วันเสาร์ที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2566

[หาญท้าฯ] คำว่าสุข (เฉินผิงผิง/ฟ่านเสียน)

 


คำว่าสุข

หาญท้าชะตาฟ้า ปริศนายุทธจักร

— เฉินผิงผิง / ฟ่านเสียน —

เรื่องย่อ : หากคู่หมั้นของฟ่านเสียนไม่ใช่หลินหว่านเอ๋อร์




๑.


ในโลกนี้ ความทรงจำแรกของฟ่านเสียนมีเพียงท่านอา ไม่มีใครอื่น

ไม่มีใครขวางทางอู่จู๋พร้อมกองทัพเกราะดำ กล่าวถามถึงใครสักคนหนึ่งที่เป็น ‘คุณหนู’ ขอดูหน้าคนผู้หนึ่งที่เพิ่งลืมตาดูโลกได้ไม่นาน หรือซักถามว่าจะพาคนผู้นั้นไปที่แห่งใด

ทว่าการไล่ล่าสังหารนั้นยังคงมีอยู่ ฟ่านเสียนรู้แต่แรกว่าตนกำลังหลบซ่อนตัวในต้านโจวเพื่อหลีกเลี่ยงภัยคุกคามที่มองไม่เห็น ชายหนุ่มอายุเกือบสามสิบในร่างเด็กอายุแปดขวบปีตกลงปลงใจกับตนเองแล้วว่าโอกาสในการใช้ชีวิตใหม่นี้ เขาจะถนอมรักษาไว้อย่างดี แสวงหาเพียงความสุขสงบ ถึงกับคิดว่าอยู่อย่างนี้ก็ดีแล้ว ต้านโจวห่างไกลไร้เรื่องราว จวนสกุลฟ่านก็ใช่ไร้ความสะดวกสบาย การเป็นบุตรชายนอกสมรสมิใช่ปัญหา เขาไม่ต้องการพึ่งพาสกุลมาแต่แรก หลังอยู่เป็นเพื่อนท่านย่าจนวันสุดท้ายค่อยแยกตัวออกไปใช้ความรู้จากโลกปัจจุบันมาทำการค้าเลี้ยงตัวก็นับว่าใช้ได้

แต่ทุกอย่างผิดแผนไปหมดเมื่อกองทหารเกราะแดงมาปรากฏตัวที่หน้าประตูจวน กล่าวอ้างว่ารับคำสั่งจากนายท่านสกุลฟ่าน มารับเขาไปเมืองหลวง

ท่านย่าคัดค้านเด็ดขาด ฟ่านเสียนก็คล้อยตามนาง ทว่าต่อมากลับมีคนมาลอบสังหารเขาถึงที่ 

คนผู้หนึ่งถึงมีความตั้งมั่นแน่วแน่อย่างไร ย่อมต้องสงสัยใคร่รู้ว่าใครกันหมายปลิดชีวิตตน ฟ่านเสียนก็ไม่มีข้อยกเว้น เขาอยากรู้มากเสียจนยินยอมตามทหารเหล่านี้ไปเมืองหลวง

กระทำต่อเขาคนเดียวไม่เป็นไร แต่นี่กลับเกินเลยไปถึงคนรอบตัว เขาไม่อาจยอมรับได้

“ต้องรู้จักหนักแน่นเลือดเย็น” ท่านย่าสั่งสอน

“ข้ารู้แล้ว” ฟ่านเสียนยิ้มรับอย่างนอบน้อม

นายหญิงชรามองหลานชายนิ่งนาน ก่อนส่ายหน้า ทอดถอนใจ “หากเกิดเรื่องอันใดก็อย่าฝืนทน ให้กลับมาบ้านเรา”

กลับบ้าน สองคำนี้อุ่นใจเขานัก เป็นสิ่งเดียวที่ฟ่านเสียนโอบกอดห่มกายไว้ตลอดทางไปเมืองหลวง

ในใจรู้สึกอ้างว้างอยู่บ้าง แต่เขาไม่ลืมเป้าหมาย ระหว่างทางตีสนิทกับทหารเกราะแดงพวกนี้ไปหลายนาย หนึ่งในนั้นยังมีชายคนหนึ่งที่ดูมีฝีไม้ลายมือแตกต่างจากผู้อื่น ฟ่านเสียนใช้เล่ห์กลไม่นานก็ล้วงความลับออกมาได้ว่าคน ๆ นี้แท้จริงเป็นสายของสำนักตรวจสอบที่ถูกส่งมาจับตาดูเขา

“จะไม่ยอมบอกจริงหรือว่าใครอยู่เบื้องหลังเจ้า” ฟ่านเสียนถามย้ำ

“คำสั่งนี้มาจากระดับสูงเกินไป ข้าไม่ทราบ” เถิงจื่อจิงยืนยัน 

“แล้วเรื่องมือสังหารที่พวกเจ้าเอาตัวไปก่อนเล่า”

“พวกเขามาจากกองหก ส่วนข้าอยู่กองสี่ แต่ละกองไม่ก้าวก่ายธุระกัน”

“แต่เจ้าช่วยข้าสืบได้ว่าพวกเขามีความคืบหน้าอย่างไรบ้าง”

“เรื่องนั้นข้าขอคิดดูก่อน”

“เจ้ารู้ใช่ไหมว่าข้ามีตราผู้คุม ระดับเทียบเท่าหัวหน้ากอง”

“ข้าไม่ทราบ”

“เจ้าเปลี่ยนชื่อเป็น ‘ไม่ทราบ’ เลยดีหรือไม่” ฟ่านเสียนยกมือแนบหน้าผาก “ก็ได้ ไปถึงแล้วข้าจะสืบเอง”

เถิงจื่อจิงหัวเราะลั่น “ไปถึงก็ต้องรีบเตรียมงานมงคล ท่านจะยังมีเวลาทำเรื่องไร้สาระอยู่หรือ”

ฟ่านเสียนชะงัก “งานมงคลอะไร”

“ที่ท่านถูกเรียกตัวไปเมืองหลวงก็เพื่อเข้าพิธีวิวาห์ ไม่มีใครบอกหรือ” กล่าวถึงตรงนี้ เถิงจื่อจิงสังเกตสีหน้าเขาแล้วกลับดูกระปรี้กระเปร่าขึ้นมา ทั้งยังยกมือขึ้นประสานหมัด “ยินดีกับคุณชายฟ่านด้วย”

“แต่งงาน…” ฟ่านเสียนคิดอะไรไม่ออกไปครู่ใหญ่ “กับใครกัน”

“ข้าไม่ทราบ” แต่รอยยิ้มอมพะนำให้การตรงข้ามกับคำตอบอย่างสิ้นเชิง 

ฟ่านเสียนกำมือชี้หน้า ทว่าเถิงจื่อจิงตัดบทเร็วกว่า หยิบมีดสั้นที่ซุกซ่อนไว้ในรองเท้าออกมายัดใส่มือคุณชายชุดคราม 

“ของขวัญแต่งงาน ขอให้พวกท่านทั้งสองครองรักยืนยาว”




๒.


