วันเสาร์ที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2565

[TENET] Cat in the Box (Protagoneil)


Cat in the Box

TENET (2020)

— Protagonist / Neil —

Warning : Angst.

Summary : เวลานั้นยังไม่มีใครพบหลักฐานงัดค้านทฤษฎีแมวของชโรดิงเจอร์





4


ครั้งแรกที่พบกัน ใครคนนั้นทำหน้าเหมือนเห็นผี

แต่คนที่ต้องหน้าถอดสีควรเป็นเขามากกว่าสิ นีลรู้ว่าตอนนี้ตัวเองคงไม่ต่างจากกระจกสะท้อนภาพชายคนนั้น ทั้งม่านตาขยายกว้าง หน้าซีดลงถนัดตา เพราะสิ่งที่เห็นมันทั้งเหนือจริง อัศจรรย์

และอยู่ในเล่มวิทยานิพนธ์ที่เขายังพิมพ์ไม่เสร็จ

“คุณทำได้ยังไง” นีลถาม จากนั้นถึงรู้สึกว่าตนเองแสนบื้อและอยู่ผิดที่ผิดทาง นักศึกษาปริญญาโทที่ยุ่งหัวฟู สวมชุดนอนทั้งวันเพราะไม่มีเวลาอาบน้ำ มือหนึ่งถือโน้ตบุ๊คแนบลำตัว อีกมือถือแก้วกาแฟเย็นชืด ยืนถามคนที่เหมือนจะกำลังหลบหนีออกจากหอสมุดกลางหรืออีกชื่อหนึ่งคือสถานที่เกิดเหตุชิงทรัพย์ว่าเขาปล้นสิ่งของโดยการจัดพวกมันให้เป็นระเบียบได้อย่างไรงั้นเหรอ หากมีเจ้าหน้าที่สักคนอยู่เป็นสักขีพยาน เขาคงโดนยึดใบประกอบวิชาชีพคืนแน่

อีกฝ่ายพูดอะไรบางอย่าง เสียงอู้อี้เพราะสวมหน้ากากครอบไว้ เนื้อความฟังดูแปลกพิลึก ความเข้าใจแรกคือมันคงเป็นภาษาที่เขาไม่รู้จัก แต่ความมักคุ้นบางอย่างทำให้ยังเคลือบแคลงสงสัย

มองตามสายระโยงจากหน้ากากไปยังกระบอกแก๊สขนาดพกพาที่เหน็บกับเข็มขัด นีลเลื่อนสายตากลับไปที่ดวงตาของอีกฝ่าย เขาดูไม่เหมือนคนป่วยเลย แต่เขาดูเหมือนคนที่กำลังร้อนตัวเพราะถูกจับได้ขณะกระทำการอะไรบางอย่าง

“คุณว่าอะไรนะ” นีลรู้สึกว่าตัวเองเหมือนนักเรียนเจ้าปัญหาในคลาสประยุกต์คณิตศาสตร์กับทฤษฎีฟิสิกส์

ใครคนนั้นหุบยิ้ม แล้วเดินถอยหลังออกไปพร้อมกับชั้นวางที่กลับมาตั้งตรงและหนังสือมากมายที่กลับเข้าชั้น

ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วจนเขาคิดตามไม่ทัน

นีลยืนงงอยู่กับที่จนกระทั่งอาจารย์ท่านหนึ่ง ที่หากเขาจำไม่ผิดน่าจะสอนอยู่ภาคสถาปัตยกรรม แตะมือบนไหล่เขาเบา ๆ สองสามครั้งเพื่อเรียกความสนใจ

“เห็นคุณแลงฟอร์ดหรือเปล่า” ชายชราถามเสียงเนิบนาบ ดูเหมือนว่าเขาจะไม่เห็นเหตุการณ์เมื่อสักครู่นี้

นีลเหลียวมองนาฬิกา เข็มสั้นชี้เลขสิบ เข็มยาวชี้เลขหนึ่ง ก่อนหันกลับมาทางอาจารย์สตีเฟน ไมลส์ “ไม่นะครับ” แลงฟอร์ดคืออาจารย์ภาคฟิสิกส์และยังเป็นที่ปรึกษาของเขา นีลตั้งใจจะมาหาเธอเช่นกัน แต่ยังไม่ทันเดินหาก็มาเจอเหตุการณ์ประหลาดนั่นเสียก่อน

“แปลกจริง” ไมลส์กล่าว ก่อนจะยักไหล่ “เธอบอกว่าจะแวะกลับเข้ามา บางทีอาจจะคลาดกันตรงสวน สวนหน้าตึกเหมือนออกแบบมาเพื่อบดบังทัศนียภาพเลย เธอว่างั้นไหม”

