วันศุกร์ที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2566

[หาญท้าฯ] เมามาย (หลี่เฉิงเจ๋อ/ฟ่านเสียน)

เมามาย

หาญท้าชะตาฟ้า ปริศนายุทธจักร

— หลี่เฉิงเจ๋อ / ฟ่านเสียน —

Warning : Spoiler Alert for Season 1

Summary : ผู้ที่เมามายไร้สติที่สุดหาใช่ผู้ที่ดื่มสุรามากที่สุด




หากถามแขกเหรื่อในงานเลี้ยงคณะทูตเป่ยฉีว่าสิ้นวันแล้วผู้ใดเมามายไร้สติที่สุด คำตอบย่อมหนีไม่พ้นใต้เท้าฟ่านจากกองดนตรี ผู้กลายเป็นเทพกวีในชั่วข้ามคืน

งานที่ควรจะฉีกหน้ากวีหนุ่มแห่งแคว้นชิ่งกลับกลายเป็นงานร่ำสุราร่ายโคลงกลอน เวทีแสดงศานติระหว่างแคว้นกลายเป็นฉากสะบัดพู่กันกรีดอักษร บุรุษชุดขาวย่ำเท้าทั่วท้องพระโรง ต่อหน้าองค์จักรพรรดิ ทั้งดื่มด่ำทำลายข้าวของ ทั้งสาดกิริยาหมิ่นเบื้องสูงอย่างไม่กริ่งเกรง ทว่าไม่มีผู้ใดลุกขึ้นตวาดห้าม ไม่มีผู้ใดละสายตา พวกเขาล้วนถูกตรึงให้แหงนมอง สดับฟังโองการจากสวรรค์

แต่หากคำตอบนี้กล่าวต่อหน้าองค์ชายรองแห่งแคว้นชิ่ง ท่านทั้งหลายคงได้รับถ้อยคำกึ่งตำหนิอันละมุนเยี่ยงนุ่นซ่อนเข็มเป็นแน่

คนเมามายชนิดใดกันจึงร้อยเรียงบทกวีออกมาน่าดูชมเช่นนี้

ตั้งแต่นั่งลงในท้องพระโรง นอกจากสุรากลิ่นท้อหนึ่งป้าน หลี่เฉิงเจ๋อมิได้แตะเครื่องเสวยเลยสักนิด เขารู้ว่าภักษาหารคาวหวานจะไร้ราคา เขารู้ว่าพระขนิษฐภคินีจะเดินหมากหนึ่งตาในงานเลี้ยง จะมีเรื่องที่น่าลิ้มลองกว่าสุราป้านตรงหน้า และเหตุการณ์ก็มิผิดจากที่ประมาณ ทว่ากลับมีสิ่งเหนือการคาดหมาย หลี่เฉิงเจ๋อนั่งเท้าแขน ยกมือขึ้นแตะสองปลายนิ้วข้างขมับอย่างไม่อาจคุมอาการที่ติดเป็นนิสัย สายตาเพ่งมอง สองหูรับฟัง ตัวนิ่งดังรูปสลัก แต่ในใจกลุ้มรุมกัดกินทุกประโยค ไม่ปล่อยหลุดรอดแม้แต่พยางค์เดียว

ขณะเผลอไผล ขณะดื่มด่ำในรสกลอนกวี หลี่เฉิงเจ๋อไม่ได้รู้ตัวว่าจงใจสลักความทรงจำใดไว้บ้าง ไม่เพียงอักษรที่แปลงเป็นภาพวาด ยังมีแขนเสื้อยาวสีขาวที่โบกตามการเยื้องย่าง ยังมีเกศาคลอเคลียบนบ่า ปลายนิ้วชี้แช่งพร้อมอวยชัย ร่างกายโอนไหวด้วยฤทธิ์สุรา เมื่อประกอบรวมกันทั้งหมดกลับงดงามราวเทพเซียนร่อนระบำลงมาจากฟ้า

หลี่เฉิงเจ๋อได้สติเมื่อสายลมพัดวูบข้างลำตัว เมื่อฟ่านเสียนโน้มตัวลง เหมือนคราแรกที่พบหน้า โน้มลงเหมือนกิ่งเหมยลดตัวให้เชยชม ดวงตาหลักแหลมฉ่ำเยิ้มทว่ายังย้ำลึกรุกรานเข้ามาในจิตใจ ดวงหน้าฝาดสี ริมฝีปากแดงช้ำจากแรงกระทำของจอกสุราคลี่ยิ้มเย้ยหยัน หลี่เฉิงเจ๋อไม่อาจทานทนนิ่งเฉย เขาจำต้องขยับห่าง ต้องเว้นระยะถอยทั้งที่ไม่เคยยอมลดราให้ผู้ใด แต่ในชั่วครู่ที่คิดว่าปลอดภัย กลับทอดอาลัยเมื่อฟ่านเสียนผละจาก