ในโลกนี้ หลังสตรีผู้หนึ่งตาย เมืองหลวงกลับไม่ต่างจากวันวาน 

ผู้คนดำเนินชีวิตต่อไปอย่างที่แล้วมา ที่ทุกข์ก็ทุกข์ทน ที่สุขก็สุขล้น ไม่มีการไล่ล่าหาตัวการ ไม่มีการชำระเมืองด้วยโลหิตเพื่อแก้แค้น 

ทว่าเฉินผิงผิงยังคงเป็นที่หวาดเกรงของมวลชน ใต้หล้าขนานนามเขาเป็นมารร้าย ต้นตอแห่งความชั่วช้า ชายที่นำทหารเกราะดำสยบทั่วทุกสารทิศ จิตใจลึกล้ำ เหี้ยมโหดอำมหิต อยู่เหนือคนนับหมื่น อยู่ใต้คนเพียงผู้เดียว ตั้งแต่เบื้องสูงลงล่าง ไม่มีใครกล้าล่วงเกิน ไม่มีใครอยากก้าวข้ามเส้นความอดทนของเขา 

แต่เพราะยิ่งใหญ่เพียงใดก็ยังต้องก้มหัวให้บัลลังก์ ดังนั้นเมื่อมีประกาศสมรสพระราชทาน คนมากมายจึงเกิดความรู้สึกซับซ้อน 

แต่ไหนแต่ไรมาภาพจำของท่านผู้นำสำนักตรวจสอบเฉินไม่มีเรื่องราวในห้องหอปรากฎรวมอยู่ด้วยเลย เช่นนี้แล้วพวกเขาควรจะแสดงออกเยี่ยงไร ร่วมดื่มอวยพรอย่างชื่นมื่น? หรือเตรียมงานไว้ทุกข์ให้ว่าที่เจ้าบ่าว? ที่แล้วมาคน ๆ นี้ลือเลื่องด้านเล่ห์เพทุบายเพียงใด ไร้น้ำใจเพียงใด ชะตาของว่าที่เจ้าบ่าวก็ดูจะเลวร้ายขึ้นไปเท่านั้น

เวทนา ขบขัน เย้ยหยัน สมใจ — คนนอกไม่รู้ความในย่อมมีหลากความรู้สึก ขณะที่คนในซึ่งต้องเข้าพิธีวิวาห์ในอีกหนึ่งเดือนกลับขบคิดได้ความกระจ่างแจ้ง 

ภายนอกเฉินผิงผิงวางตัวเยือกเย็น แต่ในใจไร้รสชาติสิ้นดี...

ความนัยเบื้องหลังงานมงคลนี้ มีหรือเขาจะไม่รู้

นึกถึงไม่กี่วันก่อน ฮ่องเต้เรียกเขาเข้าพบด้วยเรื่องการศึกกับเป่ยฉี คุยได้ไม่นานกลับหยิบยกเรื่องสตรีผู้นั้นขึ้นมา ทำทีทอดถอนใจยามนึกถึงคนไกล ก่อนคิดหาหนทางแก้ไขในเวลาอันรวดเร็ว

สมรสพระราชทาน คงเป็นสิ่งที่พระองค์หมายมั่นมานานแล้ว เพียงอาศัยว่าเขาเพิ่งสร้างผลงานที่ตงอี๋เป็นข้ออ้างยกบุตรชายแต่ในนามของรองเจ้ากรมพระคลังให้ หมากตานี้มองผิวเผิน เหมือนต้องการจะฉีกหน้าเขา เฉินผิงผิงสร้างผลงานมามากขนาดนี้ กลับยกบุตรนอกสมรสที่ไม่มีชื่อและไม่มีศักดิ์ให้ ใช่ฮ่องเต้กับสำนักตรวจสอบเกิดความบาดหมางกันหรือไม่ นับเป็นการจุดไฟล่อหิ่งห้อยออกมาเผาในคราวเดียว ได้ทั้งพวกมักใหญ่ใฝ่สูง ได้ทั้งพวกฉวยโอกาสเปลี่ยนดุลอำนาจ และถือจังหวะนี้ตัดแขนขาขุมกำลังของบรรดาองค์ชายและพระขนิษฐภคินีโดยทำทีเป็นล้างบางขุนนางกังฉิน 

แต่ภายใต้ความแยบคายนี้ ยังซ่อนประสงค์ที่แท้จริงไว้ได้อย่างแนบเนียน

เด็กหนุ่มที่เป็นเหมือนหมากใช้แล้วทิ้ง ฮ่องเต้กลับวางเขาในตำแหน่งที่มั่นคงที่สุด

คู่หมั้นของผู้นำสำนักตรวจสอบ คิดจะแตะต้องคนผู้นี้ ไม่อาจกระทำโดยง่ายดายอีกแล้ว

ในสมองตรึกตรอง ต่อหน้าได้แต่ก้มหัวน้อมรับ เฉินผิงผิงไม่เคยคิดค้านโอรสสวรรค์อยู่แล้ว ตราบใดที่ประสงค์ของพระองค์ยังเกี่ยวพันถึงประโยชน์ของแคว้นชิ่ง จะให้อาบเลือดต่างน้ำหรือแปดเปื้อนโคลนตมอย่างไรก็ยินดี

เขาเพียงแต่ไม่คิดเลยจริง ๆ ว่าสุดท้ายจะต้องมาแต่งงานกับเด็กเมื่อวานซืนคนหนึ่ง 

ยิ่งคาดไม่ถึงว่าฮ่องเต้ไม่ได้กระทำอย่างขอไปที กลับอยากให้ตนสนิทสนมกับเด็กคนนั้นถึงขั้นจัดแจงให้มาพบกันที่วิหารสักการะนอกเมือง

แล้วคนอย่างเฉินผิงผิงจะยอมถูกลากไปไหนมาไหนเพื่อเด็กคนหนึ่งหรือ แน่นอนว่าไม่

ฮ่องเต้อยากให้เขามา เขาก็มา แต่ไม่อาจบงการถึงขั้นว่าเขาจะไปเยี่ยมชมส่วนใดของวิหารและไม่อาจห้ามหากเขามีงานด่วนต้องรีบกลับไปสะสางที่สำนัก และหากคณะเดินทางของฟ่านเสียนเผอิญมาถึงล่าช้ากว่ากำหนดจนคลาดกันด้วยแล้ว นั่นก็เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ 

ฮ่องเต้รู้ใจเขา เขาก็รู้ใจฮ่องเต้ งานแต่งนี้สำคัญ แต่ด้านหนึ่งนั้นยังเป็นเรื่องสนุกส่วนพระองค์ ย่อมไม่เคร่งครัดจนเกินไป

แต่แล้ว ระหว่างทางกลับไปสำนักตรวจสอบรถม้าก็หยุดกะทันหัน

“มีเรื่องอะไร” 

เสียงหนึ่งเอ่ยขึ้น ไม่ดัง ไม่เบา เฉินผิงผิงที่นั่งหลับตาอยู่ได้ยินชัดเจนเหมือนคำพูดนั้นเปล่งริมหู ถึงอยู่ในสภาพไม่อาจเดินเหิน เขาก็ยังเคยเป็นถึงผู้ฝึกยุทธ์ขั้นเก้าปลาย ประสาทสัมผัสสูงเหนือคนธรรมดา