“ไม่รู้สิครับ” มุมปากของนีลยกขึ้น น้ำเสียงของสตีเฟน ไมลส์ นุ่มนวลเป็นกันเอง ทำให้อยากต่อบทสนทนา นอกจากนี้เขายังรู้สึกสนุกกับการได้ถกเรื่องที่อยู่นอกตำราฟิสิกส์บ้างเสียที “ขึ้นอยู่กับมุมมอง คุณมองว่ามันบังสายตา แต่ความจริงแล้วมันอาจซ่อนอะไรอยู่ก็ได้”





3


ครั้งที่สองใครคนนั้นเปลี่ยนไป เขาสวมสูทสั่งตัดแบบที่พวกเศรษฐีตัวจริงจะสวมซึ่งทำให้นีลอดประทับใจไม่ได้ อีกทั้งไม่มีแววประหม่าลังเลเหมือนขณะยืนท่ามกลางกองหนังสือที่กระจัดกระจายเมื่อสัปดาห์ก่อน เขาเดินตรงมายังโต๊ะที่นีลนั่งอยู่เหมือนมาตามนัดหมาย นั่งลง ไขว้ขา และถือวิสาสะจ้อง

“ชุดสวยดีนี่” นีลพับหน้าจอโน้ตบุ๊ค แม้เส้นตายจะจี้เข้ามาใกล้เพียงใดวิทยานิพนธ์ก็รอได้เสมอ “ต้องการให้ช่วยอะไรไหม”

ริมฝีปากของชายตรงหน้าขยับเล็กน้อยราวกับจะยิ้ม “มีคนแนะนำมาว่าถ้าอยากได้คนนำเที่ยวลอนดอนให้มาหานาย”

“ใครคนนั้นคงตกข่าว ช่วงนี้ผมไม่รับงานนำเที่ยว” นีลตอบ พวกเขาเงียบลงพร้อมกันเมื่อพนักงานของร้านเดินมาถามว่าต้องการสั่งเครื่องดื่มเพิ่มไหม

“ไดเอทโค้กกับวอดก้าโทนิค”

พนักงานสาวขยับยิ้มแปร่ง “เราไม่จำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์นะคะ”

นีลหันไปหัวเราะอีกทาง อีกฝ่ายไม่รู้ตัวเลยหรือว่าที่นั่งอยู่นี้คือร้านกาแฟ

“ความเคยชินน่ะ” เขากล่าว ทำหน้าขอโทษขอโพยอย่างขอไปที นีลมองสายตาของเขาแล้วหยุดคิด เมื่อพนักงานเดินจากไปแล้วจึงเอ่ยถาม

“ทำไมถึงเป็นวอดก้าโทนิค”

อีกฝ่ายเลิกคิ้ว สีหน้าคล้ายกล่าวว่ามันคือความจริงสากลของจักรวาล แต่คำพูดกลับเป็น “เดาว่านายน่าจะชอบ”

และนั่นคือความจริง แต่เป็นความจริงก่อนที่เขาจะเริ่มทำงานในองค์กรที่มีสินทรัพย์เป็นความลับกับความตาย

“คุณศึกษามาดีนะ” ซึ่งเป็นปกติของเจ้าหน้าที่ทุกคน ต้องตรวจสอบประวัติก่อนเข้าหา ต้องระมัดระวัง รอบคอบ แต่นีลไม่ได้มองข้ามความเคยชิน “เสียดายที่ผมเลิกดื่มแล้ว”

ชั่วแวบหนึ่งของความประหลาดใจผ่านไปเร็วกว่าการกะพริบตา “แสดงถึงความเป็นมืออาชีพ” เขาว่าอย่างยอมรับนับถือ สวนทางกับรายละเอียดเล็กน้อยที่อยู่บนมือ บนคิ้ว บนไหล่ที่เกร็งขึ้นเหมือนรอคอย เหมือนคาดหวัง

นีลเอียงศีรษะ “คุณคิดอย่างนั้นเหรอ จะดีเหรอที่คนในตำแหน่งนี้เป็นพวกคออ่อน”

“พอกลับไปลงภาคสนามอีกครั้งอาการนี้ก็คงหายเอง มันต้องใช้ลูกบ้ามากกว่าใช้สติ”

ประโยคนี้เรียกเสียงหัวเราะ “ให้ผมแนะนำคนอื่นกับคุณเถอะ อย่างที่บอก ช่วงนี้พักงานบริษัททัวร์ชั่วคราว ผมไม่มีข้อมูลอะไรทั้งนั้น”

นีลยิ้มกว้าง โบกมือสองข้างให้เห็นว่าไม่ได้ถืออะไรอยู่เลยนอกจากโน้ตบุ๊คกับหนังสือเรียนหนาเตอะ รอจนพนักงานวางไดเอทโค้กลงแล้วถอยออกไปจึงพูดต่อ

“ที่จริงแล้ว ลอนดอนมีคนชำนาญเส้นทางมากกว่าผมอีกเยอะนะ คุณติดต่อผ่านใครถึงมาจบที่ทางตันอย่างผมได้”

“ไม่สำคัญหรอก” เขาพูด “ฉันแค่ต้องการคนสะเดาะกลอนเก่ง ๆ สักคนมาร่วมงาน”

นีลชะงัก “สะเดาะกลอน?”

