฟ่านเสียนหัวเราะแผ่วเบา ทานผลไม้ไปอีกหลายคำ หลินหว่านเอ๋อร์กับเขาเป็นเพียงสหายรู้ใจ ส่วนการแต่งงานเป็นข้อตกลงทางใจเพื่อปกป้องกันและกันเท่านั้น ซึ่งทั้งหมดนี้ก็ไม่ใช่เรื่องที่ต้องแพร่งพรายให้ใครทราบ

“องค์ชายรอง ท่านไม่เคยรู้สึกรักหรือ”

“ชั่วชีวิต ไม่เคยมีรักถลำลึกอย่างบุรุษสตรีในเรื่องหอแดงสักครา”

“ท่านทำให้ข้านึกถึงตัวละครหนึ่ง” ฟ่านเสียนอมยิ้ม

“ตัวละครใด”

“ท่านไม่รู้จักหรอก เป็นตัวละครที่ไม่ปรากฏในหนังสือเล่มใดมาก่อน ตัวละครนี้รู้จักรักด้วยวิธีอันแสนเจ็บปวด ถึงกับมีบทกลอนแทนคำนางในฉากนั้นว่า ถามไถ่ทั่วโลกหล้า อันว่ารักเป็นฉันใด จึงได้มอบแก่กันด้วยชีวิต

องค์ชายรองเลิกคิ้ว “นางได้รับคำตอบหรือไม่”

ฟ่านเสียนผินหน้ามองกำแพงหินกระด้างเย็น ถนนสายนี้ช่างไร้ชีวิตชีวาเมื่อปราศจากผู้คน

“นางไม่ได้ต้องการคำตอบแต่แรกแล้ว” ฟ่านเสียนรินสุราลงจอกทั้งสอง “ท่านเล่า ยังต้องการทราบหรือไม่ว่ารักในสายตาข้าเป็นเช่นไร”

รอยยิ้มที่ตอบกลับมาผิดจากทุกครา

ความมาดมั่นในดวงตาสั่นคลอน แฝงความประหม่าอันไม่ทราบเกิดจากเหตุผลกลใด องค์ชายรองแห่งแคว้นชิ่งผู้ไม่เคยคล้อยตามผู้คนโดยง่าย กลับดูลังเลขึ้นมา

แต่ว่าทั้งหมดนั้นเป็นความจริงหรือแค่การเสแสร้งแกล้งทำกันเล่า

ฟ่านเสียนไม่สนใจสักนิด

มองอีกฝ่ายยกจอกสุราขึ้นจิบ ตนกล่าวต่อ “กระหม่อมคิดว่าความรักไม่ได้มีเพียงความหมายเดียว ไม่ได้มีคำตอบตายตัวเหมือนการคิดคำนวณตัวเลข แต่ความหมายที่ตรงความเข้าใจของกระหม่อมที่สุดเห็นจะเป็นความรักในนิทานเรื่องหนึ่ง”

“นิทานเรื่องนี้เล่าถึงชายหนุ่มที่มาอาศัยในอารามร้างเพื่อหลบหิมะ เขามาจากที่ใด กำลังจะเดินทางไปแห่งหนใดล้วนไม่มีใครทราบ ในอารามร้างนั้น เขาพบชายชราสวมเสื้อผ้าเก่าขาดวิ่นกำลังนั่งผิงกองไฟ ท่าทางมาอาศัยหลบความหนาวเช่นเดียวกัน และข้างกายชายชรามีหุ่นกระบอกแสนสวย ชายหนุ่มทักทายชายชรา สนทนาถามไถ่ไปตามประสา”

“ชายชราเล่าว่าเขาเป็นคนเชิดหุ่นกระบอก ได้พบหุ่นกระบอกตัวนี้แต่เล็กแล้วบังเกิดความหลงใหลจึงหัดเชิดหุ่น ยึดเป็นอาชีพตลอดมา แต่อนิจจา สิ่งที่เขาได้รับตอบแทนจากการทำสิ่งที่ตนรักมีแต่ความยากจนข้นแค้น ไม่เคยได้มีช่วงเวลาที่สุขสบาย เอ่ยถึงตรงนี้เขาพลันเกิดโทสะ กล่าวคำผรุสวาทต่อขานว่าหากไม่เป็นเพราะหุ่นกระบอกตัวนี้ เขาคงประกอบอาชีพอื่น มีเงินทอง ร่ำรวยสุขสบายไปนานแล้ว — ยามนั้นเอง หยาดน้ำหลั่งรินจากดวงตาคู่งามของหุ่นกระบอกซึ่งนอนนิ่งอยู่ข้าง ๆ กัน”

“ชายหนุ่มพยายามปลอบประโลม ทว่ายิ่งทำให้ชายชราโกรธเกรี้ยว เขาคว้าหุ่นกระบอกโยนเข้ากองเพลิง หุ่นกระบอกค่อย ๆ ไหม้ไปพร้อมหยาดน้ำตา ไม่นานจากนั้นก็เหลือเพียงเถ้าถ่านในกองไฟที่ดับมอด”

“ตอนนั้นเองชายชราเพิ่งสำนึกได้ ตลอดชีวิตเขามีเพียงหุ่นกระบอกตัวนี้เป็นเพื่อนผู้รู้ใจ ร่วมเชิดหุ่นแสดงละครมายาวนานนับพันหมื่นเวที แต่เขาเผามันไปเสียแล้ว ว่าจบแล้วชายชราก็ร้องไห้ นับแต่นี้ไปหุ่นกระบอกที่รู้ใจ ไม่มีอีกแล้ว” *

“เปลวไฟลุกไหม้โชติช่วงอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะมอดดับ ด้านนอกพายุหิมะยังโหมกระหน่ำอย่างเหน็บหนาว”

เล่าจบ ฟ่านเสียนยกจอกขึ้นดื่มดับกระหาย ความเงียบตกลงครู่ใหญ่

“โง่งมยิ่งนัก” องค์ชายรองกล่าว

“ความรักก็เป็นเช่นนี้เอง”

“หากความรักเป็นเช่นชายชราผู้นั้น ความรักก็เป็นเพียงเรื่องโง่งม รู้อยู่ว่ารัก เหตุใดจึงทำลาย”

“บ่อยครั้งความรักไม่ได้เป็นดังที่ใจคิด เมื่อผิดหวังย่อมโกรธแค้น เมื่อพลาดพลั้งย่อมสำนึกเสียใจ รักเป็นส่วนผสมของความพึงใจ ความเมตตาอาทร ความแค้น ความทุกข์โศก ทั้งเอาแต่ใจ ทั้งเสียสละ วนเวียนเช่นนี้ไปไม่รู้จบ”