“เรียนคุณชาย ทางสัญจรติดขัด เคลื่อนไปข้างหน้าไม่ได้จึงจำต้องหยุดม้าก่อน”

เสียงตอบกลับนั้นคุ้นหูยิ่ง เฉินผิงผิงลืมตา นั่นเสียงของขันทีคนสนิทที่อยู่ข้างกายจักรพรรดิมิใช่หรือ

เสียงเลิกม่านดังเพียงสายลมพัดผ่านก้านไม้ “หลบเข้าข้างทาง ให้พวกเขาไปก่อน”

เฉินผิงผิงหัวร่อในลำคออย่างไม่ปิดบัง ในขณะที่รถม้าใกล้จะเคลื่อนสวนทางก็เปิดหน้าต่างออก

ถือโอกาสนี้ลองดูหน้าคนที่ต้องคล้องแขนร่วมดื่มสุรามงคลสักครา

ไล่สายตามองดูอย่างเย็นชา กองทหารเกราะแดงที่ฝ่าบาทพระราชทานให้ปั๋วซือหนาน สีสันสะดุดตาและยังตัดกับเกราะดำของกองทหารเฮยฉีที่รายล้อมรถม้าของเขา เหมือนหมากแดงดำมายืนประจันหน้า เสียแต่สภาพฝ่ายแดงนั้นออกจะด้อยกว่าหลายส่วน 

ทั้งจำนวนคนน้อยกว่า ทั้งรถเทียมม้าคันเล็กที่คล้ายว่าเพียงลมฝนพัดผ่านก็ถูกทำลายได้ ยังรวมถึงคนที่นั่งอยู่ภายในที่ดูคล้ายเด็กไม่รู้ประสีประสา รูปงามหมดจดก็เท่านั้น แค่หนุ่มหน้าอ่อนธรรมดาที่เติบโตในเมืองบ้านนอก มีอะไรดี

“เดินทางในเมืองหลวง ควรดูด้วยว่าถนนเส้นใดควรใช้ไม่ควรใช้” เฉินผิงผิงกล่าวน้ำเสียงเฉยเมย แต่เผยการตำหนิอย่างไม่เกรงใจ

ฟ่านเสียนเลิกคิ้วขึ้น สีหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม ถ้อยคำที่กล่าวตอบฟังฉะฉานแฝงประกายคมกล้า “ถนนถูกสร้างขึ้นมาเพื่อให้ผู้คนสัญจรโดยสะดวก จะมาตั้งข้อยกเว้นว่าใครใช้ได้ใครใช้ไม่ได้เช่นนี้ได้อย่างไรกัน”

ความเงียบร่วงโรยลงมาอยู่อึดใจหนึ่ง เฉินผิงผิงพลันยกมุมปาก กระซิบด้วยเสียงอันนุ่มนวล “ใช้การไม่ได้” 

มองดูเด็กหนุ่มทำหน้ายุ่งมุ่นคิ้วแล้ว เฉินผิงผิงเก็บสายตากลับมา ปิดหน้าต่าง

ดวงตาท้าทายไร้ซึ่งความกริ่งเกรงคู่นั้น ความนึกคิดหาญกล้าไม่ระย่นย่อต่อฟ้าดินเช่นนั้น เหมือนเยว่ชิงเหมยไม่มีผิด




๓.


“ข้าไม่อยากแต่งงาน” ประโยคนี้ ฟ่านเสียนกล่าวอย่างหนักแน่น ทั้งบอกเล่าทั้งมุ่งมั่นตั้งใจเป็นที่สุด

ฟ่านเจี้ยนถอนหายใจยาวเหมือนเผื่อให้กับเรื่องราวน่ากลัดกลุ้มของช่วงเวลาทั้งชีวิต “นี่เป็นราชโองการ หากฝ่าฝืนก็เท่ากับเป็นกบฎ”

“เอาอย่างนั้นก็ได้”

“เอาอะไรได้กัน! นี่ไม่ใช่เรื่องที่เจ้านึกจะรับหรือไม่รับก็ได้นะ” ฟ่านเจี้ยนกล่าวอย่างเหลืออด

“ข้าไม่เข้าใจเลยสักนิด” ฟ่านเสียนไม่สะดุ้งสะเทือน กลับสะบัดชายแขนเสื้อมือไพล่หลัง ย่างเท้าไปมาในห้องหนังสือ “ทำไมจึงเป็นข้า บุตรนอกสมรสไร้ชื่อเสียงเรียงนาม เหตุใดสายพระเนตรของฮ่องเต้จึงยาวมาถึงต้านโจวได้ แม้ใบหน้าแบบข้าจะไม่อาจเรียกได้ว่าธรรมดาสามัญ แต่ก็ยังยากเชื่อได้ว่าจะมีคนที่ไม่รู้จักนึกรักใคร่ลุ่มหลงถึงขั้นขอพระราชทานสมรสเพื่อข้า” 

ชายหนุ่มสางเส้นผมพลางฉีกยิ้มให้บิดาที่นั่งหน้าดำคร่ำเคร่ง กล่าวต่อ

“นี่เป็นงานแต่งเพื่อแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ทางการเมืองใช่หรือไม่ บอกมาเสียเถอะ ท่านพ่อ ท่านได้อะไรจากเรื่องนี้กันแน่ ท่านเอาข้าไปแลกกับอะไร เงินทอง เส้นสาย หรือยศถาบรรดาศักดิ์”

“เจ้าเห็นข้าเป็นคนเช่นนั้นหรือ” รองเจ้ากรมพระคลังถามเสียงเรียบ

“ข้าเห็นว่าเรื่องนี้ไม่มีทางเกิดขึ้นมาจากอากาศว่างเปล่า” ฟ่านเสียนขมวดคิ้ว “ข้ายังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอีกฝ่ายเป็นใคร พอถามถึงทุกคนก็ปิดปากสนิทเหมือนเกรงว่าชื่อของเขาจะนำโชคร้ายมากระนั้น ท่านคงไม่เป็นไปกับพวกเขาด้วยใช่ไหม”

ฟ่านเจี้ยนถอนหายใจอีกครา “ชื่อของเขาคือเฉินผิงผิง”

ชายหนุ่มเอียงคอ “ชื่อน่ารักน่าชัง ไม่เห็นมีอะไรต้องกลัว”

“เจ้าควรจะกลัว” ผู้เป็นบิดากล่าวเสียงเข้ม “เฉินผิงผิงเป็นผู้นำสำนักตรวจสอบของแคว้นชิ่ง เหล่าอัจฉริยะฝีมือดีในทุกศาสตร์แขนงล้วนยึดมั่นเชื่อฟังคำสั่งของเขา นอกจากนี้ เขายังคุมกองทหารม้าเฮยฉีที่แกร่งกล้าเหี้ยมโหดที่สุด มีฐานะเป็นรองเพียงฮ่องเต้เท่านั้น จะเชื้อพระวงศ์ ปรมาจารย์ ขุนนางชั้นสูง หรือแม้กระทั่งผู้มีอำนาจต่างแคว้นก็ยังต้องระมัดระวังคนผู้นี้มาก”

ฟ่านเสียนนิ่งงัน ได้ยินเรื่องเหล่านี้ในอึดใจเดียวออกจะน่าเหลือเชื่ออยู่บ้าง “เขาน่ากลัวมากหรือ”

