วันเสาร์ที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2565

[หาญท้าฯ] หนึ่งจอกสุรา (หลี่เฉิงเจ๋อ/ฟ่านเสียน)


หนึ่งจอกสุรา

หาญท้าชะตาฟ้า ปริศนายุทธจักร

หลี่เฉิงเจ๋อ / ฟ่านเสียน

Warning : Spoiler Alert for Season 1

Summary : ความนึกคิดขององค์ชายรองยากคาดเดา ทว่าบางคราวเซี่ยปี้อานมิเพียงมิอาจ แต่ยังมิกล้าเมื่อเรื่องราวเกี่ยวพันกับชายผู้หนึ่ง






พบพานเพียงหนึ่งจอกสุราไม่อาจประเมินจิตใจคนฉันใด พบพานเพียงชั่วหนึ่งพวงองุ่นก็มิอาจคาดคะเนใจองค์ชายรองฉันนั้น

เซี่ยปี้อานติดตามองค์ชายท่านนี้มานาน พยายามคิดอ่านอย่างไรก็จับไม่ได้ไล่ไม่ทันจนคร้านตาม คนต่างรู้ กลยุทธ์มิหน่ายเล่ห์กล เรื่องเล่ห์กลเขานับว่าพอมีติดตัว แต่ก็เทียบชั้นคนผู้นี้ไม่ติด ยิ่งนึกยิ่งรู้สึกว่าตนคล้ายโง่งม เปรียบกันแล้วมีแต่ย่ำยีศักดิ์ศรีลงจมดิน ดังนั้นไม่คิดมากความ ไม่ถามมากเรื่อง ทำตัวลอยลมเฉกเช่นฉากหน้าขององค์ชายรองยังนับว่าสะดวกสบายใจอยู่บ้าง ตลอดหลายปีมานี้ คิดตามไม่ทันก็ไม่เป็นไร ประสบการณ์สอนเขาว่าแค่อ่านอารมณ์ คำพูด และสถานการณ์ออก จากนั้น กระทำตามคำสั่งอย่างไม่บิดพลิ้วก็สนองตอบความต้องการขององค์ชายรองได้แล้ว

ดังนั้น เมื่อแผนการคุมตัวฟ่านเสียนผิดพลาดจึงเหมือนถูกสาดโครมด้วยน้ำเย็นยะเยือกกลางเดือนเหมันต์ มองร่างนั้นล้มลงจมกองเลือด เซี่ยปี้อานไม่เพียงหวาดกลัวว่าจะนำภัยเข้าตัว แต่ยังกลัวโทสะขององค์ชายรองแห่งหนานชิ่งเสียจนนึกอะไรไม่ออกไปครู่ใหญ่

องค์ชายรองไม่ได้ห้ามหากต้องลงมือกับฟ่านเสียน แต่ก็ไม่ได้สั่งให้ลงมือถึงตาย แม้ฟ่านเสียนจะบาดเจ็บด้วยน้ำมือผู้อื่นผลลัพธ์ก็ไม่ต่าง โทษทัณฑ์ได้ตกอยู่บนบ่าของเขาแล้ว

ตรงนั้นมีคนมากมายเป็นพยาน กลับเป็นเซี่ยปี้อานที่ได้สติคนแรก ด้วยระดับผู้ฝึกยุทธ์ขั้นเก้า เขารู้ว่าฟ่านเสียนยังมีลมหายใจ จึงรีบทุบศีรษะเหยียนปิงอวิ๋นให้สิ้นสติ แล้วสั่งการให้ทหารหาม้าเร็วมาในทันที

ฝ่ายของฟ่านเสียนย่อมไม่คัดค้าน เวลานี้หากบอกว่ามียาที่ทำให้บาดแผลหายในพริบตาก็คงยอมโขกหัวคำนับเป็นข้ารับใช้ชั่วชีวิต สีหน้าหวังฉี่เหนียนซีดเผือดแทบไม่ต่างจากคนบาดเจ็บ ทว่ามือไม้ไม่ได้พิรี้พิไร กลับฉีกชายเสื้อออกมากดแผลห้ามเลือด องครักษ์เกาต่าก็เร่งผูกม้ากับเกวียนแล้ววิ่งย้อนกลับมาอุ้มร่างเจ้านายขึ้น

เซี่ยปี้อานไม่อาจออกหน้าเรื่องนี้ ได้แต่ส่งคนลอบออกเดินทางล่วงหน้าไปแผ้วถางเส้นทางและแจ้งข่าวองค์ชายรอง

ตลอดวันนั้นเมืองหลวงสงัดเงียบเหมือนกลั้นลมหายใจ จวบจนมืดค่ำ ภายในวังไฟยังถูกจุดขึ้นแทบทุกตำหนักไม่เว้นว่าง ฝีเท้าสลับหมุนเวียนไปทั่ว ไม่มีเจ้านายหรือข้ารับใช้คนใดนอนอย่างสงบใจได้เมื่อจักรพรรดิตรัสว่าหากฟ่านเสียนไม่รอดชีวิต ทุกคนที่เกี่ยวข้องแม้น้อยนิดเพียงใดจะต้องถูกประหารทั้งครอบครัวโดยไม่ละเว้น

เรื่องนี้ย่อมทำให้ผู้คนลนลาน กลัวเกรงว่าจะติดร่างแห เซี่ยปี้อานก็เช่นกัน แต่ด้วยเหตุผลอื่น

กลับมาถึงตำหนักองค์ชายรองหลังแน่ใจว่าเก็บงานทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว เซี่ยปี้อานกลับพบนายเหนือหัวยืนนิ่งข้างหน้าต่าง เหม่อมองไปทิศทางหนึ่ง

บ่อยครั้งที่องค์ชายรองประพฤติตัวผิดแผก ยากคาดเดา บ่อยครั้งที่แสดงท่าทีหมกมุ่นครุ่นคิด นั่งชันเข่าบ้าง นอนเลื้อยคล้ายคนไม่เอาอ่าวบ้าง ทว่าไม่มีครั้งใดที่เค้าความทะนงตน ไม่แยแสผู้ใดในโลกหล้าจะเลือนหายไร้ร่องรอยเช่นนี้

องค์ชายรอง...คล้ายกำลังกลัดกลุ้มกังวลอย่างแท้จริง

“บาดแผลฉกรรจ์มากหรือ” องค์ชายรองกล่าวแผ่วเบา

เซี่ยปี้อานประสานมือ “หากมาถึงช้าเกินไป เกรงว่าคงไม่รอด”

“เจ้าทำได้ดีแล้ว”

“องค์ชาย ท่านจะไปเข้าเฝ้าฝ่าบาทหรือไม่” เซี่ยปี้อานสำนึกตัวว่าพลั้งปากก็ช้าไปเสียแล้ว เขารู้ว่ายามองค์ชายใช้ความคิดควรสำรวมคำพูด ทว่าองค์ชายรองคล้ายไม่ใส่ใจ เขายืนนิ่งเฉย มองดวงไฟในเงามืด

แต่คนผู้นี้ มีหรือไม่เคยใส่ใจเรื่องราวใดอย่างแท้จริง

“ควรแสดงความร้อนรนอยู่บ้างจริง ๆ รัชทายาทก็คงไปถึงตำหนักแล้ว” องค์ชายรองเอ่ย “แต่เวลานี้ข้ากลับไม่มีใจจะทำเรื่องเช่นนั้น”

“เพราะฟ่านเสียนอย่างนั้นหรือ”

หลี่เฉิงเจ๋อแหงนคอหัวเราะ “ช่วงหลังมานี้เจ้าสังเกตบ้างหรือไม่ มีเรื่องใดไม่เกี่ยวข้องกับฟ่านเสียนบ้าง ฟ่านเสียน ฟ่านเสียน เขาเป็นใครฮ่องเต้จึงคอยหนุนหลัง เขาเป็นใครผู้นำสำนักตรวจสอบจึงสนับสนุน เขาเป็นใครจึงคว้าความเชื่อมั่นจากใครต่อใครได้…”

“...ข้ารู้คำตอบแต่ไม่อาจทำความเข้าใจ ไหนเจ้าลองว่ามา พบกันตั้งมากครั้ง ประมือกันก็เคยมาแล้ว ข้ากลับไม่เคยถามเจ้า เจ้ามีความคิดเห็นอย่างไรต่อคนผู้นี้บ้าง”

เซี่ยปี้อานเงียบอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนตอบช้าชัด “ฟ่านเสียนเหมือนกับท่าน”

องค์ชายรองแสยะยิ้ม “ใครก็กล่าวเช่นนั้น ชมชอบโคลงกลอนเหมือนกันบ้าง ชอบดื่มกินเหมือนกันบ้าง รอยยิ้มคลับคล้ายคลับคลากันบ้าง ล้วนแล้วแต่มีน้ำหนักเท่าปุยนุ่น”

เซี่ยปี้อานเคยได้ยินมาเช่นกัน เขาแทบไม่อยู่ห่างกายองค์ชายรอง ผู้ใดที่กระซิบกระซาบลับหลัง เนื้อความย่อมเข้าหูเขาทั้งหมด

ทว่าเรื่องที่ติดตรึงใจที่สุดกลับเป็นเรื่องที่องค์ชายรองให้ค่าเท่าปุยนุ่น ที่ว่ารอยยิ้มคลับคล้ายกันนั้นเป็นเรื่องที่เขาเห็นไปในทางเดียวกัน หากพินิจก็จะยิ่งเห็น พวกเขาสองคนละม้ายคล้ายกันมาก ทว่าก็เพียงคลับคล้าย

รอยยิ้มไม่ต่างจากเด็กซุกซนมากเล่ห์ คนหนึ่งกลับให้ความรู้สึกอบอุ่นเหมือนแรกวสันต์ คนหนึ่งกลับคมบาดเหมือนไอหนาว ฟ่านเสียนที่ว่ารูปหน้าคมคายกลับเจือไปด้วยความอ่อนละมุน องค์ชายรองที่ว่ารูปงามหวานล้ำเยี่ยงอิสตรีกลับมีกรอบหน้าคมกร้าน เรื่องจิตใจที่ว่าลึกซึ้ง ฟ่านเสียนกลับอ่อนไหวในเรื่องพวกพ้อง องค์ชายรองยังไร้น้ำใจเหี้ยมโหดกว่ามากนัก

แต่คนที่ว่าเหี้ยมโหดเฉกเช่นเหมันต์อันหนาวเหน็บ เบื้องหน้าเขาตอนนี้ ไฉนจึงกลายเป็นดูร้อนใจดังไฟสุมเสียเล่า

หลี่เฉิงเจ๋อเดินมาที่โต๊ะ รินเหล้าลงจอกจนปริ่มขอบ ชูขึ้นมองระดับสายตา “เจ้าหิวหรือไม่”

เซี่ยปี้อานไม่กล่าวคำใด

“ข้าหิว” องค์ชายรองพูด “ข้าอยากกินผลไม้”

เซี่ยปี้อานมองถาดทองเหลืองอันว่างเปล่า นึกถึงวันวานที่องค์ชายรองกับฟ่านเสียนพบกันเป็นคราแรก จะโอ้โลม สัพยอก จะข่มขู่ไปเช่นไรฟ่านเสียนล้วนโต้กลับอย่างฉะฉาน เด็ดผลไม้กินอย่างสำราญทั้งที่มีกระบี่พาดคอ ไม่เพียงเท่านั้น ยังเปรยถึงเรื่องประหลาดน่าขบขันต่อคนแปลกหน้า คุณชายท่านนี้ทั้งบุคลิกการกระทำแปลกแยกแตกต่าง ไม่กลัวฟ้าไม่กลัวดินหรืออำนาจบารมีผู้ใด

อาจหาญถึงเพียงนี้ ฉลาดเฉลียวถึงเพียงนี้ กลับเอ่ยคำถามที่ไม่ว่าใครก็ล้วนคาดไม่ถึงออกมา

องค์ชายเชื่อเรื่องรักแรกพบหรือไม่

เซี่ยปี้อานยังจดจำใบหน้ายามได้ยินคำถามนั้นขององค์ชายรองอย่างแม่นยำ

“กระหม่อมจะสั่งคนมาจัดเตรียม”

“จัดเป็นสำรับสำหรับเดินทาง”

เซี่ยปี้อานหรี่ตาลง น้อยครั้งที่เขาจะย้อนคำพูดองค์ชายรอง แต่เวลานี้ไม่เสี่ยงไม่ได้ “ท่านจะไปสำนักหมอหลวง”

“จะเป็นที่ใดได้อีก”

“ท่านไม่เข้าเฝ้าฝ่าบาท แต่จะไปหาฟ่านเสียนหรือ”

“เสด็จพ่ออยากไปเองแทบขาดใจกลับไม่สามารถ คนเป็นลูก มิควรกระทำการทุกเรื่องราวแทนบุพการีหรอกหรือ” องค์ชายรองกล่าวเสียงเนือย “อีกทั้งฟ่านเสียนเป็นสหายของข้า จะไม่ไปได้หรือ”

ถึงตรงนี้ เซี่ยปี้อานไม่อาจทำความเข้าใจ ทั้งยังไม่กล้าทำความเข้าใจ

องครักษ์หนุ่มประสานมือ “กระหม่อมจะไปสั่งการเดี๋ยวนี้”

หลี่เฉิงเจ๋อยกจอกจรดริมฝีปาก ดื่มในครั้งเดียวก่อนโยนมันทิ้งแทบเท้า

เขาหันไปยังทิศทางหนึ่งอีกครั้ง ทิศที่ร่างหนึ่งกำลังนอนหายใจรวยริน

เอ่ยอย่างนุ่มนวล “เรื่องเหยียนปิงอวิ๋น ทำให้แน่ใจว่ามันไม่ได้ตายดี”

ประกาศิตมาเช่นนี้ เซี่ยปี้อานย่อมไม่คัดค้าน มองเงาร่างผู้เป็นนายเหยียดยาวบนพื้น ยืนเดียวดายใต้เปลวเทียนอันสั่นไหว ก่อนหมุนตัวเดินจากไป




ฟ่านเสียนเคยรำพึงว่ากับองค์ชายรอง ตนคล้ายไร้วาสนาไปพบพาน มีเพียงอีกฝ่ายเดินทางมาหาจึงได้นั่งลงจิบชาสนทนาพาทีกัน ทว่าแต่ละคราวที่ประสบพบล้วนทำให้เขาต้องสิ้นเปลืองกำลังสมองขบคิดตีความ ฟ่านเสียนจึงไม่นึกอยากพบคนผู้นี้บ่อย

แต่จะเลี่ยงอย่างไรก็คงมิอาจเลี่ยงได้ตลอดรอดฝั่ง คนขององค์ชายรองในเมืองหลวงใช่น้อยนิด ย่อมรู้ตำแหน่งของเขาอย่างง่ายดาย กลับกันจะหนีหน้าได้อย่างไรหากตนไม่ทราบความเคลื่อนไหวของอีกฝ่ายเลยแม้แต่น้อย

นั่งภายใต้ร่มของศาลาไม้ชั่วคราว มองความเวิ้งว้างของถนนศิลา ฟ่านเสียนเด็ดองุ่นเข้าปาก ทางหนึ่งชื่นชมรสชาติหวานหอม ทางหนึ่งใคร่ครวญว่าจะสานคำสนทนาเช่นไร

“กระหม่อมพบพระมารดาของท่านแล้ว”

“นางเป็นคนเข้มงวดนัก หวังว่าคงไม่ทำให้เจ้าต้องลำบาก” องค์ชายรองกล่าว

มุมปากฟ่านเสียนขยับขึ้น กล่าวถึงมารดาคล้ายนางเป็นผู้น้อยเช่นนี้ก็ได้หรือ

“ทำความเข้าใจยากอยู่บ้างแต่ไม่ลำบากกระไร พระนางเปี่ยมเมตตา ยังกล่าวให้คำแนะนำกระหม่อมอยู่หลายเรื่อง”

“อ้อ”

“ไม่ลองทายดูหรือว่าเป็นเรื่องอะไร”

“คงเกี่ยวกับตัวข้ากระมัง”

“หูตาองค์ชายรองกว้างไกลยิ่งนัก” ฟ่านเสียนส่งยิ้มหวานหยด

“แค่โชคดีเดาถูกเท่านั้น” อีกฝ่ายคลี่รอยยิ้มไม่ต่างกัน “ผู้เป็นมารดาจะกล่าวถึงเรื่องใดมากเท่าเรื่องบุตรธิดา”

“กับพระนางซูกุ้ยเฟย คงเป็นหนังสือ” ฟ่านเสียนแนบผลองุ่นบนริมฝีปาก “พระนางกล่าวว่าท่านมิได้เป็นดังที่แสดงให้เห็น คบหานานเข้าก็จะรู้ได้เอง”

“เช่นนั้น พวกเราคงต้องรักษามิตรภาพให้ยืนยาวเข้าไว้จะได้รู้จักกันให้ดียิ่งขึ้น”

ฟ่านเสียนยิ้มไม่กล่าวตอบ จุดประสงค์ขององค์ชายรองเขาอ่านออก แต่ในใจคล้ายมีหนามคอยสะกิดเตือนว่ายัง เขายังมองคนผู้นี้ไม่ทะลุปรุโปร่ง มีบางเรื่องที่ยังไม่ค้นพบ องค์ชายรองเป็นคนมากเล่ห์มากแผนการ แม้ตลอดมาดูเหมือนเป็นแต่ฝ่ายตั้งรับ ฟ่านเสียนกลับรู้สึกว่าที่เห็นเป็นแค่ปลายภูเขาน้ำแข็งเท่านั้น

เหมือนที่ซูกุ้ยเฟยว่า พระนางกล่าวจี้ใจดำเขาได้พอดิบพอดี

ขณะหยิบจอกสุรา นึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ ฟ่านเสียนหลุดเสียงหัวเราะ

“หัวเราะเรื่องอะไรหรือ” องค์ชายรองเอียงศีรษะ

“พระนางยังเอ่ยอีกว่าเฉิงเจ๋อกล่าวถึงกระหม่อมไว้มาก” ฟ่านเสียนใช้จอกบดบังรอยยิ้ม “ยามนั้นกระหม่อมไม่รู้ว่าผู้ใดคือเฉิงเจ๋อ”

หางตาเห็นเซี่ยปี้อานที่ยืนคุ้มกันไม่ไกลขยับตัวอย่างไม่สบายใจแล้ว ฟ่านเสียนยิ่งยิ้มกว้าง

“เช่นนั้นหรือ” เสียงที่เปล่งทุ้มต่ำไม่บ่งบอกอารมณ์

ฟ่านเสียนเงยหน้าพลันต้องชะงัก คำกล่าวที่เตรียมไว้เหือดหาย สองตาสบประสาน องค์ชายรองดื่มสุราจากจอก ทว่ากลับจดจ้องแต่ใบหน้าของเขา ไม่ยอมเคลื่อนคล้อยไปที่ใด

ยิ้มค้างเพียงชั่วครู่ ฟ่านเสียนรีบยกจอกดื่มสุราอึกใหญ่ รสชาติถึงกับร้อนแรงบาดคอกว่าปกติ

“ข้าไม่เคยแนะนำชื่อต่อเจ้าจริง ๆ ลืมไปได้อย่างไรนะ” องค์ชายรองกล่าวเสียงกังวาน สีหน้าสำนึกเสียใจ “ต่อไปนี้ ข้าให้เจ้าเรียกว่าเฉิงเจ๋อแล้วกัน”

ดีที่กลืนสุราลงคอไปก่อน หาไม่แล้วฟ่านเสียนคงสำลักใส่หน้าองค์ชายรองแน่

ยามปกติ เขาคงรับคำอย่างไม่นึกแยแส แต่ครั้งนี้จิตใจกลับไม่สงบ ได้รับอนุญาตเอ่ยนามองค์ชายแห่งแว่นแคว้นเท่ากับเป็นสหายสนิท ใครบ้างไม่ยินดี

นิ่งเงียบเด็ดผลไม้ทานอยู่นาน เป็นองค์ชายรองกล่าวต่อ “ยามพบหน้ามิได้เอ่ยถามนาม กลับถูกถามถึงความรัก ยังจำได้หรือไม่”

“กระหม่อมไม่มีวันลืม”

“จริงด้วยสิ เจ้าเคยกล่าวว่ามีความทรงจำเหมือนภาพ จดจำทุกอย่างที่ผ่านตาได้”

“กระหม่อมยังจำได้ว่าตอนนั้นไม่ได้รับคำตอบ”

“ข้าตอบไปว่าเข้าใจแล้วไม่ใช่หรือ เป็นเจ้าที่ไม่ยอมเชื่อ”

“ท่านไม่ได้เข้าใจจริง ๆ เสียหน่อย แค่กล่าวรับไปอย่างนั้นเอง ข้าเล่าให้ฟังอยู่ตั้งนาน” ฟ่านเสียนกลอกตาขึ้นฟ้า วรรคหลังบ่นอุบอิบกับตัวเอง

“เจ้าอธิบายให้ข้าฟังตอนนี้เลยเป็นไร”

“อืม” ฟ่านเสียนวางจอกลง “เรื่องนามธรรมเป็นสิ่งที่ยากจะอธิบายอย่างตรงไปตรงมา”

“เจ้าเป็นเซียนกวีก็ลองร่ายโคลงกลอนสักบทขึ้นมา”

องค์ชายรองโน้มตัวเข้าหา เท้าคางมองดู ดวงตาวาวอย่างเด็กน้อยรอชมเรื่องสนุก

เสียแต่เรื่องสนุกนั้น ออกจะสร้างความยากลำบากให้เขาไม่น้อย ไม่รู้เพราะเหตุใด ฟ่านเสียนเกิดความรู้สึกว่าไม่ควรกล่าวปัดด้วยเรื่องเหลวไหลอย่างทุกคราว

“องค์ชายอ่านหอแดงแล้วไม่ใช่หรือ”

“ข้าอ่านแล้ว”

“ท่านเคยกล่าวว่าเป็นเรื่องเล่าอันเยี่ยมยอดจริงหรือไม่”

“เป็นเช่นนั้นจริง”

“แล้วเยี่ยมยอดเพราะอะไร”

“สัมผัสอักษร ความนัยซ่อนเร้น วรรคตอนสอดคล้อง ไพเราะเสนาะหู”

“ไม่มีความรู้สึกต่อมันเลยแม้แต่น้อยหรือ ไยจึงจืดจางไร้อารมณ์ถึงเพียงนี้” ฟ่านเสียนส่ายหน้า

คำกล่าวสบประมาท ผู้ฟังกลับเผยรอยยิ้มขบขัน “หลักใหญ่ใจความของมันไม่อยู่ในความสนใจของข้า”

“กระหม่อมก็สังเกตอยู่นานแล้ว องค์ชายรองมิใช่ไม่รู้จักอารมณ์ความรู้สึก ท่านแค่เฉยชาต่อมัน หลายครั้งท่านประพฤติตัวเลียนรัชทายาทเพราะความเฉยชาทำให้ไม่ทันตระหนักว่าเวลาใดสมควรแสดงความรู้สึกอย่างไร”

องค์ชายรองค้อมศีรษะ สองแขนผายกว้าง ยอมรับแต่โดยดี “นับว่าเจ้าอ่านขาด”

ฟ่านเสียนถอนหายใจ “รักหนอรักคือสิ่งใด”

“คำถามนี้ เจ้ามิใช่รู้คำตอบจากหลินหว่านเอ๋อร์แล้วหรอกหรือ” อีกฝ่ายเย้ากลับ

ฟ่านเสียนหัวเราะแผ่วเบา ทานผลไม้ไปอีกหลายคำ หลินหว่านเอ๋อร์กับเขาเป็นเพียงสหายรู้ใจ ส่วนการแต่งงานเป็นข้อตกลงทางใจเพื่อปกป้องกันและกันเท่านั้น ซึ่งทั้งหมดนี้ก็ไม่ใช่เรื่องที่ต้องแพร่งพรายให้ใครทราบ

“องค์ชายรอง ท่านไม่เคยรู้สึกรักหรือ”

“ชั่วชีวิต ไม่เคยมีรักถลำลึกอย่างบุรุษสตรีในเรื่องหอแดงสักครา”

“ท่านทำให้ข้านึกถึงตัวละครหนึ่ง” ฟ่านเสียนอมยิ้ม

“ตัวละครใด”

“ท่านไม่รู้จักหรอก เป็นตัวละครที่ไม่ปรากฏในหนังสือเล่มใดมาก่อน ตัวละครนี้รู้จักรักด้วยวิธีอันแสนเจ็บปวด ถึงกับมีบทกลอนแทนคำนางในฉากนั้นว่า ถามไถ่ทั่วโลกหล้า อันว่ารักเป็นฉันใด จึงได้มอบแก่กันด้วยชีวิต

องค์ชายรองเลิกคิ้ว “นางได้รับคำตอบหรือไม่”

ฟ่านเสียนผินหน้ามองกำแพงหินกระด้างเย็น ถนนสายนี้ช่างไร้ชีวิตชีวาเมื่อปราศจากผู้คน

“นางไม่ได้ต้องการคำตอบแต่แรกแล้ว” ฟ่านเสียนรินสุราลงจอกทั้งสอง “ท่านเล่า ยังต้องการทราบหรือไม่ว่ารักในสายตาข้าเป็นเช่นไร”

รอยยิ้มที่ตอบกลับมาผิดจากทุกครา

ความมาดมั่นในดวงตาสั่นคลอน แฝงความประหม่าอันไม่ทราบเกิดจากเหตุผลกลใด องค์ชายรองแห่งแคว้นชิ่งผู้ไม่เคยคล้อยตามผู้คนโดยง่าย กลับดูลังเลขึ้นมา

แต่ว่าทั้งหมดนั้นเป็นความจริงหรือแค่การเสแสร้งแกล้งทำกันเล่า

ฟ่านเสียนไม่สนใจสักนิด

มองอีกฝ่ายยกจอกสุราขึ้นจิบ ตนกล่าวต่อ “กระหม่อมคิดว่าความรักไม่ได้มีเพียงความหมายเดียว ไม่ได้มีคำตอบตายตัวเหมือนการคิดคำนวณตัวเลข แต่ความหมายที่ตรงความเข้าใจของกระหม่อมที่สุดเห็นจะเป็นความรักในนิทานเรื่องหนึ่ง”

“นิทานเรื่องนี้เล่าถึงชายหนุ่มที่มาอาศัยในอารามร้างเพื่อหลบหิมะ เขามาจากที่ใด กำลังจะเดินทางไปแห่งหนใดล้วนไม่มีใครทราบ ในอารามร้างนั้น เขาพบชายชราสวมเสื้อผ้าเก่าขาดวิ่นกำลังนั่งผิงกองไฟ ท่าทางมาอาศัยหลบความหนาวเช่นเดียวกัน และข้างกายชายชรามีหุ่นกระบอกแสนสวย ชายหนุ่มทักทายชายชรา สนทนาถามไถ่ไปตามประสา”

“ชายชราเล่าว่าเขาเป็นคนเชิดหุ่นกระบอก ได้พบหุ่นกระบอกตัวนี้แต่เล็กแล้วบังเกิดความหลงใหลจึงหัดเชิดหุ่น ยึดเป็นอาชีพตลอดมา แต่อนิจจา สิ่งที่เขาได้รับตอบแทนจากการทำสิ่งที่ตนรักมีแต่ความยากจนข้นแค้น ไม่เคยได้มีช่วงเวลาที่สุขสบาย เอ่ยถึงตรงนี้เขาพลันเกิดโทสะ กล่าวคำผรุสวาทต่อขานว่าหากไม่เป็นเพราะหุ่นกระบอกตัวนี้ เขาคงประกอบอาชีพอื่น มีเงินทอง ร่ำรวยสุขสบายไปนานแล้ว — ยามนั้นเอง หยาดน้ำหลั่งรินจากดวงตาคู่งามของหุ่นกระบอกซึ่งนอนนิ่งอยู่ข้าง ๆ กัน”

“ชายหนุ่มพยายามปลอบประโลม ทว่ายิ่งทำให้ชายชราโกรธเกรี้ยว เขาคว้าหุ่นกระบอกโยนเข้ากองเพลิง หุ่นกระบอกค่อย ๆ ไหม้ไปพร้อมหยาดน้ำตา ไม่นานจากนั้นก็เหลือเพียงเถ้าถ่านในกองไฟที่ดับมอด”

“ตอนนั้นเองชายชราเพิ่งสำนึกได้ ตลอดชีวิตเขามีเพียงหุ่นกระบอกตัวนี้เป็นเพื่อนผู้รู้ใจ ร่วมเชิดหุ่นแสดงละครมายาวนานนับพันหมื่นเวที แต่เขาเผามันไปเสียแล้ว ว่าจบแล้วชายชราก็ร้องไห้ นับแต่นี้ไปหุ่นกระบอกที่รู้ใจ ไม่มีอีกแล้ว” *

“เปลวไฟลุกไหม้โชติช่วงอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะมอดดับ ด้านนอกพายุหิมะยังโหมกระหน่ำอย่างเหน็บหนาว”

เล่าจบ ฟ่านเสียนยกจอกขึ้นดื่มดับกระหาย ความเงียบตกลงครู่ใหญ่

“โง่งมยิ่งนัก” องค์ชายรองกล่าว

“ความรักก็เป็นเช่นนี้เอง”

“หากความรักเป็นเช่นชายชราผู้นั้น ความรักก็เป็นเพียงเรื่องโง่งม รู้อยู่ว่ารัก เหตุใดจึงทำลาย”

“บ่อยครั้งความรักไม่ได้เป็นดังที่ใจคิด เมื่อผิดหวังย่อมโกรธแค้น เมื่อพลาดพลั้งย่อมสำนึกเสียใจ รักเป็นส่วนผสมของความพึงใจ ความเมตตาอาทร ความแค้น ความทุกข์โศก ทั้งเอาแต่ใจ ทั้งเสียสละ วนเวียนเช่นนี้ไปไม่รู้จบ”

องค์ชายรองหัวเราะ “สมแล้วที่เจ้าเป็นเซียนกวี กล่าวคำใดออกมาล้วนแล้วแต่กินความหมายลึกซึ้ง”

“นิทานเรื่องนี้ยังมีบทเพลงเฉพาะของมันอยู่” ฟ่านเสียนเอ่ย

“เพลงหรือ เจ้าจะร้องให้ข้าฟังด้วยหรือไม่”

“กระหม่อมไม่มีความสามารถในการขับร้อง”

“ข้าจะรอฟัง”

ฟ่านเสียนทอดถอนใจ มองผมด้านข้างขององค์ชายรองที่ตกลงมาปรกตาซ้ายแล้วรู้สึกเกะกะ อยากเอื้อมมือไปปัดป่ายมันให้พ้นที่พ้นทาง

มุ่นคิ้วคว่ำปากแล้วจึงเอ่ย “กระหม่อมไม่ได้ตกปากรับคำอะไรทั้งนั้น”

องค์ชายรองยิ้มกว้าง ดันสำรับที่เหลือองุ่นพวงเดียวให้ แสดงน้ำใจแต่กลับคล้ายวางกับดักล่อ คล้ายนายพรานที่พร้อมออกล่าหมาป่า

“ข้าจะรอ”




เพียงเพื่อพบหน้าคนผู้หนึ่ง กลับต้องฝ่าด่านมากมาย หลี่เฉิงเจ๋อรู้ว่าเพราะเหตุใดฟ่านเสียนจึงมีความสำคัญในใจใครหลายคนนัก แต่ไม่รู้ว่าคนเหล่านั้นกลับยอมทำทุกทางเพื่อปกป้อง กระทั่งหักหาญน้ำใจองค์ชายรองอย่างเขาก็ไม่เว้น

ทว่าท้ายที่สุดขอนไม้ก็ไม่อาจทานกระแสน้ำเชี่ยว มีเรื่องราวมากมายที่อยู่นอกการควบคุม อยู่เหนือความรู้สึกนึกคิด เล่นเล่ห์อย่างไรหลี่เฉิงเจ๋อก็ก้าวเข้ามาในห้องพักของฟ่านเสียนจนได้

ย้ายจากเรือนในสำนักหมอหลวงมายังบ้านสกุลฟ่าน เรือนของฟ่านเสียนมากด้วยอุปกรณ์งานประดิษฐ์หน้าตาประหลาด ตั้งอย่างโดดเดี่ยวห่างไกลจากเรือนอื่น ไร้ข้ารับใช้ หลี่เฉิงเจ๋อไม่นึกสงสัยในวิธีจัดการนี้ สั่งให้เซี่ยปี้อานเฝ้าอยู่ด้านนอกแล้ว ตนเดินเข้าด้านใน มุ่งไปยังเตียงนอนกลางห้อง

ผ้าแพรสีฟ้าอ่อนคลี่คลุมไม่เห็นคนที่นอนอยู่ มือเอื้อมแหวกออก แทนที่จะพบคนกำลังนิทรา กลับได้เห็นดวงตาปรือเปิดอย่างคนที่ยังไม่ได้สติครบถ้วน

“ฟื้นมานานเพียงใดแล้ว” หลี่เฉิงเจ๋อเอ่ยถาม

“เมื่อชั่วยามก่อน” เสียงแหบพร่าตอบกลับ “ท่านมาทำอะไรที่นี่”

“มาเยี่ยมเจ้าอย่างไรเล่า” หลี่เฉิงเจ๋อย่างเท้าเข้าไปนั่งริมเตียง สะบัดแขนเสื้อแล้ววางมือข้างลำตัวฟ่านเสียน สังเกตร่างที่สั่นขึ้นมาเมื่อตนขยับเข้าใกล้แล้ว องค์ชายรองลอบยิ้ม เห็นคนตรงหน้าจะลุกขึ้นนั่ง ตัวยิ่งโน้มหาหมายช่วยประคอง ฟ่านเสียนเม้มริมฝีปากคล้ายสะกดความเจ็บขณะขยับกาย ไม่อาจปฏิเสธมือที่คว้าจับแขนแน่น

มองความอิดโรยหม่นหมองบนใบหน้าอีกฝ่ายแล้ว หลี่เฉิงเจ๋อบังเกิดความรู้สึกขึ้นในใจ ราวกับมีผู้ใดยื่นมือเข้ามาในอกแล้วกำหัวใจไว้ ไม่บีบไม่คลาย ชวนให้คนไม่อาจสงบอยู่ได้

ลูบเส้นผมที่ยาวสยาย สัมผัสความอ่อนนุ่มด้วยปลายนิ้ว หลี่เฉิงเจ๋อกล่าว “ผมเจ้ายาวขึ้นมาก”

“งานราชการยุ่งเหยิง ยากจะมีเวลาดูตัวเอง”

“ตอบรับข้อเสนอของข้าแต่แรกก็คงไม่ต้องประสบเรื่องยุ่งยากนี้แล้ว”

ฟ่านเสียนคล้ายอยากจะหัวเราะ “น่าเสียดาย แม้ข้าจะรักความสุขสบาย แต่ก็ไม่ปรารถนาจะเป็นหมากของใคร”

หลี่เฉิงเจ๋อผ่อนลมหายใจ “รู้แต่แรกแล้วว่าไม่อาจเปลี่ยนใจเจ้าได้ ทว่าก็ยังไม่อาจหยุดหวัง”

เขาพ่ายแพ้แต่แรกแล้ว ทว่าไม่อาจหักใจจากความสนุกของแต่ละฉากการแสดงได้ ฟ่านเสียนเป็นบุคคลน่าสนใจที่สุดนับแต่ลงสนามแย่งชิงอำนาจในเมืองหลวง ทั้งความแตกต่าง ความสามารถในการครองใจผู้คน ความงดงามยามร่ายโคลงกลอนร้อยบท ยามเคลื่อนไหวพร้อมกลิ่นอายสังหาร หลี่เฉิงเจ๋อสำนึกตัวแล้วว่าที่พิศมองไม่เลิกรา ที่ไม่อาจปล่อยมือลงได้นั้นเพราะเขาบังเกิดความลุ่มหลงต่อคน ๆ นี้เสียแล้ว

ยกมือขึ้นแนบริมฝีปาก จุมพิตเส้นผมดำขลับ ประคองสายตาอย่างสื่อความหมาย ดวงตาสุกใสสลับเป็นความตื่นตะลึง ก่อนแปรเปลี่ยนเป็นเย็นชา หลี่เฉิงเจ๋อใช่ว่าไม่เคยเห็นดวงตาคู่นี้มาก่อน เขายังนึกรักมันด้วยซ้ำ “เป็นความผิดข้าเอง”

“ความผิดท่านหรือ”

“ที่ทำให้เจ้าต้องบาดเจ็บ เป็นข้าบีบบังคับเจ้าเกินไป ทำให้สถานการณ์เข้าตาจนมากเกินไปจนเหยียนปิงอวิ๋นขาดสติ”

“เขาไม่ได้ขาดสติเลยสักนิดและท่านก็ไม่ได้ทำให้ข้าเข้าตาจนด้วย เซี่ยปี้อานกำลังเสียทีข้าอยู่แล้ว...” ฟ่านเสียนกระซิบ แล้วพลันเปลี่ยนสีหน้า “ยามนี้เขาอยู่ที่ใด”

“ใครหรือ” หลี่เฉิงเจ๋อตีหน้าฉงน

“เหยียนปิงอวิ๋นอย่างไรเล่า”

รอยยิ้มผลิบานเฉิดฉาย “ข้าก็ไม่ทราบ”

มีหรือที่ฟ่านเสียนจะเชื่อ “ในคุกสำนักตรวจสอบกระมัง”

“เช่นนั้นเขาก็โชคร้ายอย่างยิ่ง ได้ยินว่าฝ่ายลงทัณฑ์ของสำนักตรวจสอบเป็นอสุรกายไร้ปรานี และเสด็จพ่อ...ก็กริ้วอยู่ไม่น้อย ท่านเฉินเองก็มิได้เก็บงันไออาฆาตเอาเสียเลย มีคนไม่น้อยที่ต้องทุกข์ร้อนเพราะเจ้า”

สังเกตกิริยาอย่างละเอียด ระหว่างที่เขาเอ่ยถึงฮ่องเต้ ฟ่านเสียนดูเฉยชากว่าปกติมาก

เคืองโกรธที่ถูกใช้เป็นหมาก หรือรู้ถึงชาติกำเนิดตนแล้วกัน

ฟ่านเสียนเหลียวหน้ากลับมามองเขา ขมวดคิ้วมุ่น “เหยียนปิงอวิ๋นถูกคุมขัง ท่านกลับยังเดินเข้าออกเรือนของข้าอย่างสบายใจ”

“ข้าไม่ได้ทำอะไรและยังเป็นสหายของเจ้า ไยจะเข้าออกไม่ได้”

“ยังกล้าใช้คำนี้อีกหรือ”

“ตัดอะไรก็ไม่ยากเท่าตัดสัมพันธ์ เจ้าว่าจริงหรือไม่”

“ไม่จริง”

หลี่เฉิงเจ๋อหัวเราะ “นั่นเท่ากับว่าที่ผ่านมาจนกระทั่งก่อนเรื่องในเป่ยฉี ในใจเจ้าก็มีข้าอยู่”

ฟ่านเสียนเหยียดริมฝีปาก “ท่านเป็นองค์ชาย เพื่อเห็นแก่ฮ่องเต้ ข้าไม่อาจทำตัวแล้งน้ำใจต่อท่านได้”

“ฟังแล้วก็สมเหตุสมผล” หลี่เฉิงเจ๋อโคลงศีรษะ “แต่ข้าขอเลือกที่จะเชื่อความคิดตัวเอง”

“ข้าไม่อาจบีบบังคับองค์ชายอยู่แล้ว”

ฟ่านเสียนยกแขนขึ้นบังใบหน้าแล้วไอเสียงดัง

หลี่เฉิงเจ๋อคอยลูบหลัง “รู้เช่นนี้ ข้าน่าจะสั่งคนให้เตรียมสำรับอาหารและน้ำชาไว้ตลอด มาครั้งแรกเห็นเจ้าไม่ยอมฟื้น ครั้งถัดไปจึงไม่ได้เตรียม”

ฟ่านเสียนตกไปในภวังค์ครู่หนึ่ง ก่อนเชิดหน้าขึ้น “องค์ชายรองช่างเอื้อเฟื้อ แต่ไม่จำเป็นเลย เรือนของข้าไม่มีคนไม่ได้หมายความว่าจะขาดแคลนสิ่งใด คราวหลังก็ไม่ต้องให้สิ่งใดมาอีก”

“แม้เป็นสิ่งที่เจ้าปรารถนาหรือ”

นัยน์ตาฟ่านเสียนวาววาม “จะให้สิ่งใดมาก็เปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้”

“ย่อมไม่ได้” มุมปากหลี่เฉิงเจ๋อกระตุกยิ้ม มองไฝเม็ดเล็กบนจมูกรั้น ๆ นั่นแล้ว มือล่องหนที่ค้างอยู่ในอกพลันบีบแน่นขึ้น “ดังเช่นอะไรที่ตายแล้ว ข้าย่อมทำให้มันฟื้นกลับมาไม่ได้”

ทันทีที่กล่าวจบ ดวงตาแสนงามโชนขึ้นดั่งดวงไฟ คล้ายต้องการแผดเผาเขาให้ตกตาย หลี่เฉิงเจ๋อไม่อาจละสายตา ภาพตรงหน้าจับใจเหลือเกิน เขาอยากเก็บคนผู้นี้ไว้ไม่ให้ใครได้ยินยลโฉมอีก

“เรื่องของชายชรากับหุ่นกระบอกที่เจ้าเล่าให้ฟัง ข้าคิดถึงมันมาตลอด” หลี่เฉิงเจ๋อหลุบตาลง กอบกุมมือฟ่านเสียนขึ้นไว้บนตัก ก่อนโน้มตัวหา กลิ่นหอมอ่อนอันสดชื่นต้องจมูก ดูดดึงให้ยิ่งอยากชิดใกล้ เหมือนภมรที่ไม่อาจเบือนหนีบุปผา

แม้มีหนามแหลมคม ก็ยินดีที่จะหลั่งโลหิตเพื่อให้ได้สัมผัสสักครา

“คิดอยู่ตลอด ว่าหากเป็นข้าจะไม่โยนหุ่นกระบอกลงกองเพลิง แต่จะก่อไฟเผาให้มอดม้วยไปพร้อมกัน ยังน่าสนุกกว่า”

“เช่นนั้นท่านก็เสียสติไปแล้ว”

“เสียสิ่งหนึ่ง แต่ได้ครอบครองอีกสิ่งหนึ่ง ไม่คิดว่าคุ้มค่าหรือ”

ฟ่านเสียนไม่ต่อคำใด

มองจนพอใจแล้ว หลี่เฉิงเจ๋อลุกขึ้นยืน “พักผ่อนเถิด แล้วข้าจะมาเยี่ยมใหม่”

อีกฝ่ายทำท่าจะปฏิเสธ หลี่เฉิงเจ๋อจรดปลายนิ้วชี้บนริมฝีปาก

“ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว”

ความเงียบโรยลงไม่ทันไร กลับสดับได้ยินเสียงหายใจ ดวงหน้าฟ่านเสียนซีดขาวกว่ายามแรกที่พบหน้า หลี่เฉิงเจ๋อหลับตาลงครั้งหนึ่ง มือล่องหนยังบีบคั้นหัวใจของเขาไม่เลิกรา

ท้ายที่สุดไม่อาจหักห้าม องค์ชายรองก้มตัวลง ฉวยจูบบนปลายจมูกฟ่านเสียนแผ่วเบา ดูสีหน้าคนป่วยที่กลายเป็นซีดสลับแดงแล้วต้องหัวเราะออกมา

“เจ้ากับข้า ต่อไปนี้อาจยากจะเลี่ยงการห้ำหั่น แต่อย่างไรก็ขอละเว้นช่วงเวลาร่ำสุราของเราให้เป็นอย่างที่เคยเป็นมาเถิด”






* ชายชรากับหุ่นกระบอกเป็นเรื่องที่อ่านจากใต้คอมเมนท์เพลงบทละครหุ่นเชิด


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น