วันจันทร์ที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2565

[MHA] How a faerie loves (Dabi/Hawks)


How a faerie loves

Boku no Hero Academia

— Dabi / Hawks —

Warning : Unhealthy Relationship, Graphic Depictions Of Violence

Summary : รักของภูตไม่อาจโป้ปด แต่จะเรียกร้องเอาทั้งกาย หัวใจ และจิตวิญญาณ ต้องได้มาทุกอย่างหรือไม่ได้สิ่งใดเลย

Note : Alternate universe – Shadowhunter Chronicles 





รักของภูตไม่อาจโป้ปด แต่จะเรียกร้องเอาทั้งกาย หัวใจ และจิตวิญญาณ ต้องได้มาทุกอย่างหรือไม่ได้สิ่งใดเลย เป็นรักที่ล้างผลาญ มารดาของเขาบอกเช่นนั้น ดาบิไม่เคยรู้ว่ามันเป็นเพียงนิทานเรื่องหนึ่งหรือคำเตือน เขาไม่เคยขวนขวายใคร่รู้เพราะเขาไม่เคยมองหา ความรักเหมือนละอองเถ้าลอยในอากาศ ห่างไกลเลอะเลือนเหมือนฝัน ขณะที่ความชังชัดเจนอยู่ต่อหน้า สำแดงรูปร่างบนผิวเนื้อของเขา เขามองมันทุกวัน ครุ่นคิดถึงทุกวินาที

กว่าดาบิจะสังเกตเห็นชายที่สว่างไสวกว่าไฟหลากสีของเมืองกลางคืนจึงเกือบสายเกินไป ฝีเท้าของอีกฝ่ายเงียบเชียบ ปราดเปรียวและประชิดตัวอย่างว่องไว ทว่าไม่มีดาบ ไม่มีการตะคอกออกคำสั่ง เนฟิลิมผมทองจดจ้องเขา ก่อนกวาดมองเปลวไฟสีประหลาดรอบร้านเก่าโทรมใต้ดิน

“ช่วยดับไฟได้หรือเปล่า” คำถามกล่าวอย่างสุภาพผิดคาด น้ำเสียงนุ่มนวลเหมือนพูดกับมิตรสหาย ทั้งที่รายล้อมโดยความวินาศ กับมนุษย์หมาป่าสามสี่ตัวที่ถูกเผาจนขนร่วงโกร๋น เนื้อไหม้สะบักสะบอม

นักล่าเงาคนนี้ หากไม่สวมหน้ากากได้อย่างแนบเนียนร้ายกาจก็คงเป็นพวกยึดมั่นถือมั่นอย่างโง่เขลา

“กำจัดภัยคุกคามน่าจะสำคัญกว่าไม่ใช่หรือ” ดาบิเลิกคิ้ว มือล้วงกระเป๋ากางเกง หันมาเผชิญหน้าอย่างไม่กังวลใจ เขารู้ว่าไม่มีนักล่าเงาคนใดฆ่าเขาได้ และนักล่าเงาคนนี้สวมชุดอย่างสามัญชน ขาดการเตรียมการที่เหมาะสม ไม่มีใครสามารถเอาชนะในศึกที่ตนเองประมาทเลินเล่อ

“อะไรบางอย่างบอกว่าไฟพวกนี้ใช้วิธีธรรมดาดับไม่ได้” เนฟิลิมพูด “วิธีที่ง่ายที่สุดคือให้ตัวการเป็นผู้ดับ”

ดวงตาสีอำพันสะท้อนแสงไฟเหมือนอำพันเหลวในขวดแก้ว ผมสีทองยุ่งเหยิงเหมือนเพิ่งผ่านลมหอบใหญ่ เสื้อยืดสีอ่อนขับรอยสักรูนที่โผล่พ้นแขนเสื้อ ลายส่วนใหญ่สูญพลังกลายเป็นสีเงินอ่อนจาง ดาบิแปลกใจเมื่อเห็นว่าลายที่ยังมีสีดำทั้งหมดล้วนเป็นรูนเสริมความเร็ว

ทว่าตะขิดตะขวงใจยิ่งกว่าที่นักล่าเงาไม่แสดงสีหน้าชิงชังเหยียดหยามอย่างที่ชินชา ไม่แม้แต่ชายตาแลบาดแผลอันอัปลักษณ์บนใบหน้าและร่างของเขา ชายผมทองคนนั้นแค่เดินสำรวจตรวจตรา บอกชาวบาดาลที่ยังหลบซ่อนตามซอกหลืบร้านให้ออกไปหาความปลอดภัยข้างนอกและกำชับว่าอย่าลืมอุ้มพวกมนุษย์หมาป่าที่หมดสติไปด้วย สีหน้าท่าทางของเขาเหมือนบอกเด็กกลุ่มหนึ่งให้ไปเดินที่สวนอีกฟากที่มีสระน้ำสวยสดกับแผงขนมหวานอย่างไรอย่างนั้น

“หากปล่อยไว้จะเป็นปัญหาเอาได้” นักล่าเงาหันกลับมาทางเขา สีหน้าจริงจังขึ้น แต่ดวงตาละเมียดละไมไร้ความเร่งร้อน “วันนี้เป็นวันเทศกาล อีกไม่กี่ชั่วโมงจะเช้าแล้วจะมีพวกสามัญชนมายั้วเยี้ยไปหมด นายคงไม่อยากตกเป็นเป้าของพวกคลั่งรักที่เห็นอันตรายเป็นเรื่องเซ็กซี่น่าดึงดูดใจ”

ดาบิเอียงคอ เหยียดยิ้ม “นายก็คิดอย่างนั้นหรือ”

“การปฏิเสธความรู้สึกมีแต่จะย้อนกลับมาทิ่มแทงตัว รีบยอมรับแล้วก้าวต่อไปดีกว่า อีกอย่างฉันยังไม่เคยคบกับภูตเลย สถานการณ์ตอนนี้ยิ่งน่าตื่นเต้นเข้าไปใหญ่” หนุ่มผมทองยักไหล่ กล่าวทั้งหมดนั้นแต่กลับดูไม่ค่อยใส่ใจ ทำให้ดาบิทั้งขบขันทั้งตื่นตา นี่เป็นสิ่งใหม่ ภาคีจะคิดอย่างไรที่คนของพวกเขากระทำเรื่องมัวหมอง

“ถึงอย่างนั้นก็ใช่ว่าฉันต้องทำตามที่นายบอก” ดาบิพูด

“เราอยู่ในช่วงสานสันติภาพกับชาวบาดาลนะเผื่อนายตกข่าว”

“กฎของเนฟิลิมไม่ใช่กฎของภูต ฉันไม่เคยตอบตกลงพันธกติกาใด”

“แล้วถ้ามีค่าจ้างล่ะ” นักล่าเงากล่าวทันควัน “พวกนายชอบศิลปะกับดนตรีใช่ไหม บางทีฉันอาจแนะนำสถานที่ได้สักสองสามแห่ง ภายใต้เงื่อนไขว่าจะไม่ก่อเรื่องวุ่นวาย”

เขากำลังพยายาม แม้แสดงออกว่าผ่อนคลายสบายใจแค่ไหนก็ตาม “โน้มน้าวฉัน แต่ยังใส่เงื่อนไขมาอีกหรือ ไม่จริงใจเอาเสียเลยนักล่าเงา”