ปั๋วซือหนานผินหน้าไปทางหนึ่ง เอ่ยคล้ายรำลึกความหลัง “ที่น่ากลัวกว่าฝีมือคือสติปัญญา เฉินผิงผิงกลอกกลิ้งเจ้าเล่ห์ยิ่งนัก เขาอยู่เบื้องหลัง นำพาแคว้นชิ่งให้ยิ่งใหญ่ได้ถึงเพียงนี้ จะคำพูดหรือการกระทำมีจริงเท็จมากน้อยเพียงใด ในใจคิดอะไรใครเล่าจะรู้”

“ฟังแล้วท่านก็ไม่ได้ยินดีกับงานแต่งนี้เท่าไร” ฟ่านเสียนจ้องมองบิดาอย่างละเอียด เห็นกิริยาที่ชะงักค้างอย่างผิดแผกแปลกตาไปชั่วครู่ก็แน่ใจได้แล้ว “และดูเหมือนว่าท่านจะรู้จักเขาดีไม่น้อย”

ฟ่านเจี้ยนไม่ตอบคำ กลับประคองถ้วยชาขึ้นจิบ

ทว่าฟ่านเสียนย่อมไม่ยอมเลิกราไปเพียงเท่านี้ เขาต้องการรู้ว่าเรื่องทั้งหมดมีที่มาอย่างไร

เพราะไม่ว่ามองจากมุมใดก็ไม่สมเหตุสมผลเลยสักนิด

ฟ่านเสียนยืนกอดอก สายตาจ้องเอาความ “เขามีปัญหาอะไรหรือ”

อีกฝ่ายวางถ้วยลง “ที่เล่ามาทั้งหมดนี้ยังไม่ใช่ปัญหาหรือ”

“ข้าเข้าใจ ยิ่งมีอำนาจมากก็ยิ่งมีคนมากมายที่อยากจะเห็นเขาตาย คนเหล่านั้นอาจหันปลายดาบมาทางข้าด้วย แต่เพียงเท่านี้หรือ...”

“สำหรับข้า เพียงเท่านี้ก็มากเกินไป” ฟ่านเจี้ยนเงยหน้าสบตาเขา

ฟ่านเสียนพูดอะไรไม่ออกไปครู่หนึ่ง รู้สึกอุ่นวาบในใจ เขามอบรอยยิ้มขอบคุณให้บิดา ทว่าปากยังกล่าววาจาเฉไฉ “ในเมื่อไม่ได้ยินดี ท่านมาช่วยข้าหาวิธีล้มงานแต่งนี้ไม่ดีกว่าหรือ”

ปั๋วซือหนานทำหน้าคล้ายเพิ่งกลืนยาขม “สมรสพระราชทานยากจะบิดพลิ้ว”

ฟ่านเสียนไม่เห็นด้วย “ไม่ว่าเคยออกปากเรื่องคอขาดบาดตายอะไรไว้ ข้าเชื่อว่าเขาสามารถถอนรับสั่งทีหลังได้”

ฟ่านเจี้ยนยกมือกุมหน้าผาก ทำท่าคล้ายลมจะจับ “ระวังคำพูดคำจาหน่อย”

“แต่ข้าก็ยังนึกไม่ออกว่าจะทำให้ฮ่องเต้ถอนรับสั่งได้ยังไง” ไม่เพียงเมินเฉย ฟ่านเสียนยังทอดถอนใจสำทับ “ข้าคิดมาตลอดจนถึงเมืองหลวง แม้ไม่ชัดเจนนักก็ยังเห็นหนทาง ทว่าพอฟังเรื่องเฉินผิงผิงคนนี้แล้วกลับกลายเป็นเหมือนโดนประตูทางออกปิดกระแทกหน้า ถ้าอีกฝ่ายเป็นบุตรหลานขุนนางสักคนหรือเป็นเชื้อพระวงศ์คงง่ายดายแล้ว แต่เมื่อเป็นคนที่มีอำนาจมากถึงขั้นที่ไม่มีอะไรต้องกลัวเกรง ใช้เล่ห์กลใดก็คงไม่อาจสั่นคลอน”

“...ข้าไม่ได้บอกหรอกหรือว่าเขามากเล่ห์เพียงใด ใช้วิธีการนี้หากไม่ระวังมีแต่จะถูกเขาย้อนกลกลับเข้าหาตัว”

“ฉะนั้นข้าจึงคิดว่าควรพูดต่อหน้าเขาตรง ๆ”

“เจ้าจะไปหาเขาหรือ” 

ฟ่านเสียนพยักหน้า “ถึงเวลาที่ข้าต้องเอาตราผู้คุมออกมาอวดเบ่งเสียแล้ว”

“ตรานั่น แค่เฉินผิงผิงยึดไปก็หมดประโยชน์”

“อยากยึดก็ยึดไป” ฟ่านเสียนหัวเราะ “แค่มันช่วยให้ข้าเข้าพบเขาได้สักครั้งก็พอ”




๔.


“ข้าไม่อยากแต่งงาน” 

เด็กคนนั้นเชิดหน้า กล่าวด้วยท่าทางผ่อนคลายเป็นกันเอง ไม่ใช่ภาพที่เฉินผิงผิงพบบ่อยนักในบรรดาคนที่มายืนในสำนักตรวจสอบ 

“ใช่ว่าข้ารังเกียจท่าน เราไม่รู้จักกัน ยังไม่สามารถตัดสินอะไรทั้งนั้น แต่เรื่องใหญ่เช่นนี้ก็ไม่อาจไม่ไตร่ตรองให้รอบคอบเสียก่อน”

เฉินผิงผิงวางหนังสือบนโต๊ะ เงยหน้ามองฟ่านเสียน ไม่แสดงอารมณ์ความรู้สึกใด 

“เจ้าบุกรุกเข้ามาในสำนักตรวจสอบก็เพราะเรื่องนี้หรือ” 

ฟ่านเสียนยกมือขึ้นปฏิเสธ “ใช้คำว่าบุกรุกคงไม่ถูกต้อง ข้ามีตราผู้คุมอยู่ เหตุใดจะเข้าออกสถานที่นี้ไม่ได้”

“ตราประจำตำแหน่งที่สำคัญขนาดนี้ เฟ่ยเจี้ยกลับมอบให้เจ้า”

“หากยังไม่วางใจ ท่านก็ลองดู” 

ฟ่านเสียนโยนของข้ามห้อง ไม่มีประสงค์สังหาร ไม่ได้ขว้างปาแทนการจู่โจมเช่นอาวุธ เฉินผิงผิงรับไว้อย่างง่ายดาย ร่างกายไม่มีส่วนใดขยับนอกจากแขนขวา 

หมุนดูของในมือ วัสดุ รูปทรง ลวดลาย ย่อมถูกต้องทุกประการ

เฉินผิงผิงวางตราสีดำข้างหนังสือปกสีชาด

“ในเมื่อเขายกให้เจ้าแล้วก็เก็บรักษามันไว้ให้ดี”

ฟ่านเสียนดูแปลกใจอยู่บ้าง หากแต่รีบเก็บสีหน้าอย่างมิดชิด “เรื่องงานแต่งงาน ท่านยอมรับได้หรือ” 

“เป็นราชโองการจากฮ่องเต้ ไม่รับได้หรือ”

“ข้าถามถึงตัวท่านอยู่” 

เด็กหนุ่มก้าวเท้ามายืนหน้าโต๊ะ เฉินผิงผิงเพิ่งสังเกตว่าเขามีไฝเม็ดเล็กบนจมูก แทนที่จะเป็นจุดตำหนิ กลับคล้ายเป็นองค์ประกอบหนึ่งที่ช่วยชูความงามของทั้งรูปวาดมากกว่า

และดวงตาฟ่านเสียนก็ถึงกับตรึงเขาไว้ได้ “ท่านยินดีกับเรื่องนี้หรือ”

เฉินผิงผิงหรี่ตา “ข้าไม่ยินดี”

ไหล่สองข้างของคนฟังพลันคลายลง เฉินผิงผิงลอบยิ้มเย็น ที่แท้แล้วเขาก็ยังมีความกระวนกระวาย

น่าเสียดายที่ความโล่งใจนี้คงอยู่ได้ไม่นาน

เฉินผิงผิงเหยียดยิ้ม “แต่ข้าก็จะไม่ฝ่าฝืนราชโองการเช่นกัน”

ฟ่านเสียนเปลี่ยนสีหน้า “ท่านจะไม่ทำอะไร”

“แล้วเจ้าคิดว่าคนอย่างข้าจะทำอะไรได้” เฉินผิงผิงโน้มตัวมาข้างหน้า “เรื่องนี้ใครก็ขัดขวางไม่ได้ทั้งนั้น เจ้ายอมแพ้เสียเถอะ”

“ใครก็ขัดขวางไม่ได้...” ฟ่านเสียนทวนคำ สายตาครุ่นคิด และคงคิดอะไรออกจึงมองตอบด้วยสายตาเช่นนั้น

เฉินผิงผิงก็มิได้หลบเลี่ยง รอยยิ้มของเขาอบอุ่นจริงใจเหมือนดวงตะวันกลางเดือนเหมันต์ “ให้ข้าบอกเจ้าดีหรือไม่ว่าวิธีการเดียวที่จะล้มเลิกงานแต่งนี้ได้คืออะไร”

“ว่ามาเลย”

“เจ้ากับข้า เราคนใดคนหนึ่งจะต้องตาย”

“ฟังดูแล้วง่ายดายยิ่ง ข้ากลับนึกไม่ออก” ฟ่านเสียนกล่าวตาไม่กะพริบ

“ไม่ลองเอาไปขบคิดหาทางดู”

“ฆ่าท่านคงไม่ง่าย”

เฉินผิงผิงส่ายหน้า “ไม่นับว่าง่าย แต่ก็ไม่นับว่ายากเย็นแสนเข็ญ ยามนี้เองก็เป็นโอกาสอันดีที่เจ้าจะลองลงมือ”

“ต่อให้ทำสำเร็จ ชั่วชีวิตนี้ข้าก็คงไม่ได้เดินออกจากสำนักตรวจสอบอีกแล้ว”

“ย่อมเป็นเช่นนั้น”

“ฆ่าท่านยากเย็นเกินไป” เด็กหนุ่มยกยิ้มมุมปาก ดวงตากวาดมองทางอื่น

แต่คิดหรือว่าหลบเลี่ยงไม่มองแล้วเขาจะไม่สามารถไล่ตามทัน เฉินผิงผิงหลุบตาลง มองหนังสือบนโต๊ะ “ทุกเรื่องราวที่เกิดขึ้นในแคว้นต้องผ่านการกลั่นกรองจากสำนักตรวจสอบ ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องที่เกิดกับคู่หมั้นของข้า ข้าต้องสืบสาวอย่างละเอียดและนำความจริงมาชี้แจงให้ฮ่องเต้รับทราบ”

ฟ่านเสียนหันกลับมา “ต้นอ่อนไม่อาจเจริญดีท่ามกลางพายุกรรโชก เว้นแต่จะมีไม้ใหญ่เป็นร่มเงาช่วยต้านลม...”

เพราะจงรักภักดีถูกคนจึงได้รับการสนับสนุน จึงยืนหยัดมั่นคงมาได้อย่างยาวนาน ในเมืองหลวงนี้มีเพียงฝีมือยังไม่พอ ต้องมีเส้นสายที่เข้มแข็งด้วย

แล้วเส้นสายใดเล่าจะทรงอิทธิพลเท่าเส้นสายที่โยงใยถึงบัลลังก์

“ถ้าอย่างนั้น เรื่องคนลอบทำร้ายข้าที่ต้านโจวไปถึงไหนแล้วหรือ” ฟ่านเสียนเลิกคิ้ว คล้ายสอบถามเรื่องลมฟ้า แต่กดสายตาราวกับจะทิ่มแทงกัน

“คิดว่าเจ้าอยากหาคำตอบนั้นเองเสียอีก”

“หน้าที่สืบสวนเป็นของสำนักตรวจสอบ ไฉนข้าต้องทำตัวให้วุ่นวาย”

เฉินผิงผิงหัวเราะ “ก่อนมานี่ ไม่ใช่ว่าเจ้าตามหาของสิ่งหนึ่งอยู่หรือ ข้าจึงคิดว่าเรื่องอื่น ๆ ก็คงอยากลงมือเอง”

“แค่หาเอกสารชิ้นหนึ่งเทียบอะไรได้กับการตามตัวคนร้ายมาลงโทษ” ฟ่านเสียนกล่าวตาใส อีกครั้งแล้วที่เขากระทำตัวลื่นไหลตามสถานการณ์

นับว่ามีไหวพริบไม่เลว รู้ว่าความตั้งใจจริงถูกเปิดโปง ก็ปล่อยเลยตามเลยเสีย ไม่คิดเล็กคิดน้อย 

“รู้แล้วอย่างไร เจ้าจะเอาข้อมูลนี้ไปทำอะไร”

“เรื่องนั้นไม่สำคัญ สำคัญที่ท่านหาตัวการได้หรือไม่ หรือสำนักตรวจสอบก็เพียงเท่านี้ ยิ่งใหญ่เสียเปล่า กลับตามตัวคนร้ายที่หมายฆ่าประชาชนตาดำ ๆ คนหนึ่งยังไม่เจอ”

“มิกล้า ๆ” เฉินผิงผิงหัวเราะในลำคอ “คู่หมั้นของข้า ข้าย่อมดูแลอย่างดี”

“เลิกพูดคำนั้นเสียทีเถอะ” ฟ่านเสียนลูบแขนสองข้างคล้ายขับไล่ความหนาว “สุดท้าย ท่านก็ยังไม่ยอมบอกว่าใครกำลังหมายหัวข้า”

“บอกไปแล้วเจ้าก็ทำอะไรไม่ได้”

“เรื่องนั้นควรให้ข้าตัดสินใจเอง”

“แล้วเรื่องแต่งงาน เจ้าตัดใจได้แล้วหรือ” 

ฟ่านเสียนกลอกตา “ข้าขอถามท่านเรื่องหนึ่งก่อน”

เฉินผิงผิงนั่งประสานมือบนตัก รอฟัง เขาหนีไปไหนไม่ได้อยู่แล้ว

ฟ่านเสียนขมวดคิ้ว ซักถามอย่างจริงจัง “มีคนประเภทใดบ้างที่ท่านจะไม่ยอมแต่งด้วยอย่างเด็ดขาด” 

“ให้ข้าเดา หลังกลับไปแล้ว เจ้าก็จะกลายเป็นคนประเภทนั้นในทันทีใช่ไหม” 

“ขึ้นอยู่กับคำตอบของท่านแล้ว”

“เช่นนั้นข้าก็ขอตอบว่า คนโง่งม”

“โง่งมที่ท่านว่า คือคนประเภทเดียวกับที่ใช้การไม่ได้ด้วยหรือเปล่า”

เฉินผิงผิงพยักหน้าทั้งรอยยิ้ม ฟ่านเสียนเองก็เผยรอยยิ้มด้วยเช่นกัน นึกแล้วน่าขัน ตั้งแต่พบหน้า พวกเขาทั้งสองเอาแต่แลกรอยยิ้มกันเหมือนแลกดาบ หากเป็นฉากสงครามก็คงสูญทหารไปนับพัน ทิ้งบาดแผลจนร่างโชกเลือดแล้ว

“เข้าใจแล้ว” ฟ่านเสียนขยับดวงตาไปมาอีกครั้ง และเฉินผิงผิงพบว่าเวลาใคร่ครวญบางสิ่ง เขามักจะมองขึ้นข้างบน 

เด็กหนุ่มเดินมาหยิบตราผู้คุมบนโต๊ะ สายตาลุกลนเมื่อเห็นชื่อบนปกหนังสือที่วางนิ่งอยู่ข้าง ๆ ก่อนประสานมือ “รบกวนท่านเพียงเท่านี้ วันนี้ขอลาก่อน”

ฟ่านเสียนหมุนกาย แต่เดินได้ไม่กี่ก้าวก็หันกลับมา 

“ท่านอาจารย์เคยบอกไว้ว่ามีแผ่นป้ายหนึ่งในสำนักตรวจสอบนี้ที่ข้าควรไปดูสักครา ไม่ทราบว่าอยู่ที่ใด”

“อยู่หน้าทางออกด้านนอก สังเกตได้ไม่ยาก” เฉินผิงผิงกล่าว มือหยิบหนังสือหอแดงมาเปิดอ่านอีกครั้ง 

ฟ่านเสียนค้อมศีรษะว่ารับรู้แล้วเดินต่อ

ทว่าเฉินผิงผิงยังกล่าวขึ้น “คราวหน้าหากมีคนขวางทาง แค่บอกชื่อไปก็พอ”

ฟ่านเสียนมิได้ชะลอฝีเท้า ดวงตาเฉินผิงผิงก็มิได้คลาดเคลื่อนจากตัวอักษร

“เพราะคนที่นี่ต่างรู้กันแล้วว่าเจ้า...เป็นคู่หมั้นของข้า”




๕.


ยามอยู่ต่อหน้าเฉินผิงผิง เหมือนยืนประจันกำแพงศิลาเย็นเยียบ ริมฝีปากอาจแย้มยิ้มพริ้มพราย แต่ดวงตาไม่สะท้อนสิ่งใดออกมาเลย

เป็นคนที่รับมือยากอย่างยิ่ง ฟ่านเสียนอ่านสีหน้าของเขาไม่ออกสักนิด ไม่มีสิ่งใดชี้นำว่าเขาโกหก แต่ก็ไม่มีอะไรบ่งบอกได้ว่าเขากล่าวอย่างจริงใจ และยังคำล้อเล่นของเขาอีก เป็นการพูดส่งด้วยความสนุกหรือ หนทางเดียวที่จะล้มงานแต่งงานได้คือเราคนใดคนหนึ่งต้องตาย ใช่ว่าฟ่านเสียนจะคิดไม่ถึงความเป็นไปได้นี้ แต่เพราะมันเป็นหนทางสุดโต่ง เขาย่อมตัดทิ้งไปแต่แรก 

ทว่าเฉินผิงผิงเล่า เขาเป็นถึงผู้อยู่เบื้องหลังยักษ์ใหญ่เช่นสำนักตรวจสอบ ไม่มีอะไรที่เขายื่นมือเข้าไปแทรกแซงไม่ได้ แค่บุตรชายนอกสมรสของปั๋วซือหนานคนหนึ่ง หากมิใช่งานนี้เกิดด้วยราชโองการแล้ว มีหรือเขาจะยอมอยู่นิ่งเฉย ขอเพียงเฉินผิงผิงไม่ปรารถนาจะแต่งงาน ฟ่านเสียนเชื่อว่าคนผู้นี้ย่อมหาวิธีการยกเลิกมันได้ง่ายดาย

ที่บอกว่าอย่างไรงานแต่งของพวกเขาก็ต้องเกิดขึ้น กล่าวเพราะจนปัญญาแก้ไขแล้ว หรือกล่าวให้เขาตายใจเพื่อลงมือทำอะไรบางอย่าง ฟ่านเสียนย้อนทวนความทรงจำ คิดจนหัวแทบแตกนั่นเองจึงตระหนักว่าไม่มีทางหาคำตอบเจอ คงได้แต่ปักหลักรอรับมือเท่านั้น…

เสียเมื่อไหร่

“ท่านวางแผนจะทำอะไรอีก” เถิงจื่อจิงยืนกอดอกพิงประตู ท่าทางจะมองดูอยู่นานแล้ว

ฟ่านเสียนกำลังก้ม ๆ เงย ๆ หน้าเตาถ่าน มือหนึ่งถือตะหลิวมือหนึ่งถือกระทะ รู้สึกได้ว่าถูกมองแต่ไม่ใคร่ใส่ใจ นอกจากนี้ไม่ต้องเหลียวดูก็นึกออกว่าอีกฝ่ายคงเผยสีหน้าบูดบึ้งไร้อารมณ์สมกับการไม่ขายรอยยิ้มอยู่ 

“คิดมากไปแล้ว ข้าแค่ทำอาหาร” ฟ่านเสียนทำไข่ลวกเสร็จก็ช้อนมาวางบนขนมปังปิ้งกรุ่นกลิ่นเนยนม ทุกอย่างนี้ล้วนทำมาจากวัตถุดิบที่หาได้ในยุคนี้ทั้งสิ้น ต้องเปลืองกำลังอยู่พอควรจึงหาของมาทดแทนสูตรขนมปังแบบเดิมได้ “เจ้าลองดู ข้าจะทำสิ่งนี้ขาย คิดว่าเป็นอย่างไร”

เถิงจื่อจิงเดินเข้ามาใกล้ หน้าแข็งตึงไร้รอยยิ้มดังที่คาดไว้ “ท่านพิมพ์หนังสือขายอยู่แล้ว ยังคิดจะทำการค้าอื่นอยู่อีก”

เห็นเถิงจื่อจิงมองข้ามอาหารที่ตนอุตส่าห์แก้สูตรอย่างยากลำบากแล้ว ฟ่านเสียนมองขนมปังห่อไข่ในมืออย่างเห็นใจ ก่อนกัดหนึ่งคำโตเสียเอง “เรื่องโรงพิมพ์ฟ่านซือเจ๋อเป็นตัวตั้งตัวตี ข้าแค่ส่งต้นฉบับให้เขาเท่านั้น หนทางกอบโกยกำไรของข้าคือสิ่งนี้ต่างหาก”

เถิงจื่อจิงจ้องคล้ายเห็นของแปลก

“ทำไมกัน ข้าจะทำมาค้าขายอย่างคนอื่นบ้างไม่ได้หรือ”

“ท่านลองบอกข้าสิว่ามีคุณชายจวนไหนทำเรื่องวุ่นวายเหล่านี้บ้าง”

“ก็มีฟ่านซือเจ๋อแล้วคนหนึ่ง” เจ้าน้องชายคนนี้ พอเป็นเรื่องเงินทองละคิดการคล่องแคล่ว อนาคตเศรษฐีใหญ่อยู่ไม่ไกลเกินเอื้อมแล้ว

“ท่านนั้นไม่นับ” เถิงจื่อจิงยกมือนวดหว่างคิ้ว “แต่เป็นเช่นนี้ก็อาจจะดีกว่าการออกไปก่อเรื่องข้างนอก”

“ข้าเคยทำเรื่องแบบนั้นด้วยหรือ”

สายตาของเถิงจื่อจิงแทบเต็มล้นไปด้วยประโยค ท่านก็ยังกล้าที่จะถาม

ฟ่านเสียนเคี้ยวขนมปัง ถอนหายใจยาว “เขียนบทกลอนเช่นนั้นออกมา ยังนับว่าก่อเรื่องอะไรอีก” บทกลอนดังกล่าวนั้นก็คือสิ่งที่เกิดขึ้นในงานชุมนุม ชื่อเสียงเลวร้ายที่สั่งสมจากการวิวาทกับคนแซ่กัวโดนกลบฝังหมด เขาไม่น่าใจร้อนเลยจริง ๆ

แต่ถูกลือว่าเป็นคุณชายอันธพาลนิสัยเสียแล้วอย่างไร หาใช่เรื่องแปลกใหม่อันใดในเมืองหลวงแห่งนี้ เดิมที่คิดก่อเรื่องให้เฉินผิงผิงขายหน้า กลับกลายเป็นว่าผู้คนยิ่งเห็นดีเห็นงามกับงานแต่งนี้ คนหนึ่งเป็นปีศาจสงคราม อีกคนชอบใช้กำลังตีต่อย เสมือนคู่สวรรค์สร้างเสียอย่างนั้น 

พอจะแกล้งทำตัวโง่งมในงานชุมนุมกวี เขาที่เพิ่งถูกแม่ใหญ่พาไปเลือกผ้าตัดชุดแต่งงานไม่พอต้องมารองรับคำอวดโอ่ของกัวเป่าคุน ความอดทนขาดผึง เล่นใหญ่แอบอ้างกลอนเจ็ดพยางค์ของท่านตู้ฝู กลายเป็นปราชญ์กวีคนใหม่ของหนานชิ่ง ผิดแผนชนิดหน้ามือเป็นหลังมือ

เถิงจื่อจิงเหมือนคิดอะไรได้ ถึงกับหัวร่อออกมา “มองในแง่ดี ชุดที่ท่านเลือกผ้าวัดตัวอย่างยากลำบากก็ไม่เสียเปล่าแล้ว”

ฟ่านเสียนยัดขนมปังที่เหลือเข้าปากอย่างขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน

ที่เถิงจื่อจิงบอกว่าเขาจะต้องยุ่งวุ่นวายเตรียมงานมงคลจนไม่มีเวลาสนใจอะไรอย่างอื่นแทบไม่เกินจริงเลย วันนั้นที่แม่ใหญ่ชักชวนแกมบีบบังคับไปเลือกผ้า เป็นวันที่เขาตระหนักถึงความยิ่งใหญ่ของคำว่า ‘แต่งงาน’ อย่างแท้จริง แค่ผ้าแดงผืนหนึ่งใช้เวลาเลือกอยู่ค่อนวัน ยังไม่รวมรูปแบบการตัดเย็บ ฝีด้ายแบบใด อยากได้ลวดลายชนิดไหน และทั้งหมดนั้น จะวางบนตำแหน่งใดของชุด หากไม่เพราะมีนัดไปงานชุมนุมกวีต่อ ไม่รู้เขาจะได้ออกจากร้านผ้าก่อนตะวันตกดินหรือไม่

แต่ก่อนกล่าวลาท่านแม่หลิ่วก็ยังทิ้งเผือกร้อนลูกใหญ่ไว้ให้เขา ว่าหลังจากนี้ควรหาเวลาไปพบเฉินผิงผิง ตกลงเรื่องงานพิธีและรายละเอียดปลีกย่อยต่าง ๆ น้ำเสียงไม่กระไรนัก แต่ฟังแล้วไม่อนุญาตให้หลบหนีเด็ดขาด และยังยัดม้วนกระดาษระบุหัวข้อที่ต้องปรึกษาหารือ

พอถามว่าเรื่องพวกนี้ มิใช่ให้ผู้ใหญ่ออกหน้าช่วยจัดการหรือ ก็ถูกโต้กลับว่าสำนักตรวจสอบเป็นสถานที่ราชการ ไม่มีตำแหน่งในนั้นก็ไม่สะดวกที่จะไป

แล้วปรึกษาเรื่องส่วนตัวในสถานที่ราชการแบบนี้เหมาะสมหรือ ฟ่านเสียนแทบอยากบีบน้ำตาออกมาเดี๋ยวนั้น

การแต่งงานของโลกนี้ วิธีปฏิบัติมิได้ต่างจากโลกในความทรงจำนัก แต่กลับมีแนวคิดที่นับว่าก้าวหน้าอยู่ไม่น้อย เป็นไปได้ว่าเพราะมีคนก่อนหน้ามาปูทางขนบแบบใหม่ไว้ให้ ฟ่านเสียนอ่านหนังสือเรื่องธรรมเนียมพิธีแต่งงานแล้วพยักหน้าไม่หยุด หลักการบางส่วนเหมือนถูกแก้ไขเปลี่ยนแปลงด้วยอารมณ์อัดอั้นเคืองแค้นอย่างเห็นได้ชัด ทั้งเรื่องงานแต่งที่ไม่จำกัดเพศ ไม่จำกัดว่าฝ่ายใดต้องแต่งเข้าตระกูลฝ่ายใด หรือการแต่งงานข้ามชนชั้นฐานะก็ไม่ได้เป็นข้อห้ามอีกแล้ว

กระนั้นเรื่องการแบ่งแยกศักดิ์สูงต่ำดูจะยังล้มล้างได้ยากในยุคสมัยที่การสื่อสารถึงกันมีจำกัดและความเชื่อเรื่องโอรสสวรรค์ยังฝังลึกในจิตใจผู้คน ฟ่านเสียนไม่กล้าคิดแทนใครว่ามีหรือไม่มีแบบใดดีกว่า แต่เขายังคงสนับสนุนความเท่าเทียม ผู้มั่งมีควรอุ้มชูและทำความเข้าใจผู้ยากไร้ ทุกชีวิตไม่มีใครด้อยกว่าใคร ไม่ว่าจะเกิดในตระกูลที่มีอำนาจล้นฟ้าหรือในบ้านที่ไร้ชื่อก็ตาม

แต่อย่างไรเมื่อคนนอกมองมายังงานแต่งพระราชทานนี้ ยังคงเห็นว่าฟ่านเสียนต่ำศักดิ์กว่า แม้ไม่มีกฎเป็นลายลักษณ์ คนก็มักจะให้ผู้มีฐานะต่ำกว่าแต่งเข้าตระกูลของผู้มีฐานะสูงกว่าอยู่นั่นเอง 

ทุกคนล้วนคิดเช่นนี้ ไม่รู้ว่าเฉินผิงผิงมีความเห็นอย่างไร

แต่งเข้าตระกูลเฉินหรือ เฉินผิงผิงมีจวนพำนักส่วนตัวหรือเปล่า คงไม่ใช่ว่าเขาอาศัยในสำนักตรวจสอบที่คุกรุ่นด้วยโลหิตกับเสียงร้องโหยหวนของนักโทษหรอกนะ?

ฟ่านเสียนอยู่ในภวังค์ แต่มือไม้ยังอุ่นขนมปังเพิ่มไม่มีสะดุด กลิ่นหอมหวานของเนยโชยไปทั่วครัว ทำไปทำมาได้ขนมปังห่อไข่ลวกมาอีกสามชิ้น เขาห่อพวกมันด้วยกระดาษซับน้ำมัน แล้วจัดแจงใส่ตะกร้าอย่างเรียบร้อย

“นั่นจะนำไปให้ใคร” เถิงจื่อจิงถาม

ฟ่านเสียนเหลือบตามอง ยิ้มเบาบางเนือยหน่าย “ย่อมต้องนำไปให้คู่หมั้นของข้า”

“แล้วยังกล่าวว่าไม่มีแผนอีก” เถิงจื่อจิงชะโงกหัว “คงไม่ได้วางยาอะไรไว้หรอกนะ”

“ข้ากินให้เจ้าเห็นเมื่อครู่แล้วมิใช่หรือ” ฟ่านเสียนประท้วง

“ท่านเคยกล่าวเองว่าร่างกายสามารถต้านทานพิษได้ ไหนจะยังเป็นศิษย์ปิดสำนักของหัวหน้าเฟ่ยเจี้ยอีก ระแวงไว้หน่อยก็ไม่เสียหาย” อีกฝ่ายว่า “และการไปพบครั้งนี้คงไม่ใช่ว่าไร้จุดประสงค์”

ถึงตรงนี้ ฟ่านเสียนก็ยิ้มออก “ทีแรกแค่อยากจัดการธุระที่ท่านแม่ใหญ่มอบหมายมาให้เรียบร้อย แต่คิดดูแล้ว ไปทำให้เขารำคาญจนจุกอกตายก็ไม่เลว”

เถิงจื่อจิงเลิกคิ้วสูง “ท่านอยากตายมากเลยหรือ”

“เขาเป็นถึงผู้นำสำนักตรวจสอบ จะลงมือหนักกับเรื่องเล็กน้อยแค่นี้?”

กล่าวนำขึ้นมาอย่างไม่จริงจัง ฝ่ายถูกถามกลับดูลังเลอย่างแท้จริง “...นั่นก็ไม่แน่นัก”

ฟ่านเสียนเงยศีรษะ มองชายที่เดิมควรจะต้องจับตาดูเขาเยี่ยงผู้คุมแต่กลับกลายมาเป็นคนคอยช่วยจัดการธุระในเมืองหลวงให้ เถิงจื่อจิงมักแสดงตนว่าไม่สนโลก แต่ในใจกลับเต็มไปด้วยความวิตก เขามีห่วงมากจึงลำบากมาก สำนักตรวจสอบช่วยเขาให้รอดพ้นการประหาร เถิงจื่อจิงกลับไม่ตื้นตัน ยังคงหวาดระแวงผู้มีอำนาจเช่นนั้นเอง

เรื่องนี้ไม่อาจโทษเถิงจื่อจิงเด็ดขาด ความกลัวที่ผู้คนมีต่อเฉินผิงผิงเป็นของจริง เหมือนไฟป่าที่ลุกลามจนไม่อาจดับได้ ฟ่านเสียนก็กลัวชายคนนั้น แต่ไม่ใช่ความกลัวแบบที่คนทั่วไปรู้สึก 

เขาแค่กลัวว่าจะรู้ไม่เท่าทันความคิด

ฟ่านเสียนส่ายหน้า หันตัวไปจัดการถุงหอมที่วางไว้อีกด้านหนึ่งของครัว “เอาเถอะ ๆ งานแต่งนี้ เลี่ยงไม่ได้ก็ช่าง รอสักปีหนึ่งค่อยหย่ากันทีหลังก็ได้”

เถิงจื่อจิงยิ่งขมวดคิ้ว หน้าผากถึงกับขึ้นรอยขีดสามรอย

ฟ่านเสียนประคองถุงหอม เดินผ่านชายผู้ทำหน้าเครียดจนขมับปูดอย่างอารมณ์ดี ชูถุงหอมขึ้น ตบสองสามทีให้ฝุ่นผงบางเบาโรยออกมา ก่อนหมุนตัว

“ท่านทำอะไรอีก” เถิงจื่อจิงถอนหายใจ

“พรมน้ำหอม เจ้าคิดว่ายังไง นอกจากขนมปังห่อไข่ลวกแล้ว ข้าว่าทำถุงหอมขายก็ไม่เลว”

“ถุงหอมกลิ่นเป็ดห้ารสน่ะหรือ”

ฟ่านเสียนทำตาโต “เป็ดห้ารสอะไรกัน นี่เป็นสมุนไพรทั้งนั้น หอมและยังดีต่อปอดอีกด้วย!”

“ตอนนี้ท่านมีกลิ่นเหมือนเพิ่งทานอาหารเหลาเสร็จ” เถิงจื่อจิงหัวเราะเยาะ “ขอแนะนำให้ไปอาบน้ำก่อน ถ้าไม่อยากนอนฝันว่าตัวเองเป็นเป็ดในหม้อตุ๋น”

ฟ่านเสียนตบเนื้อตัวเรียกความมั่นใจ กลิ่นหอมขนาดนี้ จะเป็นเป็ดห้ารสได้ยังไง “ค่ำคืนนี้ยังอีกยาวไกล เจ้าก็ไปพักเถอะ”

“แล้วท่านล่ะ” อีกฝ่ายหรี่ตา “มืดค่ำแล้ว ท่านยังจะออกไปไหนอีก”

“ไปหาคู่หมั้นของข้าไง”

“อาหารนั่น ไม่ได้จะเอาไปให้ตอนเช้าหรอกหรือ” เถิงจื่อจิงพูด “เจอกันกลางค่ำกลางคืน ไม่กลัวคำครหาหรืออย่างไร”

“รอจนเช้าก็ไม่น่ากินแล้ว” ฟ่านเสียนหยิบตะกร้าขึ้นคล้องแขน หันมากล่าว “ไม่ต้องส่ง”

“ไม่ส่งอยู่แล้ว” เถิงจื่อจิงสะบัดเสื้อคลุมก่อนเดินเชิดหน้าออกไปจากครัว




tbc.