องค์ชายรองหัวเราะ “สมแล้วที่เจ้าเป็นเซียนกวี กล่าวคำใดออกมาล้วนแล้วแต่กินความหมายลึกซึ้ง”

“นิทานเรื่องนี้ยังมีบทเพลงเฉพาะของมันอยู่” ฟ่านเสียนเอ่ย

“เพลงหรือ เจ้าจะร้องให้ข้าฟังด้วยหรือไม่”

“กระหม่อมไม่มีความสามารถในการขับร้อง”

“ข้าจะรอฟัง”

ฟ่านเสียนทอดถอนใจ มองผมด้านข้างขององค์ชายรองที่ตกลงมาปรกตาซ้ายแล้วรู้สึกเกะกะ อยากเอื้อมมือไปปัดป่ายมันให้พ้นที่พ้นทาง

มุ่นคิ้วคว่ำปากแล้วจึงเอ่ย “กระหม่อมไม่ได้ตกปากรับคำอะไรทั้งนั้น”

องค์ชายรองยิ้มกว้าง ดันสำรับที่เหลือองุ่นพวงเดียวให้ แสดงน้ำใจแต่กลับคล้ายวางกับดักล่อ คล้ายนายพรานที่พร้อมออกล่าหมาป่า

“ข้าจะรอ”




เพียงเพื่อพบหน้าคนผู้หนึ่ง กลับต้องฝ่าด่านมากมาย หลี่เฉิงเจ๋อรู้ว่าเพราะเหตุใดฟ่านเสียนจึงมีความสำคัญในใจใครหลายคนนัก แต่ไม่รู้ว่าคนเหล่านั้นกลับยอมทำทุกทางเพื่อปกป้อง กระทั่งหักหาญน้ำใจองค์ชายรองอย่างเขาก็ไม่เว้น

ทว่าท้ายที่สุดขอนไม้ก็ไม่อาจทานกระแสน้ำเชี่ยว มีเรื่องราวมากมายที่อยู่นอกการควบคุม อยู่เหนือความรู้สึกนึกคิด เล่นเล่ห์อย่างไรหลี่เฉิงเจ๋อก็ก้าวเข้ามาในห้องพักของฟ่านเสียนจนได้

ย้ายจากเรือนในสำนักหมอหลวงมายังบ้านสกุลฟ่าน เรือนของฟ่านเสียนมากด้วยอุปกรณ์งานประดิษฐ์หน้าตาประหลาด ตั้งอย่างโดดเดี่ยวห่างไกลจากเรือนอื่น ไร้ข้ารับใช้ หลี่เฉิงเจ๋อไม่นึกสงสัยในวิธีจัดการนี้ สั่งให้เซี่ยปี้อานเฝ้าอยู่ด้านนอกแล้ว ตนเดินเข้าด้านใน มุ่งไปยังเตียงนอนกลางห้อง

ผ้าแพรสีฟ้าอ่อนคลี่คลุมไม่เห็นคนที่นอนอยู่ มือเอื้อมแหวกออก แทนที่จะพบคนกำลังนิทรา กลับได้เห็นดวงตาปรือเปิดอย่างคนที่ยังไม่ได้สติครบถ้วน

“ฟื้นมานานเพียงใดแล้ว” หลี่เฉิงเจ๋อเอ่ยถาม

“เมื่อชั่วยามก่อน” เสียงแหบพร่าตอบกลับ “ท่านมาทำอะไรที่นี่”

“มาเยี่ยมเจ้าอย่างไรเล่า” หลี่เฉิงเจ๋อย่างเท้าเข้าไปนั่งริมเตียง สะบัดแขนเสื้อแล้ววางมือข้างลำตัวฟ่านเสียน สังเกตร่างที่สั่นขึ้นมาเมื่อตนขยับเข้าใกล้แล้ว องค์ชายรองลอบยิ้ม เห็นคนตรงหน้าจะลุกขึ้นนั่ง ตัวยิ่งโน้มหาหมายช่วยประคอง ฟ่านเสียนเม้มริมฝีปากคล้ายสะกดความเจ็บขณะขยับกาย ไม่อาจปฏิเสธมือที่คว้าจับแขนแน่น

มองความอิดโรยหม่นหมองบนใบหน้าอีกฝ่ายแล้ว หลี่เฉิงเจ๋อบังเกิดความรู้สึกขึ้นในใจ ราวกับมีผู้ใดยื่นมือเข้ามาในอกแล้วกำหัวใจไว้ ไม่บีบไม่คลาย ชวนให้คนไม่อาจสงบอยู่ได้

ลูบเส้นผมที่ยาวสยาย สัมผัสความอ่อนนุ่มด้วยปลายนิ้ว หลี่เฉิงเจ๋อกล่าว “ผมเจ้ายาวขึ้นมาก”

“งานราชการยุ่งเหยิง ยากจะมีเวลาดูตัวเอง”

“ตอบรับข้อเสนอของข้าแต่แรกก็คงไม่ต้องประสบเรื่องยุ่งยากนี้แล้ว”

ฟ่านเสียนคล้ายอยากจะหัวเราะ “น่าเสียดาย แม้ข้าจะรักความสุขสบาย แต่ก็ไม่ปรารถนาจะเป็นหมากของใคร”

หลี่เฉิงเจ๋อผ่อนลมหายใจ “รู้แต่แรกแล้วว่าไม่อาจเปลี่ยนใจเจ้าได้ ทว่าก็ยังไม่อาจหยุดหวัง”

เขาพ่ายแพ้แต่แรกแล้ว ทว่าไม่อาจหักใจจากความสนุกของแต่ละฉากการแสดงได้ ฟ่านเสียนเป็นบุคคลน่าสนใจที่สุดนับแต่ลงสนามแย่งชิงอำนาจในเมืองหลวง ทั้งความแตกต่าง ความสามารถในการครองใจผู้คน ความงดงามยามร่ายโคลงกลอนร้อยบท ยามเคลื่อนไหวพร้อมกลิ่นอายสังหาร หลี่เฉิงเจ๋อสำนึกตัวแล้วว่าที่พิศมองไม่เลิกรา ที่ไม่อาจปล่อยมือลงได้นั้นเพราะเขาบังเกิดความลุ่มหลงต่อคน ๆ นี้เสียแล้ว

ยกมือขึ้นแนบริมฝีปาก จุมพิตเส้นผมดำขลับ ประคองสายตาอย่างสื่อความหมาย ดวงตาสุกใสสลับเป็นความตื่นตะลึง ก่อนแปรเปลี่ยนเป็นเย็นชา หลี่เฉิงเจ๋อใช่ว่าไม่เคยเห็นดวงตาคู่นี้มาก่อน เขายังนึกรักมันด้วยซ้ำ “เป็นความผิดข้าเอง”

“ความผิดท่านหรือ”

“ที่ทำให้เจ้าต้องบาดเจ็บ เป็นข้าบีบบังคับเจ้าเกินไป ทำให้สถานการณ์เข้าตาจนมากเกินไปจนเหยียนปิงอวิ๋นขาดสติ”

“เขาไม่ได้ขาดสติเลยสักนิดและท่านก็ไม่ได้ทำให้ข้าเข้าตาจนด้วย เซี่ยปี้อานกำลังเสียทีข้าอยู่แล้ว...” ฟ่านเสียนกระซิบ แล้วพลันเปลี่ยนสีหน้า “ยามนี้เขาอยู่ที่ใด”

“ใครหรือ” หลี่เฉิงเจ๋อตีหน้าฉงน

“เหยียนปิงอวิ๋นอย่างไรเล่า”

รอยยิ้มผลิบานเฉิดฉาย “ข้าก็ไม่ทราบ”

มีหรือที่ฟ่านเสียนจะเชื่อ “ในคุกสำนักตรวจสอบกระมัง”

“เช่นนั้นเขาก็โชคร้ายอย่างยิ่ง ได้ยินว่าฝ่ายลงทัณฑ์ของสำนักตรวจสอบเป็นอสุรกายไร้ปรานี และเสด็จพ่อ...ก็กริ้วอยู่ไม่น้อย ท่านเฉินเองก็มิได้เก็บงันไออาฆาตเอาเสียเลย มีคนไม่น้อยที่ต้องทุกข์ร้อนเพราะเจ้า”

สังเกตกิริยาอย่างละเอียด ระหว่างที่เขาเอ่ยถึงฮ่องเต้ ฟ่านเสียนดูเฉยชากว่าปกติมาก

เคืองโกรธที่ถูกใช้เป็นหมาก หรือรู้ถึงชาติกำเนิดตนแล้วกัน

ฟ่านเสียนเหลียวหน้ากลับมามองเขา ขมวดคิ้วมุ่น “เหยียนปิงอวิ๋นถูกคุมขัง ท่านกลับยังเดินเข้าออกเรือนของข้าอย่างสบายใจ”

“ข้าไม่ได้ทำอะไรและยังเป็นสหายของเจ้า ไยจะเข้าออกไม่ได้”

“ยังกล้าใช้คำนี้อีกหรือ”

“ตัดอะไรก็ไม่ยากเท่าตัดสัมพันธ์ เจ้าว่าจริงหรือไม่”

“ไม่จริง”

หลี่เฉิงเจ๋อหัวเราะ “นั่นเท่ากับว่าที่ผ่านมาจนกระทั่งก่อนเรื่องในเป่ยฉี ในใจเจ้าก็มีข้าอยู่”

ฟ่านเสียนเหยียดริมฝีปาก “ท่านเป็นองค์ชาย เพื่อเห็นแก่ฮ่องเต้ ข้าไม่อาจทำตัวแล้งน้ำใจต่อท่านได้”

“ฟังแล้วก็สมเหตุสมผล” หลี่เฉิงเจ๋อโคลงศีรษะ “แต่ข้าขอเลือกที่จะเชื่อความคิดตัวเอง”

“ข้าไม่อาจบีบบังคับองค์ชายอยู่แล้ว”

ฟ่านเสียนยกแขนขึ้นบังใบหน้าแล้วไอเสียงดัง

หลี่เฉิงเจ๋อคอยลูบหลัง “รู้เช่นนี้ ข้าน่าจะสั่งคนให้เตรียมสำรับอาหารและน้ำชาไว้ตลอด มาครั้งแรกเห็นเจ้าไม่ยอมฟื้น ครั้งถัดไปจึงไม่ได้เตรียม”

ฟ่านเสียนตกไปในภวังค์ครู่หนึ่ง ก่อนเชิดหน้าขึ้น “องค์ชายรองช่างเอื้อเฟื้อ แต่ไม่จำเป็นเลย เรือนของข้าไม่มีคนไม่ได้หมายความว่าจะขาดแคลนสิ่งใด คราวหลังก็ไม่ต้องให้สิ่งใดมาอีก”

“แม้เป็นสิ่งที่เจ้าปรารถนาหรือ”

นัยน์ตาฟ่านเสียนวาววาม “จะให้สิ่งใดมาก็เปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้”

“ย่อมไม่ได้” มุมปากหลี่เฉิงเจ๋อกระตุกยิ้ม มองไฝเม็ดเล็กบนจมูกรั้น ๆ นั่นแล้ว มือล่องหนที่ค้างอยู่ในอกพลันบีบแน่นขึ้น “ดังเช่นอะไรที่ตายแล้ว ข้าย่อมทำให้มันฟื้นกลับมาไม่ได้”

ทันทีที่กล่าวจบ ดวงตาแสนงามโชนขึ้นดั่งดวงไฟ คล้ายต้องการแผดเผาเขาให้ตกตาย หลี่เฉิงเจ๋อไม่อาจละสายตา ภาพตรงหน้าจับใจเหลือเกิน เขาอยากเก็บคนผู้นี้ไว้ไม่ให้ใครได้ยินยลโฉมอีก

“เรื่องของชายชรากับหุ่นกระบอกที่เจ้าเล่าให้ฟัง ข้าคิดถึงมันมาตลอด” หลี่เฉิงเจ๋อหลุบตาลง กอบกุมมือฟ่านเสียนขึ้นไว้บนตัก ก่อนโน้มตัวหา กลิ่นหอมอ่อนอันสดชื่นต้องจมูก ดูดดึงให้ยิ่งอยากชิดใกล้ เหมือนภมรที่ไม่อาจเบือนหนีบุปผา

แม้มีหนามแหลมคม ก็ยินดีที่จะหลั่งโลหิตเพื่อให้ได้สัมผัสสักครา

“คิดอยู่ตลอด ว่าหากเป็นข้าจะไม่โยนหุ่นกระบอกลงกองเพลิง แต่จะก่อไฟเผาให้มอดม้วยไปพร้อมกัน ยังน่าสนุกกว่า”

“เช่นนั้นท่านก็เสียสติไปแล้ว”

“เสียสิ่งหนึ่ง แต่ได้ครอบครองอีกสิ่งหนึ่ง ไม่คิดว่าคุ้มค่าหรือ”

ฟ่านเสียนไม่ต่อคำใด

มองจนพอใจแล้ว หลี่เฉิงเจ๋อลุกขึ้นยืน “พักผ่อนเถิด แล้วข้าจะมาเยี่ยมใหม่”

อีกฝ่ายทำท่าจะปฏิเสธ หลี่เฉิงเจ๋อจรดปลายนิ้วชี้บนริมฝีปาก

“ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว”

ความเงียบโรยลงไม่ทันไร กลับสดับได้ยินเสียงหายใจ ดวงหน้าฟ่านเสียนซีดขาวกว่ายามแรกที่พบหน้า หลี่เฉิงเจ๋อหลับตาลงครั้งหนึ่ง มือล่องหนยังบีบคั้นหัวใจของเขาไม่เลิกรา

ท้ายที่สุดไม่อาจหักห้าม องค์ชายรองก้มตัวลง ฉวยจูบบนปลายจมูกฟ่านเสียนแผ่วเบา ดูสีหน้าคนป่วยที่กลายเป็นซีดสลับแดงแล้วต้องหัวเราะออกมา

“เจ้ากับข้า ต่อไปนี้อาจยากจะเลี่ยงการห้ำหั่น แต่อย่างไรก็ขอละเว้นช่วงเวลาร่ำสุราของเราให้เป็นอย่างที่เคยเป็นมาเถิด”






* ชายชรากับหุ่นกระบอกเป็นเรื่องที่อ่านจากใต้คอมเมนท์เพลงบทละครหุ่นเชิด


วันอาทิตย์ที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2565

[Black Panther] Ceasefire (Erik/T'Challa)


Ceasefire

Black Panther (2018)

— Erik Killmonger / T’Challa —

Warning : Cousin Incest, Suicidal Thoughts




1


“น่าจะปล่อยให้ฉันตาย”

“แต่ที่ได้ยินคือนายยอมตายดีกว่าไร้อิสรภาพ”

เอริคตาวาว จ้องราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ สีอำพันทั้งคู่วาวโรจน์ขณะที่ใบหน้าเย็นชาห่างเหิน เขาเหมือนภูเขาไฟที่หากไม่จ้องลงไปในปากปล่องตรง ๆ ก็จะไม่มีทางเห็นธารลาวาเดือดปะทุอยู่ข้างใน 

ลูกพี่ลูกน้องผู้เคยสาบสูญเชิดหน้าขึ้น มือกระชากคอเสื้อตนเองลงให้เห็นสร้อยลูกปัดกิโมโยสีดำรอบลำคอ “แล้วสิ่งนี้ต่างจากคุกตรงไหน”

เขาหัวไวและช่างสังเกต ทั้งที่เพิ่งฟื้นจากอาการบาดเจ็บได้ไม่นานก็สามารถอ่านสถานการณ์ของตัวเองออก ทีชัลลาไม่อาจคาดหวังอะไรได้มากไปกว่านี้แล้ว 

แทนที่จะใช้ถ้อยคำสร้างสะพานสันติ ทีชัลลากลับนึกอยากทดสอบขอบเขตของอีกฝ่าย จุดยืนทางอำนาจระหว่างพวกเขาพลิกผันเป็นอันมากในช่วงไม่กี่วันนี้ “มันไม่ใช่ผนังครอบสี่ด้าน หากนายไม่สร้างปัญหามันก็จะเป็นแค่เครื่องประดับชิ้นหนึ่ง”

“แล้วหากฉันสร้างปัญหาที่ว่านั้นล่ะ” ราวเส้นความอดทนขาด เอริคผุดลุกขึ้นจากเตียง มือพุ่งออกคล้ายการตะปบ แต่ก่อนที่ปลายนิ้วจะสัมผัสกษัตริย์แห่งวาคานด้า นักฆ่าหนุ่มก็ล้มลงบนพื้น ตัวกระตุกเพราะกระแสไฟฟ้าที่แล่นปลาบมาจากสร้อยกิโมโย

“มันก็จะช็อตนายจนสลบยังไงล่ะ” ชูรีร้องบอกจากอีกฟากของห้องแล็บ เธอเงยหน้าขมวดคิ้วมองทีชัลลาขึ้นลง “เขายังไม่ได้ทำอะไรพี่ใช่ไหม”

“ยัง แต่เธอกำลังจะทำให้เขาสลบไปอีกครั้งแล้ว พอได้แล้วชูรี”

ลูกปัดกิโมโยหยุดทำงาน เอริคขยับมานอนหงายกับพื้น หอบหายใจไปพร้อมทั้งแค่นหัวเราะ “เหมือนปลอกคอหมา นี่คือรางวัลสำหรับหน่วยวอร์ด็อกที่เลี้ยงไม่เชื่องงั้นสิ ฝ่าบาท

ทีชัลลาไพล่มือไว้ข้างหลัง กล่าวเสียงเรียบ “พวกเราไม่ได้เลินเล่อถึงขนาดมองว่าชัยชนะครั้งหนึ่งจะกำราบผู้ต่อต้านลงได้ สงครามไม่ใช่การแก้ปัญหาที่ยั่งยืน ในเวลาเดียวกัน สิ่งที่นายใช้จูงใจพวกเขามีน้ำหนักพอให้นำมาใคร่ครวญ แต่ไม่มากพอให้ลดความระมัดระวัง” 

“คนนอกยังไงก็เป็นคนนอก” เอริคหัวเราะในลำคอ “แค่ฆ่าทิ้งเสียก็จบแล้ว เหมือนที่พ่อนายทำไง อีกอย่างฉันตัดสินใจแล้วว่าจะตาย นายไม่มีสิทธิ์มาพรากการตัดสินใจไปจากฉัน”

อาชญากรรมเก่าก่อนสะกิดแผลระบมร้าวที่ไร้รูปไร้รอย ต้องใช้เวลาและความพยายามอีกมากในการสมานสิ่งพังทลายขึ้นมาใหม่ กษัตริย์หนุ่มถอนหายใจก่อนย่อเข่าลงชิดลูกพี่ลูกน้อง เอริคมองตอบด้วยสายตาแข็งกร้าว แต่ทีชัลลาไม่ถอยหนี ไม่อีกแล้ว “ฉันไม่ได้พรากมันไป”

“การกระทำของนายกลับตรงกันข้าม”

“ฉันต่อเวลาให้นายได้พิจารณาตัวเลือกนั้นอีกครั้ง” ทีชัลลาพูด ประคองสายตาอย่างเคลื่อนคลาย เขาไม่ต้องการให้ข้อความใดที่ซ่อนหลังการกระทำของลูกพี่ลูกน้องคนนี้หลุดรอดจากสายตา

เมื่อเอริคนิ่งเงียบ เขาจึงกล่าวต่อ “นี่ไม่ใช่การไว้ชีวิต เอริค”

นี่คือความเห็นแก่ตัวของเขา ความเอาแต่ใจที่จะแก้ไขข้อผิดพลาดซึ่งสายเกินการณ์และอีกฟากฝั่งยังไม่ปรารถนาจะรับไว้

“เวลาสามเดือนคงไม่มากไม่น้อยเกินไปสำหรับการเตรียมตัวตาย”




2


นอกจากวะคาบี ชูรีและเอ็มบาคู ทุกคนในสภาล้วนคัดค้านเป็นเสียงเดียวกันต่อการตัดสินใจของกษัตริย์

“เขาเป็นตัวอันตราย” หัวหน้าเผ่าวาณิชเอ่ยปาก “ท่านก็เห็นแล้วว่าเขาทำอะไรได้บ้าง เขากระจายความคิดที่นำมาซึ่งความขัดแย้งในหมู่พวกเรา ทำให้คนของเราต้องบาดเจ็บล้มตาย และเกือบทำให้วาคานด้าต้องเข้าสู่สงคราม”

หัวหน้าเผ่าชายแดนก้มหน้าลง ไม่กล้าสบตาผู้ใด ทีชัลลาลอบมองสหายอย่างเห็นใจ เขาเข้าใจความคับข้องของทุกคนในที่แห่งนี้ มารดาของเขายังไม่อาจลบภาพที่บุตรชายถูกโยนลงจากน้ำตก หัวหน้าเผ่าอื่น ๆ ไม่พอใจที่ถูกล่อลวงและกดอยู่ใต้ความหวาดกลัวจากน้ำมือผู้ที่เติบโตนอกประเทศ ไม่ว่าจะเป็นเอริค คิลมองเกอร์หรือเอ็นจาดากา ไม่ว่าในฐานะใด เชื้อสายวาคานด้าที่กำเนิดนอกดินแดนก็ไม่เป็นที่ต้อนรับ

เอ็มบาคูที่นิ่งเงียบมาตลอดกลับใช้จังหวะนี้ร้องตะโกนแล้วชี้ไปที่ทีชัลลา “แต่สิ่งที่เขากล่าวมามีเหตุผล”

โอโคเยถลึงตาจากข้างบัลลังก์ “เจ้าต้องขานเขาว่ากษัตริย์หรือพยัคฆา”

“ยังไงก็ช่าง” หัวหน้าเผ่าจาบารียกสองมือ “การทำความเข้าใจศัตรู เพื่อแก้ข้อบกพร่อง เพื่อให้พวกเราเข้มแข็งและเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันนั้นฟังเข้าท่ากว่าการโยนเจ้าหนุ่มนั่นลงทัณฑ์ประหาร”

นายพลหญิงขมวดคิ้วหน้าเครียด ชูรีป้องปากบังรอยยิ้ม

ทีชัลลามองเอ็มบาคูอย่างประหลาดใจ ผู้ที่ครั้งหนึ่งเคยท้าทายอำนาจของเขา แต่แล้วกลับเปิดประตูรับราชาที่แพ้พ่ายจากการประลอง ดูแล้วผู้ที่ตระหนักถึงคำว่าโอกาสที่สองดีกว่าใครอื่นคือผู้ที่ประสบโชคชะตาของการล้มแล้วลุกจากทิฐิของตนเอง

การประกาศสนับสนุนอย่างเปิดเผยครั้งนี้มากด้วยคุณ เพราะเป็นที่รู้ทั่วว่าหัวหน้าเผ่าจาบารีไม่เคยรอมชอมต่อกฎเกณฑ์ของตน

“ข้าตระหนักดีว่าเขามีสายเลือดเดียวกัน แต่ท่านก็ไม่ควรใจอ่อน ปล่อยให้คนเช่นนั้นสามารถเดินไปทั่วเมืองได้อย่างอิสระ” หัวหน้าเผ่าวาณิชเอ่ยต่ออย่างไม่ใส่ใจ

“ข้ายังมีข้อจำกัดการเข้าออกสถานที่สำคัญ พวกท่านวางใจได้” ทีชัลลาพูด เขาเหลียวไปทางมารดาแล้วกุมมือนาง ผู้ที่เขาหวังจะปลอบประโลมมากที่สุด นางนั่งนิ่ง สายตากระด้างแต่แฝงความกังวล ทว่าสุดท้ายยอมผ่อนปรน รามอนด้าบีบมือบุตรชายตอบ

รอยยิ้มบางผุดพรายขึ้นบนริมฝีปากราชา “เชื่อเถอะท่านทั้งหลาย หากเราเปิดใจเขาได้ เขาจะเป็นหนึ่งในบุคคลทรงคุณค่าที่สุดของเรา”




3


ทีชัลลายอมรับว่าตนอาจมองโลกในแง่ดีหรือด่วนตัดสินเกินไป การรับมือลูกพี่ลูกน้องที่ไม่เคยรู้ว่ามีตัวตนอยู่นี้ท้าทายขีดความอดทนของเขาเกินใครคาดหมาย แม้กระทั่งกับตัวเขาเอง

เขาเคยภาคภูมิกับความเยือกเย็นต่อการพิจารณาหาทางรับมือสถานการณ์หลากรูปแบบ แต่อดีตสายลับหญิงได้พิสูจน์ต่อหน้าเขาแล้วครั้งหนึ่งว่ามันคือความหลงตัว อาชญากรที่พรากบิดาของเขาไปได้แสดงให้เห็นว่าการสนองแค้นด้วยความรุนแรงไม่ใช่หนทางเรียกร้องความยุติธรรม แม้ผ่านประสบการณ์คล้ายคลึง แต่ทีชัลลาก็ยังไม่ใช่ตัวเลือกที่ดีเมื่อต้องต่อรองกับอารมณ์โกรธเกรี้ยวที่บ่มเพาะมายาวนานแทบตลอดชีวิต เขาถูกเลี้ยงดูมาเพื่อปกครอง เพื่อความพร้อมด้านการทูตกับสงคราม และเพื่อเป็นสมิงดำแห่งวาคานด้า

ทว่าจะสูงหรือต่ำ จะเป็นผู้วิเศษหรือชนสามัญ ไม่ว่าใครก็ไม่อาจหลีกหนีปัญหาซึ่งเปิดเปลือยจุดอ่อนและความกลัวของตนไปได้

“รางขนส่งไวเบรเนียมสายหนึ่งชำรุด” ทีชัลลาพูดขึ้นเมื่อก้าวเข้ามาในบริเวณห้องพักของลูกพี่ลูกน้องผู้อยู่ใต้อาณัติ

เอริคนั่งบนเก้าอี้นวม ขาเหยียดพาดบนโต๊ะ แขนข้างหนึ่งยกรองศีรษะ มืออีกข้างถือหนังสืออ่าน เขาสวมผ้าคลุมรุ่มร่ามแทบไม่ปิดบังเนื้อหนังมังสา ไม่เปลี่ยนท่าหรือลุกขึ้นยืนรับ เพียงปรายมองจากหางตาและขยับมุมปากก่อนกลับไปสนใจหนังสือวัฒนธรรมวาคานด้าต่อ

ทีชัลลาจ้องอีกฝ่าย คำถามที่ว่าทำได้อย่างไร คงไม่สำคัญเท่าข้อเท็จจริงที่ว่าเอริคหาจุดบอดในระบบตรวจจับภัยคุกคามของชูรีเจอ “รถขนส่งไวเบรเนียมหายไปหนึ่งขบวน”

หลังหน้าหนังสือ เอริคฉีกยิ้มกว้าง

ทีชัลลาส่ายหน้า ภายนอกที่ดูเหมือนให้ความร่วมมือด้วยดีนั้นเต็มไปด้วยการกระทำแยบยลซ่อนจุดประสงค์ ทุกอย่างเป็นไปตามที่คาดการณ์ แต่การจะไล่ตามอดีตทหารและผู้ก่อการร้ายฝีมือฉกาจฉกรรจ์นั้นกลับเป็นอีกปัญหาใหญ่ที่กระทั่งนักรบโดรามิลาเจยังต้องทุ่มสุดตัว

“นายหวังผลอะไรจากการระเบิดชายแดนเผ่าวารี สร้างสถานการณ์เพื่อหาทางหลบหนีหรือ นั่นไม่ใช่ข้อตกลงของเรา”

“ฉันไม่เคยร่วมตกลงอะไรทั้งนั้น” เอริคโยนหนังสือลงบนโต๊ะ เขาไม่ได้แสดงอาการประหลาดใจสักนิดที่ถูกจับได้ “แล้วไหนว่าจะเชื่อใจกันอย่างไรเล่า ท่านพี่ รู้ถึงขนาดนี้แสดงว่าตามสอดแนมฉันทุกฝีก้าวเลยนี่หว่า”

เขาเคยบอกเอริคว่าที่ยอมให้เข้าออกที่พักได้อิสระเพราะเชื่อใจอีกฝ่าย “ฉันเชื่อว่านายจะไม่ยอมอยู่เฉย นั่นดูจะไม่ใช่ธรรมชาติของนาย”

“พลิกลิ้นอย่างนักการเมือง” เอริคเงยหน้า คลี่รอยยิ้มราวกับกรด “คุณลุงสอนสั่งมาได้ดี”

ทีชัลลาไม่ใส่ใจคำยั่วโทสะ “สงครามไม่ใช่หนทางเดียวของการอยู่ร่วมกับโลกภายนอก”

เอริคลุกขึ้น ทุกย่างก้าวที่เข้าใกล้เหมือนเสือต้อนเหยื่อ “การประนีประนอมคือการเปิดทางให้พวกคนขาวฉกฉวยโอกาส ไม่เห็นหรือว่าพวกมันสามารถทำอะไรได้บ้างเพื่อให้พวกพ้องตนยังคงเป็นมหาอำนาจของโลก”

“ฉันรู้ว่าโลกภายนอกมองเรายังไง” ทีชัลลายืนกับที่ แม้เอริคเข้ามาในระยะเอื้อมถึงตัว “สงครามอาจกำราบพวกเขาลงได้ แต่คนกลุ่มแรกที่เดือดร้อนและล้มตายคือประชาชน มันเป็นเช่นนั้นเสมอ ครอบครัวต้องแตกแยก พี่น้องต้องพลัดพราก นั่นคือสิ่งที่นายต้องการแน่หรือเอริค”

เอริคขบกราม “อย่างน้อยมันก็ช่วยสร้างโลกที่ดีขึ้น สุดท้ายทุกคนก็ต้องตาย”

“ทุกคนต้องตายในสักวันหนึ่ง” ทีชัลลายอมรับ “เพียงแต่ต้องไม่ใช่ด้วยเส้นทางนี้”

“พ่อของนายไม่ได้คิดแบบนั้นตอนฆ่าพ่อของฉัน” เอริคแสยะยิ้มก่อนเดินกระแทกตัวจากไป

ทีชัลลาก้มมองหนังสือที่เปิดค้าง หยิบมันขึ้นมาสอดที่คั่นหน้าก่อนวางมันลง เขาเดินมือไพล่หลังกลับไปที่ห้องทำงานอย่างไม่เร่งร้อน แต่ตลอดเส้นทางที่รายล้อมด้วยทิวทัศน์ของบ้านเกิดเมืองนอน เขากลับไม่อาจถอดภาพรอยยิ้มที่ขมขื่นที่สุดที่เคยพบจากความคิดคำนึงได้เลย




4


ทีชัลลานั่งมองเอริคอยู่นอกลานประลอง ร่างกำยำที่เต็มไปด้วยรอยแผลนูนเคลื่อนไหวปราดเปรียวจนแทบไม่อาจไล่สายตาตาม แต่ละย่างก้าวแผ่วเบา ประกายสังหารแผ่พุ่งคุกคาม เหมือนเสือเล่นเหยื่อก่อนลงมือฆ่า แม้ถูกล้อมจู่โจมด้วยนักรบโดรามิลาเจทั้งห้า รวมถึงนายพลที่แข็งแกร่งที่สุดแล้วก็ยังไม่สามารถล้มทายาทของเอ็นโจบูลงได้

ชายหนุ่มยังมีฤทธิ์จากสมุนไพรรูปหัวใจในโลหิต แต่จำต้องยอมรับว่าฝีมือของเอริคเฉียบคมอย่างน่าหวาดหวั่น ทุกการเคลื่อนไหวถึงตายหากเขาตั้งใจปลิดชีพคู่ต่อสู้ กระทั่งทีชัลลายังรู้แน่ว่าตนอาจไม่มีโอกาสชนะเป็นหนที่สอง ลูกพี่ลูกน้องของเขาคนนี้ใช้ชีวิตในสนามรบจนเจนจัดการล่าสังหาร

เมื่อใช้เวลาส่วนใหญ่หมกมุ่นกับความรุนแรงก็เท่ากับทำให้จิตวิญญาณเสื่อมถอย ทว่าจะห้ามไม่ไห้จับอาวุธเลยก็ไม่ใช่วิธีแก้ปัญหาในระยะยาว เหมือนอาการเสพติด เขาต้องการให้เอริคเห็นอีกด้านหนึ่งของการต่อสู้ ไม่ใช่แค่เพื่อดับชีวิตแต่เพื่อปกป้อง ช่วยให้สายเลือดที่เกิดและอาศัยอยู่โลกภายนอกได้เห็นรากเหง้าของตน เห็นวิถีของวาคานด้า

ทีชัลลาหวังด้วยทั้งหมดของหัวใจว่าเอริคจะพบสิ่งที่เขาเห็นมาแต่เยาว์วัย หวังว่าอีกฝ่ายจะพบบ้านของตน

เสียงประอาวุธเรียกทีชัลลาให้ตื่นจากภวังค์ เอริคกำลังเป็นต่อ ดาบคู่ตวัดฟาดฟัน ทุกแรงส่งดุดันขึ้นทีละนิด เหล่านักรบหญิงถูกกดดันล่าถอย กระนั้นโดรามิลาเจจะไม่มีวันยอมรับความพ่ายแพ้ โดยเฉพาะกับคนที่เคยมองว่าเป็นศัตรู หากไม่ชนะก็ขอตาย

ทีชัลลาเขาไม่อาจยอมรับได้ เขากดลูกปัดบนข้อมือเงียบ ๆ และที่สนามเอริคล้มหงาย ทุกการเคลื่อนไหวหยุดชะงัก

โอโคเยหน้าตึงก่อนกราดสายตามาทางเขา นางรู้เท่าทันกษัตริย์หนุ่มเสมอ “เรายังไม่เสร็จธุระ” โอโคเยชี้ปลายหอกไปยังเอริคก่อนพาหญิงสาวทั้งหมดออกจากลานประลอง

เหลือเพียงพวกเขาสองคน

“ทำไมไม่เอายาขับพลังจากสมุนไพรให้ฉันกิน” เอริคลุกขึ้นนั่ง วงหน้าประดับรอยยิ้มยโส “พวกหล่อนจะได้รู้ว่าถึงไม่มีพลังนี้ฉันก็เอาชนะได้อยู่ดี”

ทีชัลลารู้ว่าเป็นคำถามลองเชิง เอริคไม่ได้อยากเอาชนะโดรามิลาเจเท่ากับอยากรู้ทางรอดจากการควบคุมของเขา “เพราะยาขับพลังมาจากใบของสมุนไพรรูปหัวใจ”

เอริครับคำ “ฉันสั่งให้เผาหมดแล้ว”

“โชคดีที่มีคนเก็บรากของสมุนไพรไว้จึงยังสามารถปลูกใหม่ได้”

“นั่นขัดคำสั่งฉัน” เอริคเดาะลิ้น

การข่มขู่โน้มน้าวใครไม่ได้อย่างแท้จริงหรอก ไม่ต้องพูดถึงความไร้เหตุผลของมันเลย นายควรจะทำความเข้าใจและให้ใจกับพวกเขา”

“เหมือนที่นายกำลังทำตอนนี้น่ะหรือ”

ความเงียบลุกลามราวธารน้ำตก เป็นความครึกโครมแสนนิ่งสงบและกลบสิ่งใดก็ตามที่เกิดขึ้นในวินาทีนี้

ทีชัลลาจนคำพูด เขาเห็นสิ่งเดียวกันนี้บนใบหน้าของเอริค ความประดักประเดิด ทาบปิดรอยยิ้มพริ้มพรายอย่างรวดเร็วราวกับความเปียกปอนนั้น แค่ใช้สายลมพัดก็แห้งเหือด

เอริคลุกขึ้นปัดกางเกง เดินลากหอกกรีดพื้นเป็นทางแล้วมาหยุดตรงหน้าเขา ก่อนโน้มตัวลงใกล้อย่างจงใจ

“ฉันไม่รับคำสั่งจากใครทั้งนั้น ทีชัลลา”

ชายหนุ่มปักหอกลงบนพื้น ทีชัลลาหลุบตาลงมองรอยแยกเล็ก ๆ บนพื้นอิฐ กษัตริย์วาคานด้ารู้อีกเช่นกันว่าต่อให้ได้หัวใจมาครอง เอริค คิลมองเกอร์ ก็จะไม่ยอมก้มหัวให้ใคร

ทว่านั่นไม่ใช่สิ่งที่ราชาหรือทีชัลลาต้องการ




5


“พาฉันมาที่นี่ทำไม” เอริคถาม ใบหน้าหมองคล้ำอย่างกรุ่นโกรธ

ทีชัลลาขยับยิ้ม ตากวาดมองบริเวณโดยรอบด้วยความรู้สึกคะนึงหา อากาศที่แคลิฟอร์เนียตอนนี้ค่อนข้างเย็น ไม่มีเด็กวิ่งเล่นในสนามบาสเก็ตบอลเหมือนคราวก่อนที่เขามากับชูรี ตลอดถนนเงียบสนิท เมืองหลับลึกตามท้องฟ้าสีหมึกและดวงดาว

เขาชี้นิ้วไปที่ตึกข้างหน้า “ฉันซื้อที่นี่ไว้”

เอริคนิ่งมอง “เพื่ออะไร”

“เพื่อเป็นศูนย์กลางสำหรับเผยแพร่วิทยาการ ความรู้ และวิถีของพวกเรา”

“ของพวกนาย” ชายหนุ่มแก้ “ทำไมต้องเป็นที่นี่”

“เพราะมันคงเป็นสิ่งที่ทั้งพ่อของนายและพ่อของฉันต้องการ” ทีชัลลาตอบเสียงนุ่มนวล ระมัดระวัง “และมันก็เป็นสิ่งที่คนของพวกเราต้องการ สถานที่ปลอดภัยให้พวกเขามาพักพิงและลุกขึ้นยืนใหม่อีกครั้ง”

เอริคเงยหน้ามองตึกสูง สถานที่ที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นบ้านของเขา

“ไร้เดียงสาเกินไปแล้ว ทีชัลลา” ชายหนุ่มกระซิบ “นายกำลังหลงทาง ไม่รู้เลยว่าจะนำพาอะไรมาในอนาคต”

“ฉันยืนอยู่ในที่ทางของตัวเองแล้ว” ทีชัลลาเลิกคิ้วกล่าวเสียงเบา “อนาคตเกินหยั่งรู้ พวกเราทำได้แค่เตรียมตัวให้ดีที่สุด เตรียมพร้อมรับอะไรก็ตามที่กำลังจะมา ฉันแค่หวังว่าเมื่อถึงเวลาพวกเราจะเข้มแข็งพอเผชิญหน้า”

เอริคเงียบไปครู่ใหญ่ ตลอดเวลานั้นไม่ยอมละสายตาจากสถานที่อันเป็นจุดเริ่มต้นของตน และทีชัลลาไม่รบเร้าเอาคำตอบ เขารอคอย รับฟังกับความเงียบและสายลมที่สัมผัสผ่านร่าง พลางแหงนคอมองหมู่ดาวที่ไม่น่าปรากฎขึ้นได้ท่ามกลางแสงประดิษฐ์

หากช่วงเวลานี้คือความฝัน เขาคงคิดว่าดวงดาวเหล่านั้นกำลังเคลื่อนใกล้เข้ามา

“นี่คือวิธีซื้อใจของนายเหรอ” เอริคเอ่ยในที่สุด “ทำได้ไม่เลว”

“ใช่” เขาตอบหน้าตาย “แต่ไม่ได้หมายความว่ามันไม่จริงใจ นายยังทำอะไรได้อีกมาก เอริค ด้วยความสามารถทั้งหมดนั้น ความเจ็บปวดและความอยุติธรรมที่ลุกลามนี้อาจทำให้นึกอยากทำลายให้หมดในครั้งเดียว แต่หลังจากนั้นล่ะ บนกองฝุ่นและเศษซากยังจะเหลืออะไรให้ยึดมั่นอีก”

“ความทรงจำ” เอริคพูดเสียงแผ่ว มีความรู้สึกมากมายเหลือเกินในคำเดียวนั้น แต่อีกฝ่ายกลับเอ่ยต่อราวกับไม่รู้สึกถึงพวกมัน “ได้ยินว่าเราเปิดประเทศแล้ว”

“ถ่ายทอดสดภาพยานของเราไปทั่วโลกผ่านที่ประชุมสหประชาชาติ” ทีชัลลายิ้มบาง “คนพวกนั้นไม่รู้เลยว่ากำลังจะได้พบกับอะไร”

“แน่อยู่แล้ว” เอริคหัวเราะเบา ๆ ก่อนเดินไปอีกทาง

“แล้วนั่นจะไปไหน” ทีชัลลาถาม

“ไปที่ที่อยากอยู่” เอริคโบกมือ “ไปหาอะไรกิน”




6


“เตรียมตัวพร้อมแล้วหรือยัง”

เอริคที่กำลังเคี้ยวชีสเบอร์เกอร์เต็มปากเลิกคิ้วเป็นเชิงถามกลับ

มันคือสัญญาณที่ดี การลืมจุดหมายเพราะสิ่งที่พบพานรายทางไม่ใช่เรื่องเลวร้ายเสมอไป 

ทีชัลลาขยับยิ้ม “ใกล้จะครบสามเดือนแล้ว”

“เรื่องนั้นเอง” เอริคเช็ดปากด้วยหลังมือ ทีชัลลายื่นทิชชู่ แต่เขาโบกปัด “ไม่ใช่เรื่องของนาย”

ทีชัลลาแกล้งถอนหายใจ เขากำลังจะกล่าวต่อแต่ถูกขัดจังหวะด้วยชีสเบอร์เกอร์อีกจานที่เอริคดันมาทางเขา

เอริคกระแอมไอ “ฉันไม่ได้สั่งจานนี้มาให้แมลงตอมเล่น”

“แต่ฉันไม่ได้บอกให้นายซื้อ...” และจากเงินของเขาเองด้วย เป็นความย้อนแย้งประเภทไหนกันที่อีกฝ่ายทำท่าราวกับว่าใช้เงินตัวเองออกค่าอาหารให้คนอื่น

ทีชัลลายกมือขึ้นบังเสียงหัวเราะ

“หุบปาก” เอริคสั่ง แต่มันไร้น้ำหนักเสียจนทีชัลลาต้องกระทำตรงกันข้าม




7


ทีชัลลาไม่ได้ใช้ลูกปัดกิโมโยเพื่อเป็นฝ่ายชนะในการประลอง

มันเป็นแค่การประลองอย่างง่าย ๆ ที่จัดขึ้นในเย็นวันหนึ่ง บนลานที่อยู่สุดขอบกำแพงวาคานด้า ผู้ชมมีเพียงชูรีกับโอโคเย แสงแดดอ่อนแรงลงแล้วในยามนั้น ท้องฟ้ากลายเป็นชั้นสีฟ้า ม่วง และชมพู ดวงดาวเริ่มทอแสง ค่ำคืนนี้จะไม่มีพระจันทร์

เอริคชนะตามที่คาดหมาย ชายหนุ่มลดอาวุธลง ก้าวถอยหลัง ใบหน้าระบายยิ้มอย่างผู้เหนือกว่า

จากนั้นจึงปักดาบทั้งสองลงกับพื้น “บอกมาว่าต้องการอะไรจากฉัน”

ทีชัลลามองตอบอย่างฉงน คำถามนั้นมาอย่างกระทันหัน เขาลืมตัวกระทั่งนั่งนิ่งบนพื้นลานประลอง

เอริคพ่นลมหายใจ “ครบสามเดือนแล้ว นายชนะ ฉันตัดสินใจว่าจะอยู่ต่อ” เขาบอก “แต่ไม่ได้หมายความว่าฉันจะทำตามคำสั่งทุกอย่างของนาย ฉันจะไม่ขวางทาง แต่ก็จะฆ่าถ้าเห็นว่าสมควร และถ้าวิธีของนายเกิดพลาดเมื่อไรก็รู้ไว้ซะว่าฉันพร้อมจะยึดเอาทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นของนาย ทีชัลลา ฉันจะอยู่ตรงนั้น ตอนที่นายทำอะไรโง่ ๆ แล้วเหยียบซ้ำ” เอริคฉุดแขนเขาให้ลุกขึ้นยืน ก่อนลากลงมากุมมือแน่นไม่ยอมปล่อย “บอกได้เลยว่านายทำพลาดมหันต์ที่เก็บศัตรูไว้ใกล้ตัว”

“ท่านพ่อเคยพูดเสมอว่าให้เก็บมิตรไว้ใกล้ตัว” ทีชัลลาส่งยิ้มพร้อมคืนแรงบีบ

“นายควรเชื่อไอ้แก่นั่น”

“ฉันเชื่อเขา” ทีชัลลาตอบอย่างจริงใจ “แต่เขาไม่ได้ห้ามให้เก็บเด็กหลงทางมาไว้ใกล้ตัวนี่”

เสียงดาบกระทบกันดังลั่น สะเก็ดสีทองแตกกระจายคล้ายลูกไฟ โอโคเยผุดลุกขึ้นกระแทกหอก ถลึงตาขู่ให้คิลมองเกอร์ถอยห่างจากราชา ชูรีสะดุ้งตัวโยนก่อนหรี่ตาลง แต่สุดท้ายผุดรอยยิ้มยินดี

ทีชัลลาดันดาบของเอริคออกแล้วกล่าวขึ้นอย่างสงสัย “อะไรที่ทำให้เปลี่ยนใจ”

เอริคกลับล่าถอย ไม่ยอมสบตาเขา นี่เป็นครั้งที่สองที่ทีชัลลาเห็นคน ๆ นี้ทำท่าลุกลน ไม่เป็นตัวของตัวเอง

“ไม่มีเหตุผล ก็แค่รู้สึกดีที่มีเวลาหายใจเพิ่มขึ้น” เอริคพูด แต่วินาทีถัดมา เขาเงยหน้าขึ้นสบตาทีชัลลาเหมือนกำลังเอ่ยถ้อยความอื่นซึ่งต่างจากเสียงที่เปล่งผ่านริมฝีปากอย่างสิ้นเชิง “ก็แค่เห็นความเป็นไปได้ของอะไรหลาย ๆ อย่างเพิ่มขึ้น”