“ฉันชื่อฮอว์ค” อีกฝ่ายพูด เขาเดินข้ามกองไฟเหมือนกวางเดินข้ามน้ำ สง่างาม ไม่มีสะดุ้งสะเทือน ดาบิสังเกตช้าไปอีกครั้งว่าคน ๆ นี้ช่างสมเป็นบุตรเทวดา ผมทอง รูปหน้าบรรจงสร้าง สว่างเรืองรองอย่างอบอุ่น น่าไว้วางด้วยใจและชีวิต

แต่มีอะไรมากกว่านั้น บางสิ่งที่ทำให้ต้องหยุดคิด ฮอว์คแตกต่างจากนักล่าเงาที่ชาวบาดาลรู้จัก ไม่คับแคบถือตัว ไม่เชิดหน้าชูคออย่างหยิ่งยโส ทว่ายังมีส่วนชาวบาดาลมักคุ้นอยู่ตรงนั้น เป็นถ้อยคำที่ปลายลิ้น บางสิ่งที่ห่างเพียงลัดนิ้ว ดาบิพินิจเงียบงัน

ก่อนแสยะยิ้ม “ฮอว์ค” เขาเรียกอย่างอ่อนโยน “นายอยากจะทำสัญญากับภูตจริง ๆ เหรอ”

“แล้วนายล่ะ โอกาสครั้งเดียวที่จะได้ผูกมัดเนฟิลิมที่ทรงเสน่ห์ที่สุดของสถาบันโตเกียวเชียวนะ แต่รีบตัดสินใจหน่อยก็ดีก่อนที่ไฟจะลามไปข้างนอกหรือไม่ก็ฉันสำลักควันตายเสียก่อน”

ฮอว์คพูดติดตลก เนฟิลิมไม่ได้อ่อนแอเพียงนั้น ซึ่งมักทำให้การเข่นฆ่าพวกเขาสนุกสนาน

“ไม่ว่าทางใดก็เพลิดเพลินสำหรับฉัน” ดาบิครวญ

“ความตายเกิดขึ้นแล้วจบลง แต่สัญญาผูกพันได้ชั่วชีวิต”

ดาบิยิ้มรับ สัญญาของภูตเป็นเช่นนั้นจริง และมันไม่เคยยุติธรรม เล่ห์เหลี่ยมของภูตเคลือบในทุกกระเบียดนิ้วของถ้อยคำที่ไม่อาจโป้ปด เพราะไม่อาจโกหก เล่ห์ของภูตจึงแหลมคม ใต้ความงามจึงเต็มไปด้วยหนาม พันธการของพวกเขาคือโซ่ตรวนที่ไม่อาจทำลาย มรรตัยอาจคิดว่าความตายคือหนทางรอด แต่ภูตเปลี่ยนพวกเขาได้ ทำให้ความทรมานเป็นอนันต์ นรกจะคงอยู่ชั่วนิรันดร์

แต่นักล่าเงาคนหนึ่งกลับยินยอมกระโดดเข้าหากับดัก ทำไม

ดาบิย่อมปรารถนาจะกรีดเฉือนเปลือกที่ห่อหุ้มความจริงทีละเล็กทีละน้อย อาหารต้องลิ้มรสจึงได้ดื่มด่ำมิใช่กรอกกลืนในทีเดียว ฮอว์คเข้าใจพวกเขาดีทีเดียว ความหฤหรรษ์ที่มาแล้วไปอย่างแสงกะพริบวิบวาบไม่ใช่วิธีเสพสมของภูต พวกเขาไม่เคยรีบร้อน

ดาบิยิ่งไม่รีบร้อน “เราผนึกสัญญาด้วยจูบ”

ฮอว์คนิ่งไป แต่ไม่มีอาการลังเล “สัญญาคือดับไฟกับห้ามทำร้ายใครก็ตามในพื้นที่ที่ฉันดูแล”

“เงื่อนไขของฉันคือนายจะต้องติดตามไปด้วยทุกที่” ดาบิแตะข้อมือของฮอว์ค เมื่อเห็นว่าเนฟิลิมไม่ผละหนี จึงคลึงสัมผัส ไล่ปลายนิ้วแทรกลงไปใต้ถุงมือที่ฮอว์คสวม “นายจะต้องอยู่ข้างฉันเมื่อฉันต้องการ”

“แม้กระทั่งที่วังภูตหรือ ทุกที่กับเวลาใดก็ตามที่นึกอยากเป็นคำที่กว้างนะ”

“แล้วพื้นที่ที่นายดูแลครอบคลุมถึงไหนล่ะ ไอดริสด้วยหรือเปล่า” ดาบิกุมมือสองข้างของฮอว์คขึ้นแนบอก

“ในเมื่อเราพยายามร่างสัญญาเอาเปรียบกันอย่างหน้าไม่อาย ฉันขอเสนอว่าควรเพิ่มบรรทัดว่านี่เป็นสัญญาครั้งเดียวจบ ระยะเวลาคือหนึ่งวัน ในหนึ่งวันนี้นายจะไม่ก่ออัคคีภัยและไม่ทำร้ายใคร ส่วนฉันจะตามไปเป็นคู่เดททุกที่ที่นายอยากไป”

“คำว่าทุกที่ไม่กว้างไปแล้วหรือ”

“แค่วันเดียว” ฮอว์คส่งยิ้มอ่อนโยนพอกัน “และเป็นหนึ่งวันในโลกมนุษย์”

หนึ่งวันในวังภูตอาจนานนับทศวรรษ ฮอว์คฉลาดที่อ่านนัยระหว่างบรรทัดออก ซึ่งแสดงว่าเขาเจนจัดกับชาวบาดาลที่ชอบเล่นแง่และมักเอารัดเอาเปรียบ

คำว่าทุกที่ไม่เพียงแต่ดาบิสามารถจับจูงไปยังสถานที่อันตราย แต่อาจกลายเป็นโซ่ที่ล่ามเขาไว้เสียเอง ฮอว์คจะติดตามเขาไปได้ทุกที่แม้กระทั่งสถานที่ที่เขาไม่ต้องการพาไป

ทางแก้แสนง่ายดาย ในหนึ่งวันเขาก็แค่ไม่ไปเหยียบแพนดิโมเนียมหรือสถานที่นัดพบใดของภูต แต่ฮอว์คดูมั่นใจมาก นักล่าเงายังมีแผนการซ่อนอยู่

ดาบิชื่นชอบดวงตาท้าทายของเขานัก

“ตกลง” ดาบิพยักหน้า “เรายืนยันสัญญาด้วยจูบ”

ฮอว์คดึงมือของเขาเข้าหาตัว จูบข้อนิ้วของเขารวดเร็ว ระมัดระวังและเป็นทางการ ผิดกับบุคลิกที่ต้องการให้โลกเห็น

เจ้าไปแห่งหนใด ข้าจักไปตาม

เวทมนตร์แผ่ซ่านอาบร่างพวกเขา ประกายเล็กละเอียดสีทองฟุ้งกระจาย สีสันของบุตรเทวดาหายไปในห้องที่ลามเลียด้วยไฟสีคราม

ฮอว์คเงยหน้ามองเขา รอคอยจูบที่จะผนึกพวกเขาด้วยกัน

สีอำพันที่สว่างด้วยทองทำให้ความทรงจำจากอดีตไหลท่วมดวงตา เปลี่ยนภาพเบื้องหน้าเป็นสถานที่อื่น ดาบินึกถึงพิธีทดสอบเพลิง นักล่าเงาสองคนยืนบนวงแหวนไฟ กล่าวคำสาบานที่จะผูกพันกันจนกว่าความตายจะมาพราก ในบางแง่มุมอาจมองได้ว่าสหายศึกลึกซึ้งกว่าคนรัก รูนแต่งงานถูกละเมิดได้ แต่สหายศึกไม่อาจทำลาย