หลี่เฉิงเจ๋อได้สติแล้วต่อมาจึงสำนึก ว่าผู้ที่เมามายที่สุดหาใช่ผู้ใดนอกจากตัวเขาเอง

ค่ำคืนเคลื่อนคล้อย แสงจันทร์มิกรายตาม จนกระทั่งฟ่านเสียนล้มลง ความเงียบท่วมโถมพร้อมเปลวเทียนวูบไหว ลมหายใจกลับมาเข้าออกก่อนใครคนหนึ่งสำลักโลหิต บรรดาทูตจากเป่ยฉีพากันผุดลุกเข้าไปประคองจวงม่อหาน ในเวลานั้นองค์ชายรองเพียงชายตา หลังต่อประโยคกับใต้เท้ากัวและเห็นพระบิดาก้าวลับหลังบัลลังก์ เขาก็เตรียมกลับตำหนักแล้วเช่นกัน 

ตัวละครหลักไม่อยู่ ความสนุกก็จบลง ส่วนเรื่องสลดของท่านจวงม่อหานอย่านำมาใส่ใจเป็นดี

ทว่าเดินได้ไม่กี่ก้าวก็เหลียวหลังออกคำสั่ง “หาคนมาพยุงใต้เท้าฟ่านกลับตำหนัก”

ขุนนางแซ่ซินกระวีกระวาดก้าวเข้ามาประสานมือ “ตำหนักที่องค์ชายเอ่ยถึงนั้น…”

“ตำหนักของข้า” หลี่เฉิงเจ๋อตอบ

สายตาหลายคู่จับจ้องมาในทันที

“ทำไมหรือ” หลี่เฉิงเจ๋อจ้องใต้เท้าซิน แต่คำพูดเปล่งให้ผู้ที่อยากฟังได้ยินอย่างทั่วถึง “เขาดื่มสุราเข้าไปมาก สุราดื่มมากก็เป็นพิษได้ อีกทั้งบ้านสกุลฟ่านอยู่ห่างไกล รีบพาเซียนกวีของแคว้นเราไปพักผ่อนให้เร็วที่สุด ท่านว่าไม่ดีหรือ”

ย่อมต้องดี ฮ่องเต้ไม่อยู่ รัชทายาทไม่ออกปาก ใครเล่าจะกล้ากล่าวว่าไม่ดี

ขันทีพากันเข้าไปหามปีกฟ่านเสียนก่อนเดินตามหลังองค์ชายรองกับองครักษ์ หลี่เฉิงเจ๋อยิ้มมุมปาก สบตาเซี่ยปี้อานที่เลิกคิ้วส่งคำถามมาคราหนึ่งก็เดินทอดน่องกลับตำหนัก

เดินผ่านกองทหารเฝ้าประตู เห็นคนสนิทของฟ่านเสียนคนหนึ่งสาวเท้าเข้ามาด้วยสีหน้าหนักใจ หลี่เฉิงเจ๋อมิได้หยุดฝีเท้า เขากล่าวทิ้งคำพูดให้ขันทีที่เดินตามหลัง “อย่าลืมเก็บอาวุธของคุณชายฟ่านมาด้วย ระวังพวกถุงยาพิษให้ดี เขาเคยกล่าวว่ายาบางตัวก็ไม่รู้วิธีแก้”

หวังฉี่เหนียนประสานมือคารวะ ก่อนตรงเข้าไปแบกเจ้านายที่เมามายไม่ได้สติขึ้นหลัง “คุณชาย”

“...หวังฉี่เหนียน” ดูท่ายังไม่ถึงกับสลบไสล ฟ่านเสียนปรือตา “กลับบ้าน...”

“เอ่อ” หวังฉี่เหนียนเหลือบมององค์ชายรอง

“กลับตำหนักข้าดีกว่า” หลี่เฉิงเจ๋อพูด

“ไม่เอา” กล่าวเสียงอู้อี้ดื้อดึง

“สภาพเช่นนี้แล้วยังต้องเดินทางกลับจวนสกุลฟ่าน ระยะทางมิใช่น้อย เจ้าว่าไม่เสียเวลาหรือ”

สิ้นประโยค ฟ่านเสียนพลันขมวดคิ้วหรี่ตามองเขา

หลี่เฉิงเจ๋อมองตอบ เก็บซ่อนความลิงโลดไว้ในใจ เขานึกระแวงท่าทีทานอาหารอย่างออกรสของฟ่านเสียนไว้อยู่แล้ว คน ๆ นี้แอบซ่อนแผนการบางอย่างไว้จริง ๆ 

เมื่อฟ่านเสียนไม่กล่าวกระไรอีก หลี่เฉิงเจ๋อจึงสะบัดแขนเสื้อ หมุนตัวเดินต่อ

คบไฟและแสงจันทร์ทำให้เส้นทางไม่เปลี่ยวเหงา ยิ่งเมื่อรู้ว่าใครคนหนึ่งยังตามอยู่เบื้องหลัง หลี่เฉิงเจ๋อลอบยิ้มเมื่อได้ยินเสียงกระซิบกระซาบแผ่วเบาระหว่างฟ่านเสียนกับหวังฉี่เหนียน เหลียวหน้าไปมอง ฟ่านเสียนก็ขยับมือปิดปากหวังฉี่เหนียนอย่างรู้ทัน หลี่เฉิงเจ๋อแทบหลุดเสียงหัวเราะ ไม่เป็นไร ก่อนหน้านี้เขาไม่ทันสดับ ก็ใช่ว่าเซี่ยปี้อานจะจับความไม่ได้

มีขันทีกลับมาถึงตำหนักและสั่งการไว้ก่อนอย่างรู้งาน พวกเขาจึงตรงไปยังห้องพักที่จัดเตรียมให้ฟ่านเสียนได้ทันที หลี่เฉิงเจ๋อเดินเข้าไปในห้องอย่างถือวิสาสะ หยุดยืนมองหวังฉี่เหนียนพร้อมกับขันทีของเขาค่อย ๆ ประคองร่างฟ่านเสียนลงนอนบนเตียง

สำรับยาถูกยกมาวางบนโต๊ะ ไอร้อนลอยกรุ่น กลิ่นสมุนไพรเย็นจมูกตลบอบอวล ในค่ำคืนที่ไม่หนาวไม่ร้อน กลับมีคนไม่อาจสงบใจ

“ออกไปกันให้หมด ให้คุณชายฟ่านได้พักผ่อน”

บรรดาขันทีก้มหัวพลางก้าวถอยหลัง เซี่ยปี้อานวางห่อผ้าที่เขาสั่งให้นำมาระหว่างทางลงข้างสำรับยาก่อนเดินอาดออกไปยืนเฝ้าหน้าห้อง มีแต่หวังฉี่เหนียนที่ยืนมองซ้ายขวา

“เจ้าก็ด้วย” หลี่เฉิงเจ๋อส่งยิ้ม

“แต่องค์ชาย…ไม่มีคนดูแลคุณชายฟ่าน”

“ใครว่าไม่มี”

หวังฉี่เหนียนยิ้มค้างตาโต อึกอักอยู่นาน ฟ่านเสียนยกมือขึ้นตบเบา ๆ บนแขนจึงได้สติ เดินออกไปนอกห้อง

ประตูปิดลง เหลือเพียงคนสองคนที่ลอบสังเกตกันโดยมิได้ใช้ดวงตา

หลี่เฉิงเจ๋อลากเก้าอี้เข้าไปใกล้เตียง จากนั้นหยิบถังเปล่ายื่นให้คนที่พยายามลุกขึ้นมานั่ง ฟ่านเสียนรับไปวางบนตัก ก้มหน้าหลับตาครู่หนึ่ง คล้ายว่าจะสิ้นสติไป แต่แล้วก็สำลักเอาสุราที่ดื่มลงท้องออกมา

หลี่เฉิงเจ๋อนั่งลงเทยา มองดูคนอาเจียนด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “ดื่มไปไม่น้อย”

ฟ่านเสียนไอโขลก “ถ้าเพียงแต่มีวิชารีดสุราผ่านปลายนิ้ว...”

