วันเสาร์ที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2566

[หาญท้าฯ] ฉางอันหนึ่งราตรี (หนิงเชวีย/ฟ่านเสียน)

 


ฉางอันหนึ่งราตรี

หาญท้าชะตาฟ้า ปริศนายุทธจักร

— หนิงเชวีย / ฟ่านเสียน —

คำเตือน : สปอยล์แค่ซีรีส์หาญท้าชะตาฟ้าภาคหนึ่ง, หนิงเชวียคือตัวละครเอกจากเรื่องสยบฟ้าพิชิตปฐพี

แนะนำให้ฟัง Jane Zhang — The Old Chang'an คลอเพื่ออรรถรส




๑.


หลังลงโปรไฟล์ทิ้งไว้ในเว็บไซต์หางานมาเกือบสองเดือนก็มีคนติดต่อให้ไปสัมภาษณ์ ตอนเห็นอีเมลฉบับนี้หนิงเชวียประหลาดใจไม่น้อย ประการแรกเพราะเทียบกับคู่แข่งทั้งหลายที่มีประวัติการศึกษาเลิศหรูในเว็บไซต์นั้นแล้ว เขาไม่ต่างจากวัชพืชในสวนบุปผาพันธุ์ดีเลยสักนิด ต้องตาดีหรือตาถั่วขนาดไหนถึงควานเจอเขาได้

ประการที่สอง เพราะหนิงเชวียไม่ได้เรียนจบมาทางด้านที่เกี่ยวกับตำแหน่งงานเลยแม้แต่น้อย ทว่าตำแหน่งผู้ช่วยผู้จัดการนี้ต้องจบอะไรจึงเหมาะสมหรือ บริหารธุรกิจ? ไม่ได้ใกล้เคียงกับสาขาศิลปะอีกเช่นกัน

ในใจหนิงเชวียเยาะหยันคุณแซ่หวังที่เป็นผู้ส่งอีเมลอย่างมากมาย แต่สุดท้ายเขาก็ตอบรับการเรียกตัว ค่าจ้างสูงกว่าที่เดิมเกือบสิบเท่า ใครบ้างจะไม่คว้าเอาไว้ แต่ค่าจ้างที่สูงกว่าอัตราเงินเดือนเฉลี่ยทั่วไปจนเหมือนเรื่องเพ้อฝันเช่นนี้ คงซ่อนลับลมคมในอะไรไว้อยู่

“หลอกไปทำเรื่องผิดกฎหมายแน่ ๆ ปฏิเสธไปดีกว่า” 

หนิงเชวียฟังประโยคนี้มานับร้อยครั้งได้ กระทั่งจะออกไปสัมภาษณ์แล้วซังซังก็ยังไม่เลิกเซ้าซี้

เขาใช้ตะเกียบเคาะหัวน้องสาวบุญธรรมไปทีหนึ่ง “กินแต่เกี๊ยวน้ำจนหน้าจะเป็นเกี๊ยวแล้ว เธอไม่เอียนบ้างเหรอ หรืออยากกินแต่แป้งห่อหมูชิ้นเท่านิ้วก้อยนี้ไปจนตาย?”

ซังซังทำหน้ามุ่ย “มันดูอันตรายนี่นา ถ้าพี่เป็นอะไรไปฉันจะทำยังไง”

“ฉันไม่โดนหลอกง่าย ๆ หรอก เห็นท่าไม่ดีเมื่อไหร่ก็จะรีบเผ่นออกมา พอใจไหม” หนิงเชวียตัดบทก่อนรีบยัดข้าวเช้าเข้าปาก อาหารมื้อนี้ไม่มีอะไรมาก แค่ซุปต้มกระดูกหมูค้างคืนกับข้าวเปล่าแกล้มผัดผัก แต่เท่านี้นับว่าเยอะแล้วสำหรับครอบครัวที่มีกันสองคน

ทานข้าวเช้าเสร็จแล้ว หนิงเชวียลุกหยิบกระเป๋าสะพายกับหมวกกันน็อค ซังซังเดินตามมาติด ๆ เพื่อยืนส่งที่หน้าประตู

แม้จะกังวลใจเพียงใด เธอก็ยังกล่าวอวยพรให้การสัมภาษณ์ผ่านไปด้วยดี ไม่มีอะไรแอบแฝง

หนิงเชวียกลอกตา “ปิดห้องให้เรียบร้อย แล้วรีบไปโรงเรียนด้วยล่ะ ถ้าครูประจำชั้นโทรมาฟ้องอีกว่าเธอแอบโดดเรียน ฉันจะตัดเงินให้เหี้ยน”

“รู้แล้วน่า”

อย่างกับว่ามีเงินมากมายให้ตัด หนิงเชวียรู้ว่าน้องสาวแค่รับคำไปอย่างนั้น แต่เขาก็ไม่มีแก่ใจจะปรามต่อ โบกมือไล่หลังเสร็จก็วิ่งลงมาจากตึก จูงจักรยานปั่นออกสู่ท้องถนนของปักกิ่งในเช้าวันจันทร์อันแสนพลุกพล่าน

ใช้เวลาพอสมควรจึงไปถึงสถานที่นัดสัมภาษณ์ หนิงเชวียแหงนหน้ามองตึกตรงหัวมุมถนนที่สูงที่สุดในบริเวณนี้ เขาเคยผ่านย่านธุรกิจของปักกิ่งอยู่บ้างแต่ไม่เคยสังเกตโดยรอบอย่างจริงจังเลยสักครั้ง หนานชิ่งทาวเวอร์เป็นอาคารสูงหกสิบชั้นที่ดูทันสมัย เต็มไปด้วยผู้คนแต่งตัวดีที่มักแสดงอาการว่ามีธุระรัดตัว หนิงเชวียหัวเราะออกจมูกคราหนึ่ง ล็อกจักรยานไว้ที่จุดจอดแล้วเชิดหน้าเดินตามขบวนคนหัวสูงเหล่านั้นเข้าไปในอาคารดังกล่าว

เมื่อแจ้งธุระกับพนักงานตรงแผนกต้อนรับรวมถึงถ่ายรูปและรับบัตรแล้ว หนิงเชวียผ่านทางเข้าต่อไปยังโซนลิฟต์ ตอนกดชั้นห้าสิบกลับถูกคนลงพุงสวมสูทที่ยืนรออยู่ก่อนจ้องหน้า หนิงเชวียมองตอบเงียบ ๆ ก่อนเบือนหนี นี่มันเรื่องอะไรกัน ชั้นห้าสิบมีอะไรพิเศษ?

ทุกชั้นในตึกนี้ก็ล้วนเป็นของหนานชิ่งกรุ๊ปไม่ใช่หรือ

หนิงเชวียมองคนทยอยออกไปตามแต่ละชั้น เขายืนในลิฟต์เป็นคนสุดท้ายจนกระทั่งประตูเปิดออกที่ชั้นห้าสิบ

ชั้นนี้ดูหรูหรามากจนเหมือนต้องการให้คนที่เดินเข้ามารู้สึกประหม่า พื้นปูกระเบื้องขาวเงาวับ ตกแต่งด้วยเครื่องเรือนสีเข้มตัดโทนกันที่มีรูปทรงเรขาคณิต หนิงเชวียไม่สนใจสิ่งของเหล่านี้ เขาเดินตรงไปที่จุดต้อนรับประจำชั้น ผิดกับชั้นล่างสุดที่ต้องรับรองคนจำนวนมหาศาล ชั้นนี้มีพนักงานนั่งหลังเคาน์เตอร์อยู่คนเดียว เป็นสาวสวยหน้ามุ่ยที่ดูเหมือนกำลังเครียดด้วยเรื่องอะไรสักอย่าง

“ผมมาสัมภาษณ์งานกับคุณหวัง ไม่ทราบว่าต้องไปที่ห้องไหน” 

มาถึงหนิงเชวียก็ถามอย่างไม่อ้อมค้อม หญิงสาวคนนั้นก็ไม่ได้สะดุ้งสะเทือน เธอเหลือบมองเขา ตอบชัดถ้อยชัดคำพร้อมผายมือ

“ห้อง 5021 เดินตามทางนี้ไปจะเห็นห้องอยู่ทางซ้ายมือ หวังฉี่เหนียนรอพบคุณในห้องแล้ว”

หนิงเชวียเลิกคิ้ว เรียกชื่อกันตรง ๆ อย่างนี้ คุณหวังอะไรนั่นก็คงไม่ได้เป็นที่นับถือเท่าไหร่ 

เขาคิดแต่ปากปิดสนิท ค้อมหัวให้เล็กน้อยก่อนเดินมือล้วงกระเป๋ากางเกงตามทิศทางที่ผู้หญิงคนนั้นชี้ เห็นห้อง 5021 ที่ว่าก็ตรงไปเคาะประตูแล้วเปิดเข้าไปข้างในทันที 

“มาทันเวลาพอดี!” ชายที่นั่งอยู่บนโต๊ะประชุมยาวโพล่งขึ้น ในมือกวัดแกว่งโทรศัพท์ คงเพิ่งวางสายจากใครสักคนมา

หนิงเชวียเอ่ยถาม “คุณคือคุณหวัง?”

คนที่อยู่ฝั่งตรงข้ามโต๊ะเป็นชายวัยกลางคน หน้าตาอิ่มเอิบยิ้มแย้ม ดูไม่มีพิษมีภัย แต่หนิงเชวียไม่เชื่อว่าพวกที่ทำงานบนตึกระฟ้ากลางกรุงปักกิ่งจะเป็นพวกไม่มีเขี้ยวเล็บ คุณหวังคนนี้ก็คงจะไม่ธรรมดา แม้อาการของหญิงสาวด้านนอกจะบ่งชี้ถึงความเป็นไปได้ตรงกันข้ามก็ตาม

ไหนจะเรื่องที่ว่าเขาเลือกวัชพืชมาทำงานแทนดอกไม้งามอีก

“ถูกแล้ว ๆ หวังฉี่เหนียน ยินดีที่ได้พบ หนิงเชวียใช่ไหม เธอรีบมานั่งสิ อีกเดี๋ยวคุณชายก็คงมาถึงแล้ว”

หนิงเชวียนั่งลง ก่อนกล่าวอย่างสงสัย “คุณชาย?”

“ใช่แล้ว รอสักครู่นะ จะดื่มอะไรหน่อยไหม ชา กาแฟ น้ำเปล่า?”

“แค่น้ำเปล่าก็พอครับ ขอบคุณ” หนิงเชวียหยิบแก้วน้ำจากถาดที่เตรียมไว้แล้วมาวางหน้าตนเอง

คุณมองหน้าฉัน ฉันมองหน้าคุณไปอึดใจใหญ่ อีกฝ่ายนั่งยิ้มเหมือนสัตว์สตาฟ หนิงเชวียก็นิ่งมองด้วยความเย็นใจ คุณชายที่กล่าวถึงคงเป็นคนสัมภาษณ์ตัวจริงที่น่าจะมีตำแหน่งใหญ่กว่าหวังฉี่เหนียน

เป็นคนอื่นคงรู้สึกว่าความเงียบอันน่าอึดอัดนี้ยาวนาน แต่หนิงเชวียรู้สึกว่ากำลังพอดีให้เขาได้พักคลายความล้าจากการเดินทาง และไม่ทันไรเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น ตามมาด้วยเสียงฝีเท้าก้าวผ่านหลังของเขา อ้อมไปนั่งฝั่งตรงข้ามข้างหวังฉี่เหนียน

หวังฉี่เหนียนลุกขึ้นยืนรับด้วยท่าทีพินอบพิเทาอันชวนให้มุมปากหนิงเชวียกระตุก

“คุณชายฟ่าน”

คุณชายฟ่านที่เขาเรียกนั้นสมกับที่เป็นคุณชายทุกระเบียดนิ้ว ทั้งรูปร่างผอมสูง หน้าตาหล่อเหลา การแต่งกายที่อาจไม่ได้ใส่สูทผูกไทด์อย่างเคร่งครัด แค่เชิ้ตขาวกางเกงสแล็คก็ยังดูดีไปเสียหมด แต่แทนที่จะมีสีหน้าท่าทางอวดกร่างตามแบบฉบับลูกผู้ดีมีเงินแล้ว คน ๆ นี้ให้ความรู้สึกว่าเป็นพวกจริงจังกับทุกเรื่องและไม่ชอบการล้อเล่น

นอกจากนี้ หนิงเชวียยังรู้สึกคุ้นหน้าเขามาก เหมือนเคยพบที่ใดมาก่อน

คุณชายหน้านิ่งรับแฟ้มจากหวังฉี่เหนียนมาเปิด ตาไล่อ่านข้อมูลบนเอกสาร ปากกล่าวขึ้นว่า

“ฉันชื่อฟ่านเสียน”

“หนิงเชวีย”

“อืม” ฟ่านเสียนเงียบไปพักหนึ่ง คิ้วขมวดเข้าหากันน้อย ๆ คล้ายว่าอ่านเสร็จแล้วจึงเงยหน้าขึ้นมาสบตา “ลองบอกมาว่าทำไมฉันถึงควรจ้างคุณ”

หนิงเชวียเกือบหลุดหัวเราะ

คำถามสุดเบสิคที่พบได้ตามบริษัททั่วไปก็หลุดมาจากปากคน ๆ นี้ด้วย

“เรื่องนี้คุณต้องเป็นฝ่ายบอกสิ เป็นคนเลือกฉันมาสัมภาษณ์เองไม่ใช่หรือ”

คุณชายฟ่านจ้องตาค้าง ก่อนขยับยิ้มบาง “บอกตามตรง ฉันไม่ได้เป็นคนเลือกหรอก ต้องผ่านการคัดกรองหลายชั้นเลยล่ะกว่าฉันจะมาจับแฟ้มประวัติของคุณได้ จริงไหม หวังฉี่เหนียน” ตอนท้ายหันไปทางคนข้าง ๆ ที่สะดุ้งรับ

หวังฉี่เหนียนยิ้มแห้ง กล่าวเรียกคุณชายเสียงเบา ในขณะที่สายตาฟ่านเสียนดูห่างเหิน มองอย่างติดประชดประชัน แต่ก็เบาบางไม่ถึงกับหักหาญกัน

หนิงเชวียมองอย่างสนใจ “ตำแหน่งผู้ช่วยผู้จัดการนี้ ฉันต้องทำงานกับคุณถูกต้องไหม”

“หวังฉี่เหนียนเป็นผู้จัดการของฉัน ดังนั้นถูกต้องแล้ว คนที่เธอต้องทำงานด้วยเป็นฉันจริง ๆ” ฟ่านเสียนกล่าว “งานของคุณคือช่วยฉันในการเตรียมตัว คอยลำดับตารางงานจากหวังฉี่เหนียน รับหน้าคนที่เข้ามาติดต่อในเวลาที่ฉันไม่สะดวก พูดง่าย ๆ คือตัวติดกันตลอดเวลาที่ฉันทำงาน”

“เป็นเด็กถือของนั่นเอง แล้วงานของคุณคืออะไร”

ฟ่านเสียนเอียงคอ “งานของฉันก็คืองานแสดงไง”

“เธอไม่รู้หรอกหรือว่าคุณชายเป็นนักแสดง” หวังฉี่เหนียนดูตกใจมาก “อยู่ในถ้ำมาหรือไงพ่อหนุ่ม!”

หนิงเชวียยักไหล่ 

สงสัยอยู่แล้วว่าทำไมคุ้นหน้านัก คงเคยเห็นจากโปสเตอร์หนังสักเรื่องนั่นแหละ “พอดีงานเดิมค่อนข้างยุ่ง ไม่ค่อยมีเวลาออกไปเปิดหูเปิดตา”

หวังฉี่เหนียนอ้าปากเหมือนอยากว่าอะไรต่อ แต่ฟ่านเสียนส่งสายตาปรามจึงเปลี่ยนเป็นเม้มปากแน่น กลืนถ้อยคำลงคอ

“ก็ดีเหมือนกัน” ฟ่านเสียนพูด แต่อะไรที่ดีนั้น หนิงเชวียไม่อาจบอก “รายละเอียดงานก็ประมาณนี้ คุณล่ะว่ายังไง บอกได้ไหมว่าทำไมถึงสมควรได้รับงานนี้”

หนิงเชวียแค่นยิ้ม “พูดตรง ๆ นะ งานนี้ไม่สมควรได้รับฉันเลยต่างหาก” เขากวาดตาไปที่หวังฉี่เหนียน “เพราะอย่างนี้หรือเปล่าจึงเสนอค่าจ้างไว้สูงมาก”

“ราคาตามปกติก็ประมาณนี้ทั้งนั้น” หวังฉี่เหนียนยิ้มสู้ “เป็นคนดังมีพวกตามราวีเยอะแยะไปหมด แล้วยังพวกขี้อิจฉาตาร้อนในวงการอีก คนเรารู้หน้าไม่รู้ใจ…”

ฟ่านเสียนหัวเราะคำหนึ่ง ก่อนเสมองไปทางอื่น

หวังฉี่เหนียนกระแอมไอ “...เอ่อ ก็เพราะเป็นงานที่สิ้นเปลืองทางความรู้สึกมาก จึงเสนอค่าตอบแทนนี้ไว้”

“เอาแต่อ้อมค้อมแบบนี้คงไม่ได้เรื่องซะที” คุณชายคนงามนั่งกอดอกฟังได้ไม่นานก็เอ่ยแทรก “ขอถามเลยละกัน หนิงเชวีย คุณสู้เป็นใช่ไหม” 

“เป็น” หนิงเชวียกล่าวเสียงเนือย “ไม่บอกตามตรงเลยล่ะว่าจ้างมาเป็นบอดี้การ์ด”

“คงเพราะความสามารถนี้ไม่ได้ระบุในโปรไฟล์ของคุณ ยังไงก็ดำเนินการผ่านเว็บไซต์ตัวกลางที่อาจถูกตรวจสอบได้ พวกเขาเลยต้องทำแบบนี้” ฟ่านเสียนทาบนิ้วบนเอกสาร แต่ดวงตาเหม่อมองสิ่งที่ไม่ได้อยู่บนกระดาษ สีหน้าหวังฉี่เหนียนก็ดูย่ำแย่

มีลับลมคมในอย่างที่คิดไว้จริง ๆ

“พวกเขาที่ว่านี้...เป็นคนในหนานชิ่งกรุ๊ปเหรอ” หนิงเชวียลองเชิง

ฟ่านเสียนตวัดสายตามองเขา ก่อนปรับสีหน้าเป็นนิ่งเฉย “ยิงปืนได้หรือเปล่า”

หนิงเชวียยิ้มรู้ทัน ทว่าก็ยอมตอบ “ถ้าคุณมีให้ก็ย่อมได้”

“งั้นก็เป็นอันตกลง”

“ฉันยังไม่ได้ตอบตกลงเลย”

“ข้อเสนอที่หวังฉี่เหนียนส่งไปแทบไม่ระบุอะไรอย่างชัดเจนนอกจากจำนวนเงินเดือนและสวัสดิการ ดูน่าสงสัยขนาดนี้คุณก็ยังอุตส่าห์เดินทางมา คงไม่ได้นึกอยากมาเสียเที่ยวแต่แรกหรอก” ฟ่านเสียนยกยิ้ม เท้าศอกกับโต๊ะโดยประกบมือเข้าหากัน

“และไม่ว่าคุณจะตกลงหรือไม่ ทางฉันเองก็ไม่ได้เดือดร้อนอะไร เพราะการรับคนมาช่วยงานเพิ่มไม่ใช่ความคิดของฉันแต่แรกแล้ว”

หนิงเชวียไม่นึกว่าจะพบสายตากึ่งท้าทายตอบกลับมา ดูท่าเขาต้องประเมินความเคร่งขรึมของคุณชายคนนี้ใหม่แล้ว 

หวังฉี่เหนียนขยับไปมาบนเก้าอี้คล้ายเริ่มนั่งไม่ติด

ทางหนึ่งไม่แยแสว่าเขาจะตอบตกลงหรือไม่ ทางหนึ่งเหมือนถูกบีบบังคับว่าต้องรับเขาเข้ามาทำงานให้ได้อย่างนั้นสินะ

หนิงเชวียกอดอก ผินหน้าไปทางหวังฉี่เหนียน “ทำไมถึงเป็นผมล่ะ” เพิ่งส่งคำถามไป ก็นึกคำตอบได้เอง “สืบประวัติมาหมดแล้วใช่ไหม”

อีกฝ่ายพยักหน้าแกน ๆ พร้อมกับฉีกยิ้มการค้า

ภายนอกนิ่งเฉย แต่ในใจหนิงเชวียเริ่มร้อนรนบ้างแล้ว รู้ไปขนาดไหนกัน คงไม่ได้สืบสาวถึงเรื่องบ้านเดิมของเขากระมัง

แต่รู้ไปแล้วอย่างไร เวลาผ่านมาสิบกว่าปีแล้ว ตัวการที่ทำให้ครอบครัวของเขาต้องพินาศคงไม่สนใจตามกำจัดแล้วกระมัง

และหากเบื้องหลังของคุณชายฟ่านคนนี้ยังมีใครคอยควบคุมอยู่ คน ๆ นั้นน่าจะมีอิทธิพลอยู่บ้างจึงไม่กลัวเกรงการจ้างงานเขา

บางทีอาจยืมมือคนพวกนี้มาช่วยล้างแค้นได้

“คนในวงการเรียกฉันว่าคนตัดฟืน” หนิงเชวียส่งรอยยิ้มปราศจากความจริงใจ “เท่านี้น่าจะเพียงพอให้คุณสนใจรับเข้าทำงานแล้วนะ คุณฟ่าน”




๒.


เรื่องกลับกลายเป็นว่าคุณชายฟ่านเสียนคนนี้มีเบื้องหลังที่เกินความคาดหมายของเขาไปไกลลิบ

เริ่มงานวันแรก หนิงเชวียต้องติดตามฟ่านเสียนไปถ่ายแบบ แค่ช่วยดูของส่วนตัวไม่ให้ใครมาเล่นพิเรนทร์กับช่วยถือของจุกจิกให้ ฟังดูแล้วไม่ใช่งานที่ท้าทายเลย เขายังคิดว่าทั้งวันนี้คงได้แต่นั่งเบื่อด้วยซ้ำ แต่นั่นเป็นแค่ฉากหน้า ของจริงคือสิ่งที่อยู่รายล้อมสตูดิโอนี้ต่างหาก

สัญชาตญาณร้องเตือนตั้งแต่เช้าจรดบ่าย ฟ่านเสียนถูกใครบางคนหรืออาจเรียกได้ว่าเป็นกลุ่มคนคอยเฝ้าจับตาดูตลอดเวลา ทั้งคนแปลกหน้าที่เดินผ่านโถงทางเดินและทีมงานบางคนภายในนี้เองทำท่าจ้องหาโอกาสกระทำเรื่องบางอย่างอยู่เสมอ การเข้าหาลับหลังเช่นนี้แน่นอนว่าไม่มีทางมาดี หนิงเชวียจึงต้องตื่นตัว ประสาทของเขาขมวดตึงเสียจนหากมากกว่านี้อีกนิดคงเป็นสายป่านขาดสะบั้น

เดิมคิดว่าอย่างมากคงเป็นแฟนคลับที่รักอย่างไร้สติ แต่ไม่ใช่เลย นี่มันพวกมืออาชีพ

ที่บอกว่าให้มาเป็นการ์ดกันคนคืออย่างนี้เอง คนในเงาจ้องจู่โจมทุกวิถีทาง คนปกป้องจึงต้องเป็นพวกที่รู้จักการดิ้นรนทำทุกวิถีทางด้วย

ลอบสังเกตคนที่เป็นเป้าหมายการปองร้าย ถึงแสดงหน้ากล้องเก่งเพียงใด เมื่ออยู่เบื้องหลังฟ่านเสียนก็เผยความอ่อนล้าออกมาอย่างเห็นเด่นชัด แค่วันเดียวหนิงเชวียเองยังปวดหัวแทบตาย คนที่เจอเรื่องแบบนี้มาตลอดไม่กระอักหรือ 

แล้วยังจะทำเป็นไม่รู้ร้อนว่าเขาจะตอบตกลงหรือไม่ในวันสัมภาษณ์อีก คน ๆ นี้สมควรหาใครมาช่วยแบ่งเบาภาระจริง ๆ เข้าใจแล้วว่าทำไมหวังฉี่เหนียนจึงเดือดเนื้อร้อนใจแทนเจ้าตัวนัก

จบงานวันแรก กลับถึงห้องหนิงเชวียแทบนอนสลบในทันที แต่วันต่อ ๆ มา เมื่อรู้ว่าต้องพบกับอะไรจึงเริ่มเคยชินและคล่องมือขึ้น

เหมือนฝึกทำสงครามประสาททุกวัน เริ่มรู้แกวรู้กลเม็ด เหมือนเล่นเกมแมวจับหนู สักพักเขากลับรู้สึกสนุกขึ้นมา

พอมักคุ้น ถึงได้เริ่มสอดส่องสายตาสังเกตรายละเอียดอื่นบ้าง

เช่นว่าฟ่านเสียนสวมบทบาทที่ได้รับดีเพียงใด แสดงสีหน้าแววตาได้น่าเชื่อถือเพียงใด ถึงขั้นว่าถ้าเอามาใช้ประโยชน์ในชีวิตจริงด้วยคงอันตรายน่าดู

สีหน้าเย็นชาแต่แววตาลึกซึ้ง ผมดำยาวล้อมกรอบใบหน้าคมหวาน ชุดโบราณสีขาวทำให้เขาดูคล้ายเทพเซียน เหมือนตัวละครที่หลุดออกมาจากบทประพันธ์ 

งานวันนี้เป็นการถ่ายภาพนิ่งให้กับละครที่ใกล้จะถ่ายทำ เป็นแนวย้อนยุค ได้ยินผ่าน ๆ จากคนในกองว่าเป็นเรื่องราวความรักความแค้นของเทพมาร บทที่ฟ่านเสียนได้รับเป็นตัวละครเอกฝ่ายเซียน ขณะที่นักแสดงหญิงอีกคนหนึ่งเป็นตัวละครเอกฝ่ายมาร 

หนิงเชวียมองคุณชายคนดังก้มแสดงความขอบคุณให้ทีมงานก่อนขอตัวไปเปลี่ยนชุด ระหว่างทางยังคุยเล่นและหัวเราะร่วมไปกับนักแสดง ดูผ่อนคลายกว่าหลาย ๆ วันที่ทำแค่งานถ่ายแบบโฆษณา กล่าวไปแล้ว หนิงเชวียก็รู้สึกได้ว่าวันนี้ถูกคนจับตาน้อยลงมาก ในกองถ่ายเองก็ไม่พบคนที่ดูมีปัญหา ทำไมจึงเป็นเช่นนั้นกัน

“เพราะไม่ได้มีแค่ฉันคนเดียว” ภายในรถที่เปิดแอร์เย็นฉ่ำ แทนที่จะนั่งด้านหลังอย่างคนเป็นเจ้านาย ฟ่านเสียนกลับเลือกนั่งข้างที่นั่งคนขับซึ่งก็คือข้าง ๆ เขา ปากกล่าวตอบทั้งที่ตายังจ้องหน้าจอโทรศัพท์ “มีคนสำคัญคนอื่นด้วย พวกนั้นเลยไม่กล้าบุ่มบ่าม”

ถอดรูปเซียนหนุ่มมาเป็นคนธรรมดาแล้วก็ยังดูดีจนน่ารำคาญ 

หนิงเชวียขับรถมองทางข้างหน้าไปพลาง กวาดตาสังเกตโดยรอบไปด้วย “คุณหมายถึงผู้หญิงที่ชื่อไห่ถังหรือเปล่า” 

เหมือนมีรถตามมาตั้งแต่แยกที่แล้ว

“ถูกต้อง” ฟ่านเสียนตอบสั้น ๆ ไม่อธิบายอะไรเพิ่มเติม

หนิงเชวียร้องอืมในลำคอ ไม่บอกก็ไม่บอก เขาไม่ได้อยากรู้ขนาดนั้น ชายหนุ่มเบือนหน้าดูกระจกข้าง เห็นรถติดฟิล์มดำสามสี่คันข้างหลังแล้วรู้สึกขัดหูขัดตา จึงตัดสินใจหักพวงมาลัยเลี้ยวในวินาทีสุดท้ายก่อนสิ้นสุดไฟเขียว

ฟ่านเสียนร้องเหวอ มือเกาะขอบหน้าต่างแน่น “ทำอะไรของนาย!”

“สลัดพวกลิ้นไร” หนิงเชวียตอบเสียงเรียบ ตาจ้องกระจกมองหลัง พวกนั้นน่าจะตามไม่ทันแล้ว

“น่าจะเตือนกันบ้าง” ฟ่านเสียนบ่นอุบอิบก่อนกลับมานั่งตัวตรงไว้มาดตามเดิม “แค่ขับตาม ปล่อยไปบ้างก็ได้ ถ้าจะทำอะไรพวกมันไม่ทำบนถนนสายหลักหรอก อ้อ เดี๋ยวแวะซูเปอร์มาร์เก็ตด้วยนะ”

หนิงเชวียมองจากหางตา 

“สั่งออนไลน์เอาสิ” เขาขี้เกียจตามไปเป็นองครักษ์แล้ว และมันก็นอกเวลาทำงานแล้วด้วยนะ

“เวลาซื้อของสด ฉันอยากเลือกเอง”

“ทำอาหารด้วยเหรอ”

“สั่งจากข้างนอกตลอดมันเสี่ยง ทำกินเองสบายใจกว่า” 

หนิงเชวียนิ่วหน้า ฟ่านเสียนเอ่ยเรื่องคอขาดบาดตายอย่างเห็นเป็นธรรมดา “คุณมีชีวิตมาได้ยังไงนานขนาดนี้”

อีกฝ่ายยักไหล่ “แต่ก่อนชีวิตฉันเรียบง่ายมากนะ เพิ่งจะวุ่นวายไม่นานมานี้เอง”

“ไปเหยียบหางใครเข้าล่ะถึงโดนไล่ฆ่า” หนิงเชวียยิ้มมุมปาก “ดูแล้ว คุณไม่เหมือนพวกชอบสร้างปัญหานะ” เว้นแต่ว่าหน้าตาจะสวนทางจิตใจ

“ไม่ได้เหยียบอะไรใครทั้งนั้นแหละ” ฟ่านเสียนปัดมือไปมาเหมือนไล่แมลง ก่อนชี้ตึกข้างหน้า “จอดตรงนั้น”

“ไม่ตามลงไปได้ไหมเนี่ย” หนิงเชวียพูด

“แล้วแต่สิ” คนข้าง ๆ ปลดเข็มขัดนิรภัย ดูกระตือรือร้นที่จะออกไปซื้อของเต็มแก่

เขาลองกวน “กลับก่อนด้วยได้ไหม” 

“ไม่ได้ นี่รถฉันนะ คุณต้องไปส่งฉันก่อน”

หนิงเชวียยิ้มกับตัวเอง ก่อนนึกเรื่องหนึ่งได้ 

“อยากจะถามตั้งนานแล้ว ทำไมคนพวกนั้นไม่เข้าหาคุณตอนอยู่ที่พักล่ะ”

อยู่ข้างนอกต้องสรรหาวิธีที่แยบคาย ไม่กระโตกกระตากเพราะเป็นที่สาธารณะที่มีสายตาหลายคู่จับจ้อง ถ้าเป็นในสถานที่ส่วนตัวอย่างที่พักน่าจะง่ายกว่ามาก คนพวกนั้นเองก็น่าจะรู้อยู่แล้วว่าฟ่านเสียนอาศัยอยู่ที่ไหน คอนโดที่พวกดารานักแสดงอยู่ได้มีไม่กี่ที่หรอก

รถจอดนิ่งเลียบทางเท้า คนอีกคนก็นิ่งไปด้วย ฟ่านเสียนโคลงหัว ทำหน้ากึ่งยิ้มกึ่งบึ้ง “เพราะเจ้าของตึกดุ” ว่าเสร็จก็เปิดประตูรถลงไป

เจ้าของตึกคุณเป็นหมาหรือไง หนิงเชวียคิดในใจก่อนตามออกไปบ้าง แม้ติดอิดออดด้วยความขี้เกียจ แต่ขายาวกว่า ไม่ต้องรีบเดินก็ก้าวทัน

ฟ่านเสียนหันมามองอย่างแปลกใจ “ไหนว่าจะไม่ตามมา”

“ไม่เคยพูดแบบนั้นซะหน่อย”

คุณชายหัวเราะ “งั้นดีเลย ไปเอารถเข็นมา”

“รีบสั่งเชียวนะ”

“เดี๋ยวทำให้กินด้วยก็ได้ ถือว่าเป็นโอที”

“โอทีราคาถูกมาก”

“พูดอย่างนี้ คิดว่าฉันใช้วัตถุดิบทั่วไปมาทำอาหารเหรอ” ฟ่านเสียนมอบรอยยิ้มแบบเดียวกับตอนสัมภาษณ์ครั้งนั้นมาให้อีกครั้ง รอยยิ้มแบบที่หยุดเขาได้ชะงัก 

หนิงเชวียมอง ละสายตาไม่ได้จนลืมที่จะตอบโต้เสียสนิท

“อีกอย่างฝีมือทำอาหารของฉันโหดมากนะ ได้ลองทานครั้งหนึ่งแล้วอย่างหวังเลยว่าจะรู้สึกอร่อยกับอาหารที่อื่นอีก”

“ขี้โม้ชะมัด” หนิงเชวียอยากตอกกลับด้วยอะไรที่คมคายกว่านี้จริง ๆ

แต่ยิ่งฟ่านเสียนยิ้มจนตาเล็กเป็นจันทร์เสี้ยวแล้ว เขาคิดอะไรไม่ออกเลย “อย่าหาว่าไม่เตือนแล้วกัน”




tbc.





ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น