ทว่าสหายศึกไม่อาจรักกันเช่นคู่รัก มันละเมิดกฎของภาคี

ดาบิโน้มตัวลง และฮอว์คก็จ้องมองด้วยดวงตาแน่วแน่ เขาใจกล้าหรือไม่ก็บ้าบิ่นที่จูบกับภูต พันธสัญญาหนึ่ง เมื่อเริ่มแล้วมักมีตามมาอีกไม่สิ้นสุด

ดาบิกุมมือสองข้างของอีกฝ่าย ความตั้งใจแรกคือประทับจูบบนหลังมือ แต่กลับสบดวงตาสีทองอย่างเผลอไผล รอยยิ้มเย็นหยักโค้งบนริมฝีปากราวพระจันทร์ฤดูหนาว ไยต้องระมัดระวังตามอีกฝ่าย เขาเป็นทุกสิ่งที่ไร้เมตตามาโดยตลอด และจะไม่ยอมเปลี่ยนเพื่อเนฟิลิมที่ปลุกเร้าความสนใจได้ชั่วครั้งชั่วคราว

ดาบิก้มลง แนบจูบบนลำคอของนักล่าเงา ขบเม้มเบา ๆ สดับชีพจรที่แปรเปลี่ยนแล้วยิ้ม สูดกลิ่นหอมของน้ำตาลกับดวงตะวันแล้วละออก

เจ้าตายที่ใด ข้าจักตายตาม ขอเทวดาโปรดฝังข้ายังที่แห่งนั้น

เวทมนตร์สีน้ำเงินกำจายรอบตัว เปลวไฟสีเดียวกันไหวกระพือ ขยับเหมือนอสรพิษเข้าหลอมรวมกับพลังที่ผนึกพวกเขา ฮอว์คตัวสั่นเมื่อเปลวไฟแตกซ่านเป็นประกายเล็กละเอียด ก่อนทั้งห้องจะมืดลง ตกสู่ความเงียบ

ตาสองคู่มองกัน ไม่รู้เลยว่าได้เริ่มสิ่งที่จะพันเกี่ยวสองวิญญาณอย่างแน่นหนา ไม่เคยมีมาในอดีตและจะไม่มีอีกในอนาคต

สัญญานี้จะก่อความรู้สึกที่ล้างผลาญ

ทว่าเวลานั้นดาบิไม่รู้ เขาถูกตรึงโดยดวงตาของคนตรงหน้า รู้สึกว่าสีอำพันนี้ต่างจากสีของเทวดา ไม่อาจบอกได้ว่าเหมือนสิ่งใด นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาพบกัน แต่บางสิ่งกลับกระซิบกระซาบว่าเขาเพิ่งพบของรักที่ตามหา

ขอเทวดาลงทัณฑ์ข้า ขอให้ทัณฑ์นั้นหนักหนายิ่งกว่า

ภูตหนุ่มสลัดความคิดแปลกประหลาด หากเก็บรักษามันเพื่อขุดคุ้ยเวลาอื่น ยังมีเวลาอีกมาก ตอนนี้เขาต้องพาคู่เดทผู้มากคารมและลึกลับซับซ้อนไปเดทในวันวาเลนไทน์เสียก่อน





Note : มีพารากราฟหนึ่งที่เขียนออกมาไม่เข้าเนื้อเรื่องด้านบน แต่ทิ้งไปก็เสียดายเลยขอนำมาแทรกตรงนี้ ถือว่าเป็น ficlet สั้น ๆ นะคะ แฮปปี้วาเลนไทน์ค่ะ





.

.

.

ดาบิเคยเห็นความรักมามาก ทั้งรักที่เยียวยาและทะนุถนอม กับรักที่ชั่วร้ายยิ่งกว่าคำสาปปีศาจ รักไม่ใช่เรื่องดีเสมอไป รักมาแล้วจากโดยไม่ขอความยินยอม บางคราวมาอย่างอึกทึกครึกโครม บางคราวเงียบงันกว่าฝีเท้าภูตผี ยามบอกลาทิ้งฝีเท้าเกลื่อนกลาด ทิ้งรสขมฝาดและบาดแผลล่องหน มันอาจคงอยู่นานนับศตวรรษ หรือแสนสั้นเพียงชั่วลัดนิ้ว

เขาไม่นึกถวิลหารัก

แต่เวลานั้น เขายังไม่เคยพบใครที่เหมือนกับฮอว์ค


[Jujutsu] Wagokoro Azuki (Sukuna/Yuji)


Wagokoro Azuki

Jujutsu Kaisen

— Sukuna / Itadori Yuji —

Warning : n/a

Summary : โนบาระทำเสียงฮึดฮัด “ไม่รู้เหรอว่าวันนี้วันอะไร” เธอแนบหลังมือกับหน้าผากทันทีที่ถามจบ “ต้องไม่รู้อยู่แล้วสินะ พวกนายคงไม่รู้หรอก”

Note : Pocky Day Theme





เสียงฮัมในลำคอดังมาก่อนตัว ยูจิเงยหน้าขึ้นจากหน้าจอมือถือ มองเพื่อนร่วมชั้นหญิงเพียงหนึ่งเดียวเดินสลับกระโดดอย่างอารมณ์ดีมาทางที่เมงุมิกับเขานั่งอยู่ใต้ร่มไม้ใหญ่ อากาศช่วงฤดูใบไม้ร่วงไม่ร้อนและไม่เย็น หากช่วงบ่ายไม่มีคาบเรียนและไม่มีอะไรทำเป็นพิเศษ พวกเขาสามคนก็มักจะมานั่งจับเจ่าอยู่ในสวน

“ถืออะไรมาเยอะแยะเลย”

โนบาระไม่ได้มาตัวเปล่า สองมือยังถือถุงกระดาษหลากสีหลายใบ ยูจิจึงกล่าวทัก นอกจากด้วยความสงสัยแล้วยังด้วยความเข้าใจว่าเพื่อนคนข้าง ๆ คงไม่ปริปากถามก่อนแน่

แทนคำพูด โนบาระยื่นถุงมาให้เขาดู ยูจิโน้มตัวมอง “ป๊อกกี้?” ก่อนเงยหน้า “เธอชอบกินป๊อกกี้อย่างนั้นเหรอเนี่ย”

ในถุงเต็มไปด้วยกล่องป๊อกกี้ มีไม่น้อยเลยเป็นรสชาติที่ยูจิไม่เคยทานมาก่อน บางกล่องไม่เคยเห็นในร้านสะดวกซื้อทั่วไปเลยด้วย

โนบาระทำเสียงฮึดฮัด “ไม่รู้เหรอว่าวันนี้วันอะไร” เธอแนบหลังมือกับหน้าผากทันทีที่ถามจบ “ต้องไม่รู้อยู่แล้วสินะ พวกนายคงไม่รู้หรอก”

“ไม่รู้อะไร วันนี้มีอะไรพิเศษงั้นเหรอ”

“ป๊อกกี้เดย์ไง!” โนบาระร้อง ก่อนทำหน้าหมดอาลัย “วันฉลองของคนโสด วันแห่งความโสดสำหรับคนไร้คู่ครองและความหวาน” เด็กสาวแกะป๊อกกี้กล่องหนึ่งแล้วหยิบมากัดเสียงดังชัด

ยูจิเอื้อมมือไปหยิบมากินบ้างเมื่อโนบาระหันปากกล่องมาทางเขา ไม่วายหยิบเผื่อให้เมงุมิที่นั่งฟังเงียบ ๆ รสชาติแปลกใหม่และอร่อยไม่เบา “รสองุ่นเหรอ”

“มีรสอื่นด้วย” โนบาระคุ้ยถุง ปากกัดขนมค้างไว้ “เลือกไปสิ ที่ร้านแถมมาเสียเยอะเลย ฉันคนเดียวคงกินไม่หมด”

“ขอบใจนะ” ยูจิรับถุงใบหนึ่งมาวางบนตักแล้วหยิบแต่ละกล่องขึ้นมาเลือกดู

มีรสชาติน่าลองเยอะไปหมด เขาเลือกไม่ถูก ตัดสินใจว่าหยิบสุ่ม ๆ ขึ้นมาคงไม่เป็นไร อย่างไรเขาก็ไม่ใช่คนช่างเลือกรสชาติอยู่แล้ว และโนบาระกับเมงุมิก็คงแบ่งของตัวเองให้ชิมด้วย

ทว่าขณะกำลังหยิบกล่องสีเขียวอ่อนที่น่าจะเป็นรสเมลอนขึ้นมา ความรู้สึกแปลก ๆ ก็ตื่นวาบขึ้นอย่างไม่ทราบสาเหตุ

ยูจิชะงัก กะพริบตามองกล่องป๊อกกี้ในมือ พยายามจับความรู้สึกนั้นแล้วเกลามันออกทีละนิด

ไม่ใช่ความรู้สึกที่เกิดจากปฏิกิริยาทางร่างกาย ร่างกายของเขาปกติดี ไม่ใช่ความรู้สึกชั่ววูบจากเขาเอง เขาไม่ได้กำลังโกรธใคร ไม่ได้มีใครทำให้เขารู้สึกไม่สบอารมณ์ อันที่จริงแล้วการจะทำให้เขารู้สึกหงุดหงิดอย่างแท้จริงเกิดขั้นได้ยากเสียด้วยซ้ำ สิ่งที่อธิบายไม่ถูกนี้คล้ายว่าจะมาจากแหล่งอื่น

ยูจิแหงนคอ มองกิ่งก้านไม้ไหวเบา ๆ ตามลม คำตอบกระจ่างขึ้นเหมือนเมฆลอยลมถอยให้สีครามบนท้องฟ้าแผ่กว้างขึ้น

อะไรก็ตามที่ข้องเกี่ยวกับเขาแล้วหาคำอธิบายไม่ได้ มักมาจากเรื่องเดียว

สุคุนะ

ความนึกสนเท่ห์ทำให้ยูจิปล่อยกล่องป๊อกกี้ลงในถุงตามเดิม แล้วเปลี่ยนทิศทางไปอีกกล่องที่มีสีและรูปข้างกล่องคล้ายกับที่โนบาระถืออยู่ รสองุ่น

ความไม่พึงใจเบาบางเหมือนควันธูป แต่ใครกันจะเดาไม่ออกหากสูดได้กลิ่นที่หม่นและแห้งเช่นนี้

“เลือกอะไรนานนักหนา” โนบาระขมวดคิ้วถามระหว่างที่รับอีกถุงคืนจากเมงุมิ เมงุมิถือป๊อกกี้แล้วสองกล่อง และกำลังมองมาทางเขาอย่างไร้อารมณ์

“เดี๋ยวแบ่งให้ชิม” เมงุมิบอก

“ได้ลองรสแปลก ๆ ทั้งทีนี่นา” ยูจิตบบ่าคนข้าง ๆ แทนคำขอบคุณพร้อมกับหันไปส่งยิ้มให้โนบาระ และได้รับการกลอกตาตอบ

“ต้องมาแบ่งกินกันเองอย่างนี้แทนที่จะได้กัดป๊อกกี้คนละข้างกับคนรัก ดูแล้วน่าหดหู่ชะมัด”

“เป็นวันคนโสดไม่ใช่เหรอ แบบนี้ก็ถูกแล้วนี่”

โนบาระกำหมัด “ถึงจะบอกว่าโสดก็เถอะ แต่วันที่สิบเอ็ดเดือนสิบเอ็ด เลขหนึ่งคู่กันสองตัวยังไงก็ถือว่าเป็นคู่ไม่ใช่เหรอ สุดท้ายก็แค่หลอกเอาใจคนโสดเพื่อให้ขายขนมได้เท่านั้นแหละ”

ยูจิหัวเราะ “นั่นสินะ”

“รีบเลือกเร็วสิ ฉันจะได้เอาที่เหลือไปเก็บที่ห้อง” โนบาระเร่ง

“อืม เอารสไหนดีนะ” ยูจิก้มมองอีกครั้งพลางจับคางตัวเอง

“นายไม่ได้ชอบรสช็อกโกแลตเหรอ” เมงุมิพูด อีกฝ่ายคงนึกถึงวันที่พวกเขาไปเที่ยวเล่นในเมือง ที่คาเฟ่ยูจิสั่งแต่ขนมกับเครื่องดื่มรสช็อกโกแลต

“ที่จริงก็ชอบกินหมดนะ ถ้าอร่อย”

“ไม่แปลกใจเลย” โนบาระกล่าวเสียงเรียบ

ยูจิขยับมือไล่ไปตามชื่อรสชาติบนกล่อง ตั้งสมาธิไปที่เสียงในหัว เหมือนการหมุนวิทยุหาสัญญาณคลื่นที่เหมาะสมอย่างไรอย่างนั้น ค่อย ๆ ขยับจนกว่าเสียงซ่าจะหายไปและกลายเป็นท่วงทำนองใสชัด

มือของเขาหยุดลงเมื่อจับได้ว่าอารมณ์ขมวดยุ่งยากคลายลง ยูจิหยิบกล่องสีม่วงขึ้นมา

“เอาอันนี้แหละ”

“เลือกได้ซะทีนะ” โนบาระเอียงคอ “แค่อันเดียวเหรอ”

“อันเดียวก็พอ” ยูจิยิ้มยิงฟัน

เขาไม่ได้รู้สึกอะไรเป็นพิเศษต่อขนมชนิดนี้ แต่เขาไม่เคยเกี่ยงน้ำใจหรือลังเลต่อการโอนอ่อนตามใครสักคนที่คล้ายว่าอยากลิ้มลองป๊อกกี้รสถั่วแดงบด

ฉีกซองออกแล้วกัดคำหนึ่ง รสหวานแต่ไม่บาดลิ้น กลิ่นหอมอวลด้วยแป้งละลายในปาก

ความรู้สึกสุขซ่านเช่นการได้ดื่มกินรสชาติที่โปรดปรานแผ่ในอก

แต่ความรู้สึกนั้นไม่ได้เป็นของยูจิ


[Jujutsu] It's you and me, (Sukuna/Yuji)


It's you and me,

Jujutsu Kaisen

— Sukuna / Itadori Yuji —

Warning : Unhealthy Relationship, Mention of Death, Self-harm

Summary : อิทาโดริสงสัยว่าเขาได้หัวใจของตนคืนกลับมาจริงดังที่สุคุนะสัญญาไว้หรือเปล่า





ที่เคยบอกไว้ว่ามีคำสาปติดตัวมาก่อนแล้ว อิทาโดริไม่ได้ตั้งใจทำให้คำพูดสุดท้ายก่อนตายของคุณปู่มีความหมายเดียวกับสิ่งที่เลวร้าย

แต่อะไรคือความเลวร้าย คำสาปคือสิ่งที่เลวร้าย เพียงเพราะเกิดจากความรู้สึกโกรธแค้นถึงขีดสุดหรือ? ความรู้สึกที่รุนแรงจนสามารถเปลี่ยนใครคนหนึ่งไม่ได้เกิดขึ้นโดยง่าย อิทาโดริแน่ใจในเรื่องนี้ เพราะเขาเองเป็นคนหนึ่งที่ใครต่างลงความเห็นว่ายากที่จะรู้สึกโกรธ เป็นคนสบาย ๆ คงเพราะนายคิดน้อยไปน่ะสิ พวกเขาว่ากันอย่างนั้น แต่ในระยะหลังเด็กหนุ่มกลับพบว่าตนเองโกรธบ่อยครั้ง หากกล่าวอย่างเจาะจงกว่านั้นก็คงตั้งแต่รู้จักสุคุนะ

“ตั้งแต่เมื่อไหร่”

ชายที่เหมือนเงาสะท้อนของอิทาโดริ เหมือนอย่างกับแกะแต่ในขณะเดียวกันก็แตกต่างอย่างที่สุด จ้องลงมาจากซากกระดูก หุบเขามโหฬารที่คลุมด้วยความมืดอนันต์ บนผิวน้ำสีเลือด รายล้อมด้วยโครงร่างที่เคยเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต ที่นี่เหมือนสุสาน เหมือนนรก

ที่นี่คือสถานที่แห่งเดียวที่อิทาโดริสามารถจ้องมองดวงตาของสุคุนะโดยตรง

“ข้าอนุญาตให้มองหน้าตั้งแต่เมื่อไหร่”

ความกลัวที่คล้ายเกล็ดน้ำแข็งไต่ตอมไขสันหลังอย่างรวดเร็ว น้ำเสียงที่คล้ายกับไถ่ถามเรื่องแสนสามัญ ไม่มีนัยแฝง ไม่มีจิตสังหาร แต่ก่อความกดดันอย่างมหาศาล เพราะทุกสิ่งเกิดขึ้นได้ในพริบตา อิทาโดริอาจตายได้ในเสี้ยววินาที รวดเร็วเสียจนร่างกายยังไล่ตามเส้นชีวิตที่ขาดสะบั้นไม่ทัน

เมื่อก่อนเด็กหนุ่มไม่กลัวเพราะเขาไม่รู้ว่าภายในนี้สุคุนะมีอำนาจเพียงใด ยามนี้เขารู้ทุกอย่าง เขากลัว แต่เขาจะไม่ก้มหน้าหดคอ เขาจะไม่หนีความตาย เพราะดูเหมือนไม่ว่าจะในความฝันหรือความจริง เขาก็จำเป็นต้องตาย

“กระทั่งมองยังไม่ได้ ใบหน้าของนายเป็นของต้องห้าม ของหายาก หรือของแตกหักง่ายกันล่ะ”

หากเป็นก่อนหน้านี้ มันคงเป็นคำถามที่ทั้งสงสัยใคร่รู้จากใจ และเป็นคำเย้าแหย่ที่ไม่ได้แฝงเจตนา ทว่าอิทาโดริไม่ได้รู้สึกเช่นนั้นอีกแล้ว เกิดความเปลี่ยนแปลงขึ้นระหว่างพวกเขา สุคุนะกำลังแข็งแกร่งขึ้น ขณะที่เขาไม่อาจลบภาพชิบุย่าที่ถูกทำลายราบเป็นหน้ากลองจากดวงตา

เขาเห็นทุกอย่าง แต่ทำอะไรไม่ได้นอกจากมอง

โง่เง่าที่ตกปากรับคำ ผูกมัดสัญญาที่ตัวเขาถูกบังคับให้ลืม

เรียวเมน สุคุนะ คือคำสาป น้ำหนักของข้อความไม่เคยชัดเจนเท่านี้มาก่อน หลังรวบรวมนิ้วทั้งหมดได้พวกเขาจะประหารเธอ ประโยคนี้เองก็ไม่เคยสร้างหลุมกลวงเปล่าในอกได้เหมือนตอนนี้ ความรู้สึกที่มากเกินไปจนไม่รู้สึกจะคงอยู่แค่เวลานี้ หรือนับแต่นี้ตลอดไป

อิทาโดริสงสัยว่าเขาได้หัวใจของตนคืนกลับมาจริงดังที่สุคุนะสัญญาไว้หรือเปล่า

“อยากตายเหรอ” สุคุนะก้าวลงมาจากบัลลังก์สีขาว อิทาโดริมองตาม ภายในใจของสุคุนะอาจเป็นนรก แต่ในเมื่อคำสาปสิงสู่ในร่างกายของเขา นรกนี้ก็กำลังอาศัยในร่างของมนุษย์คนหนึ่งเช่นกัน มันไม่ได้เวิ้งว้างไร้ที่สิ้นสุดเหมือนภาพที่ปรากฏให้เห็น

“ฉันตาย นายตาย” อิทาโดริยักไหล่ “อย่างมากฉันก็แค่ตายในความฝัน”

“ความตายไม่ใช่สิ่งที่เลวร้ายที่สุด” สุคุนะคลี่ยิ้ม สองมือข้างลำตัวกำคลาย ก่อนยกขึ้นประสานกันใต้ชายแขนเสื้อ อิทาโดริรอที่จะเห็นภาพนี้เหมือนการมองดูพระอาทิตย์ขึ้นและตก หวาดระแวงว่าวันใดวันหนึ่งภาพนี้จะเปลี่ยนไป

เมื่อใดที่มีแขนครบสี่ข้าง เกรงว่า

“ก็ไม่เป็นไร” เด็กหนุ่มกล่าวทันควัน “ที่เป็นอยู่ตอนนี้ก็ไม่ได้ดีกว่ากันสักเท่าไรหรอก”

สุคุนะเองก็เป็นคำสาปเหมือนกัน อิทาโดริคิด และประวัติศาสตร์ก็ตัดสินแล้วว่าเขาเลวร้าย

เด็กหนุ่มรู้ความเป็นมาของสิ่งที่ตนกลืนกินลงไป แต่ตระหนักได้หรือเปล่า อาจจะไม่เลย


วันเสาร์ที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2565

[TENET] Cat in the Box (Protagoneil)


Cat in the Box

TENET (2020)

— Protagonist / Neil —

Warning : Angst.

Summary : เวลานั้นยังไม่มีใครพบหลักฐานงัดค้านทฤษฎีแมวของชโรดิงเจอร์





4


ครั้งแรกที่พบกัน ใครคนนั้นทำหน้าเหมือนเห็นผี

แต่คนที่ต้องหน้าถอดสีควรเป็นเขามากกว่าสิ นีลรู้ว่าตอนนี้ตัวเองคงไม่ต่างจากกระจกสะท้อนภาพชายคนนั้น ทั้งม่านตาขยายกว้าง หน้าซีดลงถนัดตา เพราะสิ่งที่เห็นมันทั้งเหนือจริง อัศจรรย์

และอยู่ในเล่มวิทยานิพนธ์ที่เขายังพิมพ์ไม่เสร็จ

“คุณทำได้ยังไง” นีลถาม จากนั้นถึงรู้สึกว่าตนเองแสนบื้อและอยู่ผิดที่ผิดทาง นักศึกษาปริญญาโทที่ยุ่งหัวฟู สวมชุดนอนทั้งวันเพราะไม่มีเวลาอาบน้ำ มือหนึ่งถือโน้ตบุ๊คแนบลำตัว อีกมือถือแก้วกาแฟเย็นชืด ยืนถามคนที่เหมือนจะกำลังหลบหนีออกจากหอสมุดกลางหรืออีกชื่อหนึ่งคือสถานที่เกิดเหตุชิงทรัพย์ว่าเขาปล้นสิ่งของโดยการจัดพวกมันให้เป็นระเบียบได้อย่างไรงั้นเหรอ หากมีเจ้าหน้าที่สักคนอยู่เป็นสักขีพยาน เขาคงโดนยึดใบประกอบวิชาชีพคืนแน่

อีกฝ่ายพูดอะไรบางอย่าง เสียงอู้อี้เพราะสวมหน้ากากครอบไว้ เนื้อความฟังดูแปลกพิลึก ความเข้าใจแรกคือมันคงเป็นภาษาที่เขาไม่รู้จัก แต่ความมักคุ้นบางอย่างทำให้ยังเคลือบแคลงสงสัย

มองตามสายระโยงจากหน้ากากไปยังกระบอกแก๊สขนาดพกพาที่เหน็บกับเข็มขัด นีลเลื่อนสายตากลับไปที่ดวงตาของอีกฝ่าย เขาดูไม่เหมือนคนป่วยเลย แต่เขาดูเหมือนคนที่กำลังร้อนตัวเพราะถูกจับได้ขณะกระทำการอะไรบางอย่าง

“คุณว่าอะไรนะ” นีลรู้สึกว่าตัวเองเหมือนนักเรียนเจ้าปัญหาในคลาสประยุกต์คณิตศาสตร์กับทฤษฎีฟิสิกส์

ใครคนนั้นหุบยิ้ม แล้วเดินถอยหลังออกไปพร้อมกับชั้นวางที่กลับมาตั้งตรงและหนังสือมากมายที่กลับเข้าชั้น

ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วจนเขาคิดตามไม่ทัน

นีลยืนงงอยู่กับที่จนกระทั่งอาจารย์ท่านหนึ่ง ที่หากเขาจำไม่ผิดน่าจะสอนอยู่ภาคสถาปัตยกรรม แตะมือบนไหล่เขาเบา ๆ สองสามครั้งเพื่อเรียกความสนใจ

“เห็นคุณแลงฟอร์ดหรือเปล่า” ชายชราถามเสียงเนิบนาบ ดูเหมือนว่าเขาจะไม่เห็นเหตุการณ์เมื่อสักครู่นี้

นีลเหลียวมองนาฬิกา เข็มสั้นชี้เลขสิบ เข็มยาวชี้เลขหนึ่ง ก่อนหันกลับมาทางอาจารย์สตีเฟน ไมลส์ “ไม่นะครับ” แลงฟอร์ดคืออาจารย์ภาคฟิสิกส์และยังเป็นที่ปรึกษาของเขา นีลตั้งใจจะมาหาเธอเช่นกัน แต่ยังไม่ทันเดินหาก็มาเจอเหตุการณ์ประหลาดนั่นเสียก่อน

“แปลกจริง” ไมลส์กล่าว ก่อนจะยักไหล่ “เธอบอกว่าจะแวะกลับเข้ามา บางทีอาจจะคลาดกันตรงสวน สวนหน้าตึกเหมือนออกแบบมาเพื่อบดบังทัศนียภาพเลย เธอว่างั้นไหม”

“ไม่รู้สิครับ” มุมปากของนีลยกขึ้น น้ำเสียงของสตีเฟน ไมลส์ นุ่มนวลเป็นกันเอง ทำให้อยากต่อบทสนทนา นอกจากนี้เขายังรู้สึกสนุกกับการได้ถกเรื่องที่อยู่นอกตำราฟิสิกส์บ้างเสียที “ขึ้นอยู่กับมุมมอง คุณมองว่ามันบังสายตา แต่ความจริงแล้วมันอาจซ่อนอะไรอยู่ก็ได้”





3


ครั้งที่สองใครคนนั้นเปลี่ยนไป เขาสวมสูทสั่งตัดแบบที่พวกเศรษฐีตัวจริงจะสวมซึ่งทำให้นีลอดประทับใจไม่ได้ อีกทั้งไม่มีแววประหม่าลังเลเหมือนขณะยืนท่ามกลางกองหนังสือที่กระจัดกระจายเมื่อสัปดาห์ก่อน เขาเดินตรงมายังโต๊ะที่นีลนั่งอยู่เหมือนมาตามนัดหมาย นั่งลง ไขว้ขา และถือวิสาสะจ้อง

“ชุดสวยดีนี่” นีลพับหน้าจอโน้ตบุ๊ค แม้เส้นตายจะจี้เข้ามาใกล้เพียงใดวิทยานิพนธ์ก็รอได้เสมอ “ต้องการให้ช่วยอะไรไหม”

ริมฝีปากของชายตรงหน้าขยับเล็กน้อยราวกับจะยิ้ม “มีคนแนะนำมาว่าถ้าอยากได้คนนำเที่ยวลอนดอนให้มาหานาย”

“ใครคนนั้นคงตกข่าว ช่วงนี้ผมไม่รับงานนำเที่ยว” นีลตอบ พวกเขาเงียบลงพร้อมกันเมื่อพนักงานของร้านเดินมาถามว่าต้องการสั่งเครื่องดื่มเพิ่มไหม

“ไดเอทโค้กกับวอดก้าโทนิค”

พนักงานสาวขยับยิ้มแปร่ง “เราไม่จำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์นะคะ”

นีลหันไปหัวเราะอีกทาง อีกฝ่ายไม่รู้ตัวเลยหรือว่าที่นั่งอยู่นี้คือร้านกาแฟ

“ความเคยชินน่ะ” เขากล่าว ทำหน้าขอโทษขอโพยอย่างขอไปที นีลมองสายตาของเขาแล้วหยุดคิด เมื่อพนักงานเดินจากไปแล้วจึงเอ่ยถาม

“ทำไมถึงเป็นวอดก้าโทนิค”

อีกฝ่ายเลิกคิ้ว สีหน้าคล้ายกล่าวว่ามันคือความจริงสากลของจักรวาล แต่คำพูดกลับเป็น “เดาว่านายน่าจะชอบ”

และนั่นคือความจริง แต่เป็นความจริงก่อนที่เขาจะเริ่มทำงานในองค์กรที่มีสินทรัพย์เป็นความลับกับความตาย

“คุณศึกษามาดีนะ” ซึ่งเป็นปกติของเจ้าหน้าที่ทุกคน ต้องตรวจสอบประวัติก่อนเข้าหา ต้องระมัดระวัง รอบคอบ แต่นีลไม่ได้มองข้ามความเคยชิน “เสียดายที่ผมเลิกดื่มแล้ว”

ชั่วแวบหนึ่งของความประหลาดใจผ่านไปเร็วกว่าการกะพริบตา “แสดงถึงความเป็นมืออาชีพ” เขาว่าอย่างยอมรับนับถือ สวนทางกับรายละเอียดเล็กน้อยที่อยู่บนมือ บนคิ้ว บนไหล่ที่เกร็งขึ้นเหมือนรอคอย เหมือนคาดหวัง

นีลเอียงศีรษะ “คุณคิดอย่างนั้นเหรอ จะดีเหรอที่คนในตำแหน่งนี้เป็นพวกคออ่อน”

“พอกลับไปลงภาคสนามอีกครั้งอาการนี้ก็คงหายเอง มันต้องใช้ลูกบ้ามากกว่าใช้สติ”

ประโยคนี้เรียกเสียงหัวเราะ “ให้ผมแนะนำคนอื่นกับคุณเถอะ อย่างที่บอก ช่วงนี้พักงานบริษัททัวร์ชั่วคราว ผมไม่มีข้อมูลอะไรทั้งนั้น”

นีลยิ้มกว้าง โบกมือสองข้างให้เห็นว่าไม่ได้ถืออะไรอยู่เลยนอกจากโน้ตบุ๊คกับหนังสือเรียนหนาเตอะ รอจนพนักงานวางไดเอทโค้กลงแล้วถอยออกไปจึงพูดต่อ

“ที่จริงแล้ว ลอนดอนมีคนชำนาญเส้นทางมากกว่าผมอีกเยอะนะ คุณติดต่อผ่านใครถึงมาจบที่ทางตันอย่างผมได้”

“ไม่สำคัญหรอก” เขาพูด “ฉันแค่ต้องการคนสะเดาะกลอนเก่ง ๆ สักคนมาร่วมงาน”

นีลชะงัก “สะเดาะกลอน?”

“และจบปริญญาโทฟิสิกส์”

“เงื่อนไขนี้แปลก ๆ นะ และบังเอิญเหลือเกินที่ผมเกือบเข้าเกณฑ์นั้นทั้งหมด” นีลถอนหายใจ ยังมีอีกหลายด่านต้องฝ่าฟันเพื่อที่จะสำเร็จการศึกษา

“เวลาไม่ใช่ปัญหา ฉันรอได้” อีกฝ่ายกล่าวทันควัน

“ด้วยเหตุผลเดียวกับที่คุณรอหนึ่งสัปดาห์ถึงติดต่อมาหรือเปล่า”

คำพูดนี้เหมือนปลดสลักบางอย่าง อารมณ์ของชายคนนั้นเปลี่ยนไป แต่นีลบอกไม่ได้ว่าความแตกต่างนั้นอยู่ตรงไหน มันล่องลอย เบาบางเสมือนควันในอากาศ

“คุณเข้าไปทำอะไรที่หอสมุด” นีลถาม

“ฉันไม่ได้ตั้งใจไปเจอนาย”

“เรื่องนั้นคุณแสดงออกไว้ชัดเจนมาก”

“เป็นความผิดพลาดของฉันเอง” คนตรงข้ามกัดฟัน โกรธใครสักคนที่ไม่ได้อยู่ที่นี่ “ฉันไม่ควรผ่านไปในเวลานั้นเลย”

“...คนทั่วไปไม่อยู่ถึงเวลานั้นกันหรอก” นีลไม่แน่ใจว่าพวกเขาพูดเรื่องเดียวกัน

ความสงสัยของเขาได้รับการยืนยัน เมื่ออีกฝ่ายยิ้มตอบ รอยยิ้มบางเบาไร้ความยินดีที่ดึงเอาน้ำหนักในใจคนมองไปจนมันกลวงเปล่า

“ใช่ น่าเจ็บใจชะมัดที่นายเป็นฝ่ายถูกตลอด” เขาบอก

แต่ในน้ำเสียงมีมากเกินกว่าความเจ็บใจธรรมดา นีลไม่ได้ถามว่าเรื่องที่ถูกต้องนั้นคืออะไร





2


กลางเดือนเมษายนของมุมไบอากาศร้อนจัด นีลอยากเดินพ้นจากตลาดที่เบียดเสียดไปด้วยผู้คนให้เร็วที่สุด แต่ใครคนนั้นร้องเรียกเขา หยุดเขาไว้ก่อนดึงแขนพาไปหน้าแผงขายเครื่องประดับ

“คุณสนใจของพวกนี้ด้วยเหรอ” นีลว่าติดตลก แต่หยุดลงเมื่อเห็นสีหน้าเรียบเฉยของอีกฝ่ายยามจ้องมองของชิ้นหนึ่ง

เขาหยิบมันขึ้นมายัดใส่มือนีลแล้วจ่ายเงิน ไม่พูดอะไรสักคำจนกระทั่งกลับมาถึงโรงแรม

“นี่คืออะไร” นีลชูของในมือ ด้ายสีแดงพันรอบเหรียญทองเหลือง คล้ายพวงกุญแจ

“เครื่องราง” เขาบอก น้ำเสียงหงุดหงิด

นีลยักไหล่ ไม่เก็บมาใส่ใจ เคยชินเสียแล้วกับอารมณ์โกรธอันไม่ทราบที่มา บางทีมันอาจมาจากอดีต มันต้องมาจากอดีตแน่ ยังมีอะไรอีกมากที่เขาไม่ยอมบอก และนีลไม่อยากรบเร้าเพราะรู้ว่าบางเรื่องยังไม่ถึงเวลาที่สมควรจะเปิดเผย

นีลพันด้ายสีแดงกับกระเป๋าใบโปรดที่เขาสะพายไปไหนมาไหนด้วยตลอด เสียงจากนาฬิกาข้อมือดังเตือน นีลมองเวลาแล้วเอ่ย “ผมต้องไปแล้ว”

ไม่มีเสียงตอบกลับ นีลเหลียวหน้าไปทางคนที่ยืนกอดอกไม่พูดไม่จาอย่างหน่ายใจ สังเกตเห็นมาตั้งแต่ครั้งแรกที่ปฏิบัติภารกิจร่วมกันแล้ว คน ๆ นี้ไม่ชอบเวลาเขาออกไปทำงาน โดยเฉพาะงานที่ต้องแยกกัน

นีลคล้องสายหน้ากากออกซิเจนไว้ที่คอ “มีคำแนะนำเกี่ยวกับตัวคุณเองในอดีตไหม”

เขาหันกลับมา ดวงตาเคร่งเครียด แทบไม่เคยปรากฏอารมณ์ขัน แต่เมื่อมันเคลื่อนลงไปมองอะไรบางอย่างบนกระเป๋าสะพาย สายตาก็อ่อนลง

“อดทนกับเขาหน่อย”

นีลหัวเราะ “คุณคิดว่าทุกวันนี้ผมทำอะไรอยู่เหรอ คุณเป็นเพื่อนร่วมงานที่แย่มากรู้ตัวหรือเปล่า”

“งั้นนายจะไม่เป็นไร เพราะฉันแย่กว่าเขามาก”

“แต่ก็ยังไม่มากพอที่จะไล่ผมไปไหนได้” กล่าวพร้อมส่งยิ้ม แต่รอยยิ้มนั้นแสนสั้น

มุกตลกที่ตั้งใจให้ขบขันกลายเป็นฝืดเฝื่อน เมื่อใครคนนั้นไม่หัวเราะ แต่กลับมองด้วยสายตาแบบอื่น แบบที่เขาคิดว่านีลไม่เห็นว่าเขาทำทุกครั้งที่เดินผ่านกระจก ขณะที่นีลมองเงาตัวเองเดินย้อนมาหาปัจจุบัน 

ในเวลาเดียวกันที่ดวงตาคู่หนึ่งมองส่งตามหลัง ดวงตาคู่นั้นก็รอรับเขาอยู่ในอดีต

ความรู้สึกหนักอึ้งกลับมาล่องลอยระหว่างพวกเขาอีกครั้ง

“ในเวลาที่คุณอยู่ ผมเป็นยังไง” นีลถาม

เพราะหากปล่อยต่อไป ทุกอย่างจะยิ่งจม ไม่ใช่นิสัยของเขาเลยที่จะรบเร้าเอาความ แต่ปล่อยไว้ไม่ได้อีกแล้ว นีลไม่อยากทิ้งใครคนหนึ่งไว้กับดวงตาแบบนั้นอีกแล้ว

“ผมไม่ได้กลับไปใช่หรือเปล่า”

หลบสายตา นับลมหายใจ “ฉันไม่รู้”

“จริงเหรอ”

“ไม่มีใครเห็นศพ”

“แต่คุณเห็น”

“ฉันเห็นนายโดนยิง แต่ไม่ได้อยู่ดูว่านายยัง…” เขาหันไปอีกทาง สูดหายใจ

ความเงียบตกลงในห้องเหมือนสายฝน ไม่มีใครทราบถึงความตายแล้วจะยิ้มออก นีลไม่ใช่ข้อยกเว้น แต่แทนที่มันจะสะเทือนความรู้สึก เขากลับนิ่งสงบ มือจับเหรียญอย่างไม่รู้ตัว ถูไปมาเพื่อหาประกายไฟ

“มันเกิดขึ้นแล้ว” นีลพูด “ทำอะไรไม่ได้แล้วล่ะ”





1


ครั้งสุดท้ายที่นีลต้องเดินสวนกระแสเวลา อากาศของออสโลแจ่มใสมาก

แต่ใครคนนั้นเป็นทุกอย่างที่อยู่ตรงกันข้าม เขาลุกลน ไม่ยอมหยุดหาวิธีเปลี่ยนแปลงเวลา หาหนทางที่ตัวเองจะตามไปได้ทัน นีลเห็นมือของเขาสั่น มันไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนกระทั่งในวินาทีที่เขาเฉียดใกล้ความตาย

“ไม่เอาน่า ผมกำลังจะไปแล้ว คุณจะบอกลากันด้วยการทำตัวยุ่งจนถึงนาทีสุดท้ายเหรอ”

เขาหยุดตามที่ร้องขอ สัญญาณทุกอย่างบนตัวของเขาแสดงถึงความอลหม่าน ความเยือกเย็นบนใบหน้าแตกพร่า อะไรบางอย่างกำลังพังทลาย

“อย่าไป”

แสนสั้นและง่ายดาย

แต่ต้องใช้ความพยายามเพียงใดในการพูดมันออกมา ต้องใช้ความพยายามขนาดไหนเพื่อจะปฏิเสธมัน

สำหรับนีล มันช่างง่ายดาย

นีลส่ายหน้า “อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด คุณสอนผมเอง หน้าที่ของเราคือทำให้เวลาเดินหน้าต่อไป”

“ฉันบอกนายแบบนั้นเพราะนายแสดงให้ฉันเห็น”

“ซึ่งก็แสดงว่าทุกอย่างสมเหตุสมผลกัน” นีลกระชับกระเป๋าสะพาย อ้าแขนสองข้าง “มานี่มา”

แต่เขาไม่ขยับ “ฉันไม่ได้ทำทั้งหมดนี้เพื่อให้นายกลับไปตาย”

“ไม่เหรอ” นีลพูด ลดแขนลง แต่เมื่อความคิดไล่ตามทัน ชายหนุ่มกะพริบตา “คุณไม่ได้สร้างเทเนทเพื่อคงสภาพเวลา”

ความเงียบทิ้งตัวลงมาอีกหนึ่งอึดใจ

อีกฝ่ายพยักหน้าช้า ๆ ดวงตากร้าว ยืนหยัด หรืออาจเรียกได้ว่าดันทุรัง “ฉันไม่รู้ว่านายตายไปจริง ๆ หรือเปล่า ไม่มีใครเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากนั้น”

“ที่นั่นโดนระเบิด ต่อให้ยังมีลมหายใจผมก็หนีออกมาไม่ทันหรอก”

“ไม่มีใครรู้เรื่องนั้น”

นีลยิ้มบาง “ผมไม่ใช่แมวของชโรดิงเจอร์”

“ฉันไม่ได้บอกว่านายเป็น แมวควรจะมีเก้าชีวิต ไม่ใช่มีโอกาสรอดแค่ห้าสิบเปอร์เซ็นต์”

“คุณอ่านมาเหรอ” นีลประทับใจ

“ฉันทำงานกับคนที่จบปริญญาโทฟิสิกส์และยังชอบดื่มระหว่างงาน ฉันต้องหาความรู้เพิ่มเติมเพื่อลดความเสี่ยง”

“ไหนบอกว่างานประเภทนี้ใช้ลูกบ้ามากกว่าใช้สติ” นีลหัวเราะ

และเขาคนนั้นก็ยิ้ม

นีลรู้สึกโล่งอก ไม่อยากจากไปขณะฟ้ายังครึ้มฝน ในที่สุดพระอาทิตย์ที่ส่องสว่างผ่านเมฆหมอกเสียที

แต่ตราบใดที่เหนือท้องฟ้ายังมีเมฆ เงาก็จะอยู่ตรงนั้น เขาใช้ดวงตาแบบนั้นอีกแล้ว แบบที่ทำให้นีลไม่อยากจากไปไหน

แต่นีลต้องไป ต้องการที่จะไป เรื่องทั้งหมดนี้เกิดขึ้นแล้ว และคนที่คอยอยู่เคียงข้างเขาทั้งในอดีตและอนาคตก็รู้ดีกว่าใคร

นีลเดินเข้าไปหาเขา ดึงตัวเข้ามากอด กระซิบว่าไม่เป็นไร

“ฉันเสียนายไปสองครั้ง” เขาเอ่ยแผ่วเบา

“แต่ผมจะได้ช่วยคุณสองครั้ง” นีลตอบ บอกอีกครั้งว่าไม่เป็นไร

ที่ผ่านมาผมมีความสุขมาก





0


คุณไม่ได้ตั้งใจมาพบเขา คุณแค่มาตามหาข้อมูล ตามหาความรู้ที่คุณบกพร่อง คุณตั้งใจว่าจะกันเขาออกจากเรื่องทั้งหมดนี้ แต่เมื่อเขามาปรากฏตัวต่อหน้า ในสภาพอันไม่คาดคิด คุณหลุดยิ้ม มองเขาขึ้นลง ตกอยู่ในห้วงนาทีของการเพิกเฉยความจริงไปชั่วครั้งชั่วคราว

แต่สุดท้ายเวลาก็ไล่ตามทัน ความสุขหายไป แทนที่ด้วยความสิ้นหวัง คุณเดินสะดุด ทำชั้นหนังสือล้ม ทุกอย่างกระจัดกระจาย ความตั้งใจเดิมล้มเหลว

เสียงลูกกรงเหล็ก เสียงปืน ทุกอย่างอื้ออึงก้องสองหู

เราไม่ควรพบกันเลย

ขอโทษ คุณกล่าว ทั้งที่รู้ว่าคำพูดนี้มีเพียงคนเดียวที่เข้าใจความหมาย และสุดท้ายก็จะสลายหายไปในอดีต