“และจบปริญญาโทฟิสิกส์”

“เงื่อนไขนี้แปลก ๆ นะ และบังเอิญเหลือเกินที่ผมเกือบเข้าเกณฑ์นั้นทั้งหมด” นีลถอนหายใจ ยังมีอีกหลายด่านต้องฝ่าฟันเพื่อที่จะสำเร็จการศึกษา

“เวลาไม่ใช่ปัญหา ฉันรอได้” อีกฝ่ายกล่าวทันควัน

“ด้วยเหตุผลเดียวกับที่คุณรอหนึ่งสัปดาห์ถึงติดต่อมาหรือเปล่า”

คำพูดนี้เหมือนปลดสลักบางอย่าง อารมณ์ของชายคนนั้นเปลี่ยนไป แต่นีลบอกไม่ได้ว่าความแตกต่างนั้นอยู่ตรงไหน มันล่องลอย เบาบางเสมือนควันในอากาศ

“คุณเข้าไปทำอะไรที่หอสมุด” นีลถาม

“ฉันไม่ได้ตั้งใจไปเจอนาย”

“เรื่องนั้นคุณแสดงออกไว้ชัดเจนมาก”

“เป็นความผิดพลาดของฉันเอง” คนตรงข้ามกัดฟัน โกรธใครสักคนที่ไม่ได้อยู่ที่นี่ “ฉันไม่ควรผ่านไปในเวลานั้นเลย”

“...คนทั่วไปไม่อยู่ถึงเวลานั้นกันหรอก” นีลไม่แน่ใจว่าพวกเขาพูดเรื่องเดียวกัน

ความสงสัยของเขาได้รับการยืนยัน เมื่ออีกฝ่ายยิ้มตอบ รอยยิ้มบางเบาไร้ความยินดีที่ดึงเอาน้ำหนักในใจคนมองไปจนมันกลวงเปล่า

“ใช่ น่าเจ็บใจชะมัดที่นายเป็นฝ่ายถูกตลอด” เขาบอก

แต่ในน้ำเสียงมีมากเกินกว่าความเจ็บใจธรรมดา นีลไม่ได้ถามว่าเรื่องที่ถูกต้องนั้นคืออะไร





2


กลางเดือนเมษายนของมุมไบอากาศร้อนจัด นีลอยากเดินพ้นจากตลาดที่เบียดเสียดไปด้วยผู้คนให้เร็วที่สุด แต่ใครคนนั้นร้องเรียกเขา หยุดเขาไว้ก่อนดึงแขนพาไปหน้าแผงขายเครื่องประดับ

“คุณสนใจของพวกนี้ด้วยเหรอ” นีลว่าติดตลก แต่หยุดลงเมื่อเห็นสีหน้าเรียบเฉยของอีกฝ่ายยามจ้องมองของชิ้นหนึ่ง

เขาหยิบมันขึ้นมายัดใส่มือนีลแล้วจ่ายเงิน ไม่พูดอะไรสักคำจนกระทั่งกลับมาถึงโรงแรม

“นี่คืออะไร” นีลชูของในมือ ด้ายสีแดงพันรอบเหรียญทองเหลือง คล้ายพวงกุญแจ

“เครื่องราง” เขาบอก น้ำเสียงหงุดหงิด

นีลยักไหล่ ไม่เก็บมาใส่ใจ เคยชินเสียแล้วกับอารมณ์โกรธอันไม่ทราบที่มา บางทีมันอาจมาจากอดีต มันต้องมาจากอดีตแน่ ยังมีอะไรอีกมากที่เขาไม่ยอมบอก และนีลไม่อยากรบเร้าเพราะรู้ว่าบางเรื่องยังไม่ถึงเวลาที่สมควรจะเปิดเผย

นีลพันด้ายสีแดงกับกระเป๋าใบโปรดที่เขาสะพายไปไหนมาไหนด้วยตลอด เสียงจากนาฬิกาข้อมือดังเตือน นีลมองเวลาแล้วเอ่ย “ผมต้องไปแล้ว”

ไม่มีเสียงตอบกลับ นีลเหลียวหน้าไปทางคนที่ยืนกอดอกไม่พูดไม่จาอย่างหน่ายใจ สังเกตเห็นมาตั้งแต่ครั้งแรกที่ปฏิบัติภารกิจร่วมกันแล้ว คน ๆ นี้ไม่ชอบเวลาเขาออกไปทำงาน โดยเฉพาะงานที่ต้องแยกกัน

นีลคล้องสายหน้ากากออกซิเจนไว้ที่คอ “มีคำแนะนำเกี่ยวกับตัวคุณเองในอดีตไหม”

เขาหันกลับมา ดวงตาเคร่งเครียด แทบไม่เคยปรากฏอารมณ์ขัน แต่เมื่อมันเคลื่อนลงไปมองอะไรบางอย่างบนกระเป๋าสะพาย สายตาก็อ่อนลง

“อดทนกับเขาหน่อย”

นีลหัวเราะ “คุณคิดว่าทุกวันนี้ผมทำอะไรอยู่เหรอ คุณเป็นเพื่อนร่วมงานที่แย่มากรู้ตัวหรือเปล่า”

“งั้นนายจะไม่เป็นไร เพราะฉันแย่กว่าเขามาก”

“แต่ก็ยังไม่มากพอที่จะไล่ผมไปไหนได้” กล่าวพร้อมส่งยิ้ม แต่รอยยิ้มนั้นแสนสั้น

มุกตลกที่ตั้งใจให้ขบขันกลายเป็นฝืดเฝื่อน เมื่อใครคนนั้นไม่หัวเราะ แต่กลับมองด้วยสายตาแบบอื่น แบบที่เขาคิดว่านีลไม่เห็นว่าเขาทำทุกครั้งที่เดินผ่านกระจก ขณะที่นีลมองเงาตัวเองเดินย้อนมาหาปัจจุบัน 

ในเวลาเดียวกันที่ดวงตาคู่หนึ่งมองส่งตามหลัง ดวงตาคู่นั้นก็รอรับเขาอยู่ในอดีต

ความรู้สึกหนักอึ้งกลับมาล่องลอยระหว่างพวกเขาอีกครั้ง

“ในเวลาที่คุณอยู่ ผมเป็นยังไง” นีลถาม

เพราะหากปล่อยต่อไป ทุกอย่างจะยิ่งจม ไม่ใช่นิสัยของเขาเลยที่จะรบเร้าเอาความ แต่ปล่อยไว้ไม่ได้อีกแล้ว นีลไม่อยากทิ้งใครคนหนึ่งไว้กับดวงตาแบบนั้นอีกแล้ว

“ผมไม่ได้กลับไปใช่หรือเปล่า”

หลบสายตา นับลมหายใจ “ฉันไม่รู้”

“จริงเหรอ”

“ไม่มีใครเห็นศพ”

“แต่คุณเห็น”

“ฉันเห็นนายโดนยิง แต่ไม่ได้อยู่ดูว่านายยัง…” เขาหันไปอีกทาง สูดหายใจ

ความเงียบตกลงในห้องเหมือนสายฝน ไม่มีใครทราบถึงความตายแล้วจะยิ้มออก นีลไม่ใช่ข้อยกเว้น แต่แทนที่มันจะสะเทือนความรู้สึก เขากลับนิ่งสงบ มือจับเหรียญอย่างไม่รู้ตัว ถูไปมาเพื่อหาประกายไฟ

“มันเกิดขึ้นแล้ว” นีลพูด “ทำอะไรไม่ได้แล้วล่ะ”





1


ครั้งสุดท้ายที่นีลต้องเดินสวนกระแสเวลา อากาศของออสโลแจ่มใสมาก

แต่ใครคนนั้นเป็นทุกอย่างที่อยู่ตรงกันข้าม เขาลุกลน ไม่ยอมหยุดหาวิธีเปลี่ยนแปลงเวลา หาหนทางที่ตัวเองจะตามไปได้ทัน นีลเห็นมือของเขาสั่น มันไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนกระทั่งในวินาทีที่เขาเฉียดใกล้ความตาย

“ไม่เอาน่า ผมกำลังจะไปแล้ว คุณจะบอกลากันด้วยการทำตัวยุ่งจนถึงนาทีสุดท้ายเหรอ”

เขาหยุดตามที่ร้องขอ สัญญาณทุกอย่างบนตัวของเขาแสดงถึงความอลหม่าน ความเยือกเย็นบนใบหน้าแตกพร่า อะไรบางอย่างกำลังพังทลาย

“อย่าไป”

แสนสั้นและง่ายดาย

แต่ต้องใช้ความพยายามเพียงใดในการพูดมันออกมา ต้องใช้ความพยายามขนาดไหนเพื่อจะปฏิเสธมัน

สำหรับนีล มันช่างง่ายดาย

นีลส่ายหน้า “อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด คุณสอนผมเอง หน้าที่ของเราคือทำให้เวลาเดินหน้าต่อไป”

“ฉันบอกนายแบบนั้นเพราะนายแสดงให้ฉันเห็น”

“ซึ่งก็แสดงว่าทุกอย่างสