วันเสาร์ที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2565

[หาญท้าฯ] ด้ายแดง (เหยียนปิงอวิ๋น/ฟ่านเสียน)


ด้ายแดง

หาญท้าชะตาฟ้า ปริศนายุทธจักร

เหยียนปิงอวิ๋น / ฟ่านเสียน

Warning : Spoiler Alert for Season 1

Summary : เหยียนปิงอวิ๋นไม่แยแสสิ่งที่เรียกว่าโชคชะตา และด้ายแดงบนนิ้วก้อยซ้ายก็ไม่สลักสำคัญเท่าหน้าที่ต่อแว่นแคว้น





ชั่วชีวิตขอมอบให้ใต้หล้า หยาดเหงื่อและเลือดเนื้อเพื่อปวงประชา แต่เล็กจนโตทุกความคิดคำนึงของเหยียนปิงอวิ๋นล้วนขึ้นอยู่กับประโยชน์สุขของแคว้นชิ่ง เพื่อส่วนรวมแล้ว เขายอมสละได้ทุกสิ่ง

มองด้ายแดงที่ผูกกับนิ้วก้อยซ้ายด้วยดวงตาเย็นชา เรื่องคู่ครองแห่งโชคชะตาที่ใครต่างเฝ้าคะนึงหาจึงเป็นสิ่งที่เขาไม่เคยนึกเก็บมาใส่ใจ หากพบเจอก็ดี หากไม่พบพานยิ่งดีกว่า กล่าวกันว่าเมื่อพบผู้อยู่สุดปลายด้ายแดงของตนเพียงคราหนึ่งแล้วจะไม่อาจพรากจาก หลังจากนั้นหากทำด้ายแดงขาดก็คล้ายทำโชคชะตาตนหล่นหาย เหยียนปิงอวิ๋นเคยหวั่นใจว่าคนผู้นั้นจะมาทำให้ตนต้องพะวักพะวน กลัวว่าจะมาทำให้ตนเผอเรอละเลยหน้าที่ เขาเคยคิดจะตัดไฟเสียแต่ต้นลม ทว่าก็ไม่อาจหักใจ

กระนั้นด้วยการฝึกฝนอันเข้มงวดจากบิดารวมถึงท่านผู้นำ ต่อมาไม่นานชายหนุ่มก็ละความสนใจจากด้ายที่พันรอบนิ้วมืออย่างหมดจด ขอเพียงตั้งมั่นกับเป้าหมาย แม้ใครคนนั้นจะผูกโยงชะตาตนอย่างแน่นหนาเพียงใดก็คงไม่สามารถสั่นคลอนจิตใจ สายตาเหยียนปิงอวิ๋นมุ่งตรงไปแต่อนาคตข้างหน้า อนาคตที่มีแค่ตนเอง หนึ่งยกมือซ้ายค้ำนภา ขวากำกระบี่ชี้หน้าศัตรู

ด้ายแดงที่นิ้วมือกลายเป็นความเฉยชา กลายเป็นเครื่องประดับที่ตนมองเมิน แค่เส้นสายที่ไม่สร้างความรู้สึกร้อนหนาว ไม่สลักสำคัญ

ยามนั่งในเกี้ยว ม่านกั้นบดบัง เหยียนปิงอวิ๋นที่ทุกข์ทนกับบทลงทัณฑ์จากความเลินเล่อ คอยแต่มองไปข้างหน้า มองไปยังตัวต้นเหตุที่นำพาให้เขาต้องถูกขับไล่ไปแคว้นศัตรู มองอย่างชิงชัง มองอย่างนึกระแวง ตนต้องจากเมืองหลวงไปแต่คนผู้นี้กลับมาแทน ไม่ประจวบเหมาะเกินไปหรือ

ชายหนุ่มจ้องมองเบื้องหน้า มิทันเห็นว่าด้ายแดงลอยขึ้นเหนือพื้น ขยับสั่นน้อย ๆ เพราะแรงดึง

ครั้นสังเกตตัวตนมันอีกคราว ก็พบเพียงด้ายแดงนอนนิ่ง ขดยาวตามระยะห่างที่ถ่างกว้าง

แต่ท้ายสุดแล้ว ด้ายแดงแห่งโชคชะตาก็นำพาเขามาพบกับผู้ที่อยู่สุดปลายอีกด้าน ชั่วยามแรกที่ถูกปลดจากโซ่ตรวนแห่งความทรมาน เหยียนปิงอวิ๋นคิดว่าสิ่งที่เห็นเป็นภาพหลอน ร่างกายของเขาแบกรับความเจ็บปวดและยาพิษลวงประสาทหลายขนาน ไม่อาจทำใจเชื่อในทันทีว่าตนมีโชคได้พบพานคู่ครอง

ไม่อาจเชื่อสายตาตนเองว่าใครคนนั้นจะเป็นฟ่านเสียน

“เจ้ารู้แต่แรกแล้วว่าเป็นข้า”

เหยียนปิงอวิ๋นนอนหมอบ หน้านิ่วฝืนกลั้นความเจ็บขณะปลายนิ้วของฟ่านเสียนป้ายยาลงบนบาดแผล

“รู้แล้วก็ทำอะไรไม่ได้ เจ้ากำลังจะไปเป่ยฉีและยังต้องปกปิดหน้าตา จะให้ข้าทะเล่อทะล่าเข้าไปเปิดม่านชี้ให้ดูคงถูกท่านอาจารย์ตีตาย”

น้ำเสียงกึ่งขบขันยังแฝงการแก้ตัว เหยียนปิงอวิ๋นเงียบงัน ซึมซับความชาที่ลามเลียมาจากแผ่นหลัง

ไม่รู้ควรจัดการคน ๆ นี้อย่างไร

อีกฝ่ายสั่งห้ามเขาไม่ให้ออกนอกเรือนพำนัก กล่าวว่าเรื่องทั้งหมดจะจัดการด้วยตนเอง เหยียนปิงอวิ๋นรับฟัง กระทำตามโดยมิคลายความเคลือบแคลง ทั้งยังอดไม่ได้ที่จะเบนสายตาตามทิศทางด้ายแดง เส้นด้ายที่ผูกโยงคนทั้งสอง ใครอื่นล้วนไม่อาจมองเห็น ข้ารับใช้จึงพาลนึกว่าเขากำลังตั้งใจอ่านตำราหรือกำลังครุ่นคิดเรื่องสำคัญ

“เจ้าไม่ได้บอกใครหรือ”

เหยียนปิงอวิ๋นเอ่ยถาม หลังจากที่ฟ่านเสียนกล่าวถึงท่านผู้นำด้วยอาการที่ผิดแปลกไป ตื่นตระหนก หวาดกลัว หรือเสียใจ ทั้งหมดนั้นปนเปกันบนใบหน้าจนยากแยกแยะ

ช่วงเวลาเช่นนี้ไม่ควรซ้ำเติมเรื่องราวหักหาญน้ำใจคน แต่ช่วงเวลานี้กลับเหมาะสมที่สุดในการควานหาความลับ กำแพงของฟ่านเสียนกำลังพังทลาย หากใบหน้านั้นคือวิหารเทพอันศักดิ์สิทธิ์ มันก็กำลังพังครืนลงมา ให้คนได้ลอบมองสิ่งที่ซุกซ่อนอยู่ภายใน

“ไม่บอก” ฟ่านเสียนตอบเสียงเบา “ข้ากลัวว่าบอกไปแล้วจะเป็นอันตราย”

แต่เป็นอันตรายต่อผู้ใด ฟ่านเสียนมิได้ขยายความ

เหยียนปิงอวิ๋นผ่อนลมหายใจ ก่อนเหลียวมองลานหน้าเรือนอันชุ่มโชก

มองไปแล้ว เห็นแต่ฉากฝนพรำ ไม่มีอะไรน่าดู

สิ่งที่อยากรู้ก็ได้รู้แล้ว ไม่จำเป็นต้องฝืนทนต่ออีก เรื่องราวทางเป่ยฉี เหยียนปิงอวิ๋นปล่อยให้ฟ่านเสียนวิ่งเต้นตามแต่ใจ ทำเพียงมองอยู่ห่าง ๆ คอยระวังหลัง หาช่องโหว่ แต่ก็ไม่พบอะไร นอกจากคำประกาศตั้งตนแย่งชิงตำแหน่งผู้นำสำนักตรวจสอบแล้ว คนผู้นี้นับว่าใช้การได้

แต่อย่างไร ผู้ที่ตั้งตัวเป็นอริกับสำนักที่ขึ้นตรงต่อฮ่องเต้ ย่อมเป็นตัวอันตราย หาดีไม่ได้

“ยอมรับข้อเสนอขององค์ชายไปไม่ดีกว่าหรือ”

เหยียนปิงอวิ๋นเอ่ยถามอีกครั้ง

และเป็นการถามเพื่อวัดใจครั้งสุดท้าย

ดวงตาฟ่านเสียนปกคลุมด้วยหมอกเมฆของความคั่งแค้น ยังคงไม่ยินยอมก้มหัวให้ใครเช่นเดิม

คนที่ยอมหักไม่ยอมงอ มีคุณค่าต่อแคว้น แต่คุณค่าที่ได้มาต้องจ่ายด้วยราคาแสนแพง นั่นคือความวุ่นวาย สงครามภายใน การช่วงชิงอำนาจที่อาจนำมาสู่การนองเลือด

เหยียนปิงอวิ๋นหลุบตามองด้ายแดงที่ปลายนิ้ว ด้ายแดงอันร้อนแรงจับตา ถึงกับทำให้ผิวเนื้อของเขาร้อนวาบขึ้นอย่างไร้ที่มา ภายใต้สีหน้าเคร่งเครียดที่คล้ายจะเป็นไปตามสถานการณ์ ท่ามกลางกองทหารซึ่งรายล้อมรอบทิศ เหยียนปิงอวิ๋นไม่ได้คิดหาหนทางรอด ชีวิตของเขาไม่นับเป็นอะไร

แต่ชีวิตของฟ่านเสียน หากตัดทิ้งไปจะดีต่อหนานชิ่งกว่าหรือไม่

คำถามนี้หนักหนานัก กลางสถานที่รกร้างไม่มีคนปรึกษา ท่านพ่อไม่อยู่ ท่านเฉินไม่อยู่ เขาต้องตัดสินใจด้วยตนเอง

ไม่นึกเลยว่าจุดตัดสิน จะมาจากปากของฟ่านเสียนเอง

“บุตรชายของเถิงจื่อจิง หากเขาเป็นอะไรไป ข้าจะไม่ยอมละเว้นไว้หน้าผู้ใดทั้งนั้น”

เหยียนปิงอวิ๋นชะงัก สมองขาวโพลนไปวูบหนึ่ง

บุตรชายของเถิงจื่อจิงหรือ ช่างกล้าบ้าบิ่นยิ่งนัก ถึงกับใช้บุตรชายของคนที่ตนเองสังหารมาเป็นเครื่องมือในยามนี้

ผู้เป็นโชคชะตาของเขามีเนื้อแท้เช่นนี้เอง

จะตัดสายใยต้องตัดให้ขาด คำพูดของท่านผู้นำเป็นสิ่งแรกที่ผุดขึ้นมาในความคิด จะรับผิดชอบหน้าที่ จะรักษาแผ่นดินได้อย่างไร หากในใจยังห่วงหาคนเพียงคนเดียว

เหยียนปิงอวิ๋นตัดสินใจได้ทันที

เขาพลิกกระบี่แล้วแทงสวนไปด้านหลัง ทั่วทุ่งหญ้ารกร้างเงียบกริบ ได้ยินเพียงเสียงร่างหนึ่งล้มลงกับพื้น

เหยียนปิงอวิ๋นหันหลับกลับ ไล่สายตาตามด้ายแดง จากปลายนิ้วก้อยของตนจรดปลายนิ้วของฟ่านเสียน ด้ายแดงอันร้อนแรงคล้ำเข้ม แทบกลืนเป็นหนึ่งเดียวกับกองโลหิต

ดวงตาตะลึงมอง ค่อย ๆ อับแสงลงจนกระทั่งมืดมิด

“นี่เป็นการตัดสินใจของข้าเอง”

มือขวาของเหยียนปิงอวิ๋นกุมกระบี่แน่น

ขณะที่มือซ้ายปลดปล่อยโชคชะตาของตนไปกับสายลม


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น