“มีวิชาเช่นนั้นด้วยหรือ” 

“มี...ในนิยาย” ว่าจบก็ก้มหน้าลงถังต่อ

องค์ชายรองหลุบตา “ไม่ดื่มยาหรือ”

แทนคำตอบ ฟ่านเสียนล้วงบางสิ่งจากในแขนเสื้อ ยัดเข้าปากก่อนหลี่เฉิงเจ๋อจะทันมองว่าเป็นสิ่งใด

หลี่เฉิงเจ๋อถอนหายใจ “ยังคงไม่ยินยอมรับน้ำใจจากข้าอยู่นั่นเอง”

“พามาตำหนักก็นับว่ามากเกินไปแล้ว”

“ที่ว่ามากเกินไปใช่น้ำใจหรือสิ่งอื่น”

ฟ่านเสียนหัวเราะแผ่วเบา “องค์ชายรอง อย่าถามสิ่งที่เราต่างรู้กันดีเลย”

“หากเจ้าไม่ต้องการให้ถาม ข้าย่อมไม่ถาม ข้าจะปิดปากให้สนิท ไม่ทำให้เจ้าต้องลำบากใจ” ในเวลานี้

ฟ่านเสียนเงียบไปอึดใจ “ข้าน้อยมิบังอาจ”

“แล้วไม่ดีหรือ”

“ไม่อยากติดค้างท่าน กลัวจะชดใช้ให้ไม่หมด”

องค์ชายรองเอียงศีรษะ “ถือเสียว่าที่ยอมมาตำหนักข้าเป็นการตอบแทนแล้วกัน”

“ท่านทำเช่นนี้เพื่อหวังจะเย้ยหยันรัชทายาทหรือด้วยเหตุผลอื่น”

ฟ่านเสียนแหงนหน้ามอง ดวงตากลับมาสุกใส ไร้วี่แววเมามายเช่นชั่วยามก่อน ทว่าสองแก้มยังแดงระเรื่อ หลี่เฉิงเจ๋ออยากเอื้อมมือออกไป แต่ทำได้เพียงวางสายตา ใจหนึ่งร้อนรน ใจหนึ่งไม่กล้า นึกแล้วช่างน่าขัน คนอย่างเขาที่ไม่เคยหวงหน้าตา กลับยังมีเรื่องที่ขลาดเขลาเกินกระทำอยู่

“ด้วยเหตุผลอื่น” แม้คำตอบกลับกลอกสงวนท่าที หลี่เฉิงเจ๋อกลับพบว่าตนกล่าวออกไปอย่างจริงใจ

สายตาของฟ่านเสียนคล้ายต้องการค้นหา ไม่มีแววหวาดกลัวสิ่งที่จะค้นพบเลยสักนิด ทว่าเวลาเดียวกันนั้นก็มิอาจเก็บงำความประหลาดใจต่อสิ่งที่ได้ยิน คุณชายชุดขาวกะพริบตา ใต้แสงเทียนและแสงจันทร์ ดวงหน้าดูอ่อนเยาว์ลงถนัดตาเมื่อปราศจากเล่ห์เหลี่ยม

หลี่เฉิงเจ๋อเคยคิด ไม่เพียงความสามารถ รูปลักษณ์ที่กระเดียดไปทางอ่อนโยนเหมือนสายธารทำให้เขาดูคล้ายเซียนผู้หนึ่งจริง ๆ 

แต่หลี่เฉิงเจ๋อนับเป็นใครจึงได้ยินยล นับเป็นผู้ใดจึงหาญกล้าปรารถนาคนที่ไม่อาจเอื้อม ผู้ที่จักรพรรดิแสดงออกทั้งต่อหน้าและทางลับว่าไม่อาจแตะต้อง 

จะต้องใช้มันสมองและโชคอีกเพียงใดจึงรั้งตัวเทพเซียนให้อยู่เคียงกันเบื้องล่างนี้ไปตลอดกาล

“กระหม่อมต้องไปแล้ว” ฟ่านเสียนเก็บสายตา

“ข้าจะรอเจ้า”

“ขอเตือนว่าอย่าดีกว่า”

“จะเล่นสนุกอะไรก็ควรมีขีดจำกัดบ้าง เจ้านึกจะใช้เวลาทั้งคืนเลยหรือ”

ดวงตาใสกลอกกลิ้งไปมา “เรื่องนั้นไม่อาจตอบได้”

หลี่เฉิงเจ๋อถอนหายใจทั้งมุมปากหยักโค้ง “เพื่อไม่ให้คนสงสัย อย่างไรเจ้าก็ต้องกลับมาอยู่ดี”

หัวคิ้วขมวดเข้า ฟ่านเสียนย่นจมูกแล้วลุกขึ้นยืน หลี่เฉิงเจ๋อจึงลุกขึ้นบ้าง

“พระองค์ต้องรักษาคำพูดด้วยนะ” ฟ่านเสียนว่า

“ไม่ซักไซ้ ไม่ปริปาก” หลี่เฉิงเจ๋อวาดนิ้วบนตำแหน่งหัวใจ “เรื่องใดก็ตามที่เกิดขึ้นในคืนนี้ข้าจะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวโดยเด็ดขาด”

“ไม่ใช่แค่ท่าน ยังรวมถึงคนของท่านด้วย”

“ข้ารับปาก” หลี่เฉิงเจ๋อขยับตัวเข้าหาก้าวหนึ่ง

ได้กลิ่นดอกท้อหอมหวานอ้อยอิ่งใต้จมูก ใจพลันเคว้งคว้างเหินห่างราวกับลอยหายไปหาผู้ใด

หลี่เฉิงเจ๋อแกะห่อผ้าที่เซี่ยปี้อานหามาให้ ข้างในล้วนแล้วแต่เป็นเครื่องแต่งกายสีดำสนิท

ฟ่านเสียนมองนิ่ง สีหน้าอับจนถ้อยคำ เขาบ่นอุบอิบ ถ้อยความคล้ายด่าว่าเป็นจอมบงการหรือไร แต่จะปรามาสผรุสวาทเพียงใดหลี่เฉิงเจ๋อล้วนยิ้มรับ มองชายตรงหน้าถอดอาภรณ์เหลือเพียงชุดขาวซับใน อะไรที่สงบนิ่งก็ไหวสะท้านเหมือนระลอกน้ำ ฟ่านเสียนเหลียวมองอย่างรู้ตัว มือที่จับเสื้อสีดำชะงักค้าง ดวงตาคล้ายเบิกกว้างขึ้นเล็กน้อยแล้วจึงเบือนหน้าหนี

หลี่เฉิงเจ๋อเอียงศีรษะตาม ยามอาบแสงจันทร์ผิวพรรณดูนวลตาราวภาพฝัน แสงเทียนอำพันราวจะเน้นย้ำรอยแดงผุดผาดตรงข้างแก้ม

ครั้งนี้เขาถึงกับตระหนักว่าเหตุใดรัชทายาทจึงเอาแต่วาดภาพสตรีในฝันอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย สิ่งที่ไม่อาจคว้ามาครอบครอง ขอเพียงสัมผัสผ่านภาพวาด ได้ปลอบประโลมเปลวไฟในใจสักเล็กน้อยก็ยินดียิ่งแล้ว

ขอเพียงสูดกลิ่นกายผ่านสายลมเบาบาง ขอเพียงสลักภาพตรงหน้าไว้ในความทรงจำ

ฟ่านเสียนไม่ได้กล่าวคำลายามกระโดดข้ามหน้าต่าง ทว่าก่อนหายลับไปในราตรีกลับหันมาเอ่ย “ท่านก็ไปนอนเสีย”

หลี่เฉิงเจ๋อยืนส่งด้วยสายตา ไม่ตอบรับ ไม่ปฏิเสธ “อย่าตายเสียเล่า มิเช่นนั้นข้าคงคิดถึงเจ้ามาก”

“มิเช่นนั้นแล้ว ท่านคงโดนตำหนิมากกว่า” อีกฝ่ายจิกกัด

“ไม่ว่าอย่างไรข้าก็มีแต่เสียมิใช่หรือ เจ้า...อย่าทำให้ข้าลำบากใจนักเลย”

ฟ่านเสียนเงียบไป สายตาวูบไหว 

หลังเวลาล่วงผ่าน หลังเมฆเริ่มบดบังพระจันทร์ หลี่เฉิงเจ๋อยังคงยืนอยู่ริมหน้าต่าง ความคิดล่องลอยเหมือนสายควัน ผ่านไปแค่ชั่วยาม กลับให้ความรู้สึกเนิ่นนานนับเดือนปี คนจากไป แต่กลิ่นหวานขมของสุรายังคงอยู่ ในห้องว่างเปล่า สองตาพร่ามัว แต่เงาสลัวของใครคนหนึ่งยังสะท้อนหลังเปลือกตา

เรื่องเช่นนี้ ไม่เรียกเมามาย จะเรียกว่าอะไร

 



1 ความคิดเห็น:

  1. มันดีมากกก ตามมาจากreadAwrite ชอบวนกลับมาอ่านรอภาค2

    ตอบลบ