วันเสาร์ที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2566

[หาญท้าฯ] ดอกไม้ริมกำแพง (เฉินผิงผิง/ฟ่านเสียน)

 

ดอกไม้ริมกำแพง

หาญท้าชะตาฟ้า ปริศนายุทธจักร

— เฉินผิงผิง / ฟ่านเสียน —

คำเตือน : สปอยล์เนื้อเรื่องภาคหนึ่ง




ฟ่านเสียนรู้ว่าที่ทำไปทั้งหมดนี้เป็นเพียงการถ่วงเวลา ถึงที่สุดแล้วย่อมไม่อาจหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากับคนผู้นั้นได้

นับแต่กลับจากเป่ยฉีด้วยวิธีหามเข้ามาในสภาพร่างโชกเลือด เขาได้รับอนุญาตให้พักผ่อนในจวนสกุลฟ่านอย่างไม่มีกำหนด ฮ่องเต้ถึงขั้นรับสั่งให้ปั๋วซือหนานปิดประตูจวน ห้ามผู้ใดรบกวน

แต่แท้จริงไม่ต้องมีคำสั่งใด บิดาของเขาก็พร้อมจะปิดตายเรือนพำนักนี้อยู่แล้ว แต่ละวันที่ผ่านมา ฟ่านเจี้ยนยิ่งดูคล้ายเสือใหญ่เอาแต่ขู่คำรามในลำคอ ใครมาเคาะประตูจวนก็ไล่ตะเพิดไปเสียหมด กระทั่งขันทีส่วนพระองค์เองก็ไม่มีการไว้หน้า ทั้งยังสำทับว่าทรงกล่าวห้ามมิให้ผู้ใดรบกวนฟ่านเสียนเองมิใช่หรือ ทว่าจริงเท็จประการใดไม่อาจบอก เรื่องราวนี้ฟ่านเสียนก็ฟังจากปากของท่านอาอู่จู๋มาอีกต่อ มิเช่นนั้นมีหรือที่เขาจะพลาดฉากสนุกเหล่านั้นได้

อีกประการหนึ่งนั้น ความรู้สึกเป็นที่รัก เป็นที่ห่วงใยนี้ดียิ่ง ทีแรกที่ลืมตาขึ้นมาพบว่าตนนอนในห้องคุ้นตา เขาพลันนึกว่าเรื่องราวซึ่งเคยเผชิญเป็นเพียงฝันร้ายตื่นหนึ่ง แต่เมื่อความเจ็บปวดบริเวณที่ถูกกระบี่แทงแล่นปราด ความจริงอันสาหัสยิ่งกว่าก็โถมทับเหมือนน้ำวนดูดเขาลงสู่ก้นทะเล อึดอัด หายใจไม่ออกอยู่นานคล้ายว่าร่างกายจวนเจียนตาย มาตั้งสติได้ก็ตอนที่มือถูกคว้าไปกอบกุม

เป็นท่านอาอีกครั้งที่ปรากฏตัวหลังการนิทรายาวนาน “เจ้าเป็นอะไรไป”

น้ำเสียงเย็นเยือก ฟังไปอาจเหมือนชืดชาไม่รู้สึกรู้สา ทว่าฟ่านเสียนรู้ดีกว่านั้น

“ข้าไม่เป็นไร” ฟ่านเสียนสูดลมหายใจ ได้กลิ่นละมุนของเครื่องหอม กลิ่นดอกไม้ป่าที่เขาปรุงขึ้นเองกำจายอยู่ทั่ว

ภาพดอกไม้ริมกำแพงหวนคืนดังจะเย้ยหยัน

คำว่าไม่เป็นไร ใช้ได้แต่กับร่างกายเท่านั้น

อาการบาดเจ็บของเขาร้ายแรงไม่น้อย เสียเลือดมาก ถึงกับหลับไปนานถึงสี่วัน ระหว่างนั้นมีหมอหลวงจากราชสำนักวิ่งวุ่นเข้าออก ข้ารับใช้ยิ่งมิต้องกล่าวถึง บรรดาเจ้านายไม่อาจนิ่งนอนใจได้เช่นนี้ ผู้ใดจะกล้าลาสา เห็นใบหน้าทรุดโทรมอ่อนเพลียของบิดา แม่เล็ก รั่วรั่ว ไปจนถึงซือเจ๋อแล้ว ฟ่านเสียนยิ่งนึกรักคนเหล่านี้ขึ้นไปอีก

ที่เคยหวาดระแวงว่าทุกอย่างที่แล้วมาเป็นเพียงการแสดง ปลิวหายไปในชั่วพริบตา

เขายังมีบ้านให้กลับมาอาศัย ยังมีที่พักพิงบนโลกนี้

แต่สิ่งที่แท้จริงกลับเป็นภาพลวงตา ความเจ็บปวดที่ใครคนหนึ่งนำมาแล้วจะอย่างไรก็สลัดไม่หลุด

ไม่อยากกลับไปสบสายตาใครคนนั้นเลย ขอเพียงไม่พบหน้า ยังพอหลอกตัวเองได้ว่าเรื่องที่แล้วมาเป็นแค่ความฝัน ขอเพียงความเจ็บป่วยยังเรื้อรังอยู่เช่นนี้ เพียงในจวนแห่งนี้ก็เป็นวิมานแสนสุขต่อไปได้อีกหนึ่งวัน กลบฝังความทรงจำลงไปพร้อมเทหยาดน้ำต่างสุราลงดิน

ฟ่านเสียนโยนถ้วยยาที่บัดนี้ว่างเปล่าทิ้งแทบเท้า นั่งลงพิงเสาที่ชานเรือน ก่อนหันไปทางชายสวมผ้าคาดตาที่นั่งนิ่งไม่ขยับอยู่เคียงข้าง

“ท่านไม่ถามหน่อยหรือว่าทำไมข้าจึงทำเช่นนี้”

ท่านอาของเขาเอียงศีรษะ ไม่ได้ตอบในทันทีเหมือนทุกคราว

“ข้า...สงสัย”

“ทว่าก็ยังไม่เอ่ยปากถาม”

“เรื่องของเจ้า การตัดสินใจของเจ้า ข้าสนับสนุนเสมอ”

“แม้ว่าสิ่งที่ข้าทำจะเป็นการทำร้ายตัวเองหรือ”

อู่จู๋เงียบนานหลายอึดใจ ก่อนกล่าว

“ครั้งนี้ไม่เหมือนกับครั้งนั้น”

ฟ่านเสียนไม่เข้าใจ แต่เพียงไม่นานก็ตระหนักว่าอู่จู๋กล่าวถึงเมื่อครั้งที่เขาจะไปลอบสังหารหลินก่ง

“ต่างยังไงหรือ” ฟ่านเสียนถามยิ้ม ๆ

ทว่ารอยยิ้มนี้ คงอยู่ได้ไม่นานก็ร่วงโรย

“ครั้งก่อนเจ้าวิ่งเข้าหาความตาย ครั้งนี้เจ้ากำลังวิ่งหนีความจริง” อู่จู๋กล่าว

ฟังเสร็จแล้ว ไม่มีถ้อยคำใดจะโต้ตอบ ฟ่านเสียนแหงนหน้า มองท้องฟ้าย้อมดำ ทำสิ่งเดียวที่กระทำได้ — หัวเราะ

“บางคราวท่านก็กล่าวคำพูดได้ทิ่มแทงใจคนนัก”

ยกมือขึ้นบัง ไม่รู้เพื่อบังหิมะที่เริ่มโปรยปรายหรือบังเปลือกตาไม่ให้ต้องความเย็น

เมื่อตอนที่ฟ่านเสียนกลับมาหนานชิ่งก็ใกล้ถึงช่วงเปลี่ยนฤดูแล้ว

อากาศหนาวเหน็บลงทีละน้อย แต่ยังต้องใช้เวลาอีกพักหนึ่งจึงเริ่มมีหิมะ ในช่วงเวลาเหล่านั้น ฟ่านเสียนยังคงเป็นผู้ป่วยนอนติดเตียง ไม่มีกำลังลุกไปที่ใดจนคนเริ่มโพนทะนาว่าอาการเขาย่ำแย่ขนาดนี้ เกรงว่าคงยากจะผ่านพ้นฤดูเหมันต์

หิมะตกลงมาแล้ว ฟ่านเสียนยังไม่ลุกไปไหน เป็นอู่จู๋ที่หายตัวไปเมื่อใดไม่ทราบ แต่ท่านอาก็มักมาและจากไปอย่างไร้ร่องรอยเช่นนี้เขาจึงไม่ใส่ใจ ชายหนุ่มกระชับเสื้อคลุม เหม่อมองปุยหิมะตกลงบนสวนกระบอกไม้ไผ่กลางเรือน พวกมันไม่ขยับ ค่ำคืนนี้เงียบสงัดนัก มีแต่หิมะที่เคลื่อนไหว

และเสียงเลื่อนล้อที่ดังอยู่ไม่ไกล

ฟ่านเสียนคิดว่าตนคงหูแว่วจึงไม่ใส่ใจ แต่เสียงนั้นกลับใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ ถึงกับดังชัดอยู่เบื้องหลัง ไม่แพ้เสียงระรัวในอกของเขา

เสียงเนื้อผ้าเสียดสี สองแขนเสื้อหอบลมแผ่วเบา อากัปกิริยาที่หลับตายังเห็นชัดเจน

“ใครคนหนึ่งสัญญาว่าจะนำยามารักษาดอกไม้ของข้า” เฉินผิงผิงเป็นฝ่ายเอ่ยขึ้น

เสียงหัวเราะของฟ่านเสียนบาดหูแม้กับตนเอง “ท่านผู้นำเฉินที่ใครได้ยินนามต่างพากันหวาดผวาก็ยังคงห่วงแต่ดอกไม้ริมกำแพงอยู่นั่นเอง”

“ดอกไม้ที่มารดาเจ้าปลูก จะไม่ดูแลได้หรือ”

“ไม่ดูแลได้หรือ” ฟ่านเสียนผุดลุกขึ้น หันขวับไปยังชายที่นั่งบนรถเข็น กัดฟันข่มอารมณ์อย่างยากเย็น “นางยังกล่าวอีกว่าชีวิตจะหาหนทางที่ทำให้เจริญงอกงามได้เอง”

เฉินผิงผิงเงยหน้า สบตาแน่วนิ่ง ฟ่านเสียนอยู่ในมุมที่เหนือกว่าก็ยังไม่สามารถกดดันเขาลงได้เลยแม้แต่น้อย

“เป็นเพียงดอกไม้ จะไม่ให้รดน้ำ ไม่ให้ต้องแสงเลยได้อย่างไร ชีวิตของมันไม่มีทางยืนยาว”

“นั่นคงเพราะท่านบีบคั้นมันเกินไปกระมัง ทุกเรื่องราวที่ผ่านมา ยอมให้มันขยับเขยื้อนไปทางใดไม่ได้เลย”

สายตาเฉิงผิงผิงเย็นเยียบ น้ำเสียงของเขายิ่งมายิ่งกระด้างเย็นชา เอ่ยราวกับถ้อยคำเสียดสีก่อนหน้าเป็นแค่ลมผ่านหู

“ชะตาชีวิตพวกมันอยู่ในกำมือเจ้า เมื่อเจ้าไม่มา มันไม่มีทางผ่านฤดูหนาวไปได้”

ฟ่านเสียนเหยียดริมฝีปาก “อยู่ไปก็เห็นแต่กำแพงสี่ด้าน รับแสงได้ต่อเมื่อคนมาเปิดหน้าต่าง รับน้ำได้ต่อเมื่อมีคนรดน้ำ ชีวิตที่น่าเวทนาเช่นนั้น ให้มันตายเสียเถอะ”

“มิใช่ว่าทุกชีวิตจะสูงจะต่ำเยี่ยงไรก็มีคุณค่าเท่ากันหรือ”

“คำว่าคุณค่าของท่านมีค่าเพียงใดเล่า เท่ากับหมากบนกระดานที่หยิบทิ้งขว้างเมื่อใดก็ได้หรือไม่”

ทั่วร่างฟ่านเสียนรู้สึกมึนชา คล้ายความรู้สึกของการถูกกรีดเฉือนเนื้อหนัง เป็นความมึนชาไม่รู้สึกก่อนที่ความเจ็บปวดจะเสียดแทงลงมา

แต่เหตุระเบิดก็ผ่านมาเนิ่นนานแล้ว บาดแผลที่เพิ่งได้รับก็สมานดีแล้ว เหตุใดความเจ็บยังกระหน่ำทุบตีไม่เลิกรา

“ในสายตาท่าน ข้าคงเป็นตัวที่น่าขันทีเดียว”

“ข้าคิดอะไร ไม่ใช่เรื่องที่เจ้าต้องใส่ใจ”

“อ้อ ที่แท้ความคิดอ่านของท่านสำคัญและยิ่งใหญ่เท่าฮ่องเต้แห่งหนานชิ่งแล้วหรอกหรือ”

“ฟ่านเสียน”

“ท่านมาที่นี่แค่ด้วยเรื่องดอกไม้หรือ”

ฟ่านเสียนหลบเลี่ยงใบหน้าไปทางหนึ่ง แล้วดีดนิ้วมือดังเปาะ

“ไม่สิ คนอย่างท่านผู้นำเฉิน ไม่มีทางกระทำเรื่องใดเพียงเพื่อผลลัพธ์เดียว คงอยากจะฟังข้อมูลที่เซียวเอินยอมปริปากบอกข้ากระมัง แต่คนผู้นั้นก็เล่ามาหลายเรื่องเสียด้วย เป็นเรื่องใดก่อนดี เรื่องที่เขาเข้าใจว่าข้าเป็นหลานชายที่พลัดพราก? เรื่องที่ท่านเป็นมารร้ายจอมบงการที่วางแผนล่วงหน้านับสิบปีเพื่อเวลานี้ ทั้งจงใจส่งเหยียนปิงอวิ๋นไปเป่ยฉี ให้เถิงจื่อจิงทำงานในหน่วยสี่ เรื่องที่คำสั่งปลอมนั่นท่านรู้เห็นแต่ยังปล่อยมันไว้…”

“หรือเรื่องที่ว่าทั้งหมดนี้ จะกลยุทธ์ก็ดี จะความช่วยเหลือหรือความผูกพันก็ดี ล้วนแต่เป็นเกมปั่นจิตใจคน เป็นแค่หมากตาหนึ่งบนกระดานของท่านกัน? ”

สรรพสิ่งเสมือนหยุดนิ่ง นอกจากเสียงหอบหายใจก็มีแต่หิมะที่โปรยปรายเป็นสีขาวละลานตา

เฉินผิงผิงนั่งนิ่งราวรูปปั้น ฟ่านเสียนมองเขาด้วยดวงตาพร่ามัว ร้อนผ่าวทั้งในอกและเบ้าตา โกรธแค้นเหลือเกิน หวาดกลัวกว่าสิ่งใด แต่เหนือกว่าอะไรทั้งหมดคือหลุมในใจที่รังแต่จะฝังลึก ขยายกว้าง หาจุดสิ้นสุดไม่พบ

ฟ่านเสียนอุทานพลางเคาะหัวตัวเอง คลี่ยิ้มกว้างให้คล้ายกับเวลาเล่นสนุกก่อกวนโทสะผู้คน “ข้าช่างไม่ได้ความ ที่ท่านมาย่อมต้องเป็นเพราะเรื่องวิหารเทพ จะมีเรื่องใดสำคัญไปกว่านี้อีก”

รอยยิ้มที่แบ่งบานแห้งเฉาลงในพริบตา ความหวานที่ฉาบไว้กลายเป็นพิษร้าย ยามนี้ฟ่านเสียนตรึงสายตากับคนผู้นั้น ให้เขารู้ว่าตนไม่หวาดหวั่นและไม่ยินยอม “วิหารเทพอยู่ที่ใด นี่คงเป็นคำถามที่อยู่ในใจท่านมานานแล้ว แต่เสียใจด้วยท่านเฉิน ตลอดชีวิตนี้ ท่านอย่าหวังจะได้รู้อีกเลย ท่านไม่คู่ควร”

“ส่วนเรื่องดอกไม้...” ฟ่านเสียนล้วงมือเข้าไปในอกเสื้อ หยิบถุงผ้าเล็ก ๆ ออกมา

ชายสวมหน้ากากดำพลันปรากฏตัวขึ้นเบื้องหลังเฉินผิงผิง ตั้งท่าคล้ายรอรับการโจมตี

ฟ่านเสียนส่งยิ้มทักทาย แล้วโยนห่อผ้านั้นไปทางชายบนรถเข็น จงใจออกแรงส่งเต็มกำลังไม่ทำให้ใต้เท้าเงาต้องผิดหวัง

“...สิ่งนี้คงพอช่วยได้”

ห่อผ้าพุ่งเข้าหาเป้าหมายเป็นเส้นตรงไม่ต่างจากการปาอาวุธลับ

ทว่าเฉินผิงผิงยกแขนขึ้นดูเชื่องช้า กลับคว้าห่อผ้าไว้โดยง่ายดาย ท่าทางไม่ต่างจากยามเชยชมดอกไม้

ฟ่านเสียนตะลึงมอง แทบหยุดหายใจเมื่อดวงตาเรียวรีเหมือนอสรพิษคู่นั้นย้อนมาจดจ้องเขา ไอสังหารไหลเอ่อกดดันลงมาไม่ต่างจากน้ำหนักนับพันชั่ง ฟ่านเสียนหน้าซีดเผือด ความกลัวขีดสุดเฉียบพลันแล่นผ่านไขสันหลัง ร่างวูบไหวเกือบจะก้าวถอยหลัง แต่สองมือกำแน่น สองขายืนหยัดกับที่ ไม่ยอมวางสายตา ไม่ยินยอมที่จะหลบเลี่ยง

เขาหนีปัญหามานานเกินไป และต่อให้หนีอย่างไรความจริงก็ไม่มีวันเปลี่ยน

ปีศาจแห่งหนานชิ่ง ราชันย์ในเงามืด ต้นตอของความชั่วร้ายทั้งปวง ที่แท้แล้วเขาก็มีธาตุแท้เช่นนี้เอง

เฉินผิงผิงสยายรอยยิ้มราวคนเกียจคร้าน

“คิดว่าเจ้าจะหนีไปตลอดเสียแล้ว”

หลุบตาลงดูห่อผ้าไหมสีฟ้า มือกำเข้าราวกรงเล็บขยุ้มเหยื่อแล้วจึงตวัดสายตาขึ้นมอง

ฟ่านเสียนมองด้วยความสับสน ก่อนสะดุ้งตัวโยนเมื่ออู่จู๋โผล่มายืนไม่ให้สุ้มเสียงข้าง ๆ 

ชายสวมผ้าคาดตากำกระบี่แน่น ใบหน้าประจันกับสองนายบ่าว ไม่พูดไม่จา

ฟ่านเสียนเหลือบมองท่านอาคราหนึ่งก่อนหวนกลับไปยังเฉินผิงผิง อีกฝ่ายนั้นเล่า คล้ายไม่ได้ละสายตาจากใบหน้าเขาเลย ไม่ไยดีอะไรอื่นเลย

เรื่องของเจ้า ข้าใส่ใจเสมอ

ถ้อยคำเหล่านั้น สายตาเช่นนั้น ยังตามหลอกหลอนไม่รู้เหน็ดเหนื่อย

“ในเมื่อเจ้าไม่อยากบอก ข้าก็จะไม่บังคับฝืนใจ” เฉินผิงผิงเอ่ย เขาเอนตัว เงยหน้ามองหิมะที่ตกหนักขึ้น “อากาศเย็นลงแล้ว ระวังจะป่วยไข้ รีบเข้าห้องเถอะ”

ฟ่านเสียนหันหลังใส่อีกฝ่าย ปากเม้มแน่น กลัวจะสะกดกลั้นไว้ไม่อยู่ เขากล่าว “ไม่ส่ง”

ยามมาไม่เห็นเช่นไร ยามจากก็ไม่มองเช่นนั้น ฟ่านเสียนแหงนหน้ากะพริบตา มองหิมะ มองท้องฟ้า มองอะไรก็ตามที่ช่วยเยือกแข็งสิ่งที่กำลังจะทะลักทลาย

ศึกครั้งนี้ยังไม่จบ

“เจ้าจะทำอย่างไรต่อไป” อู่จู๋เอ่ยถาม

คำถามนี้สะท้อนใจนัก ศัตรูที่ตามสืบเสาะมานานกลับอยู่ในคราบของมิตรที่ไว้วางใจ

คนที่คิดว่ามองอย่างทะลุปรุโปร่งแล้ว ระแวงระวังที่สุดแล้ว สุดท้ายก็พลาดท่า วางใจให้เขากำเล่นในมือ เป็นดอกไม้ริมกำแพงที่ชะตาชีวิตผูกกับเขาเพียงคนเดียว

“ทำเช่นเคย” ฟ่านเสียนมือไพล่หลัง ยกยิ้มที่ไปไม่ถึงดวงตา “ทวงความยุติธรรมให้เถิงจื่อจิง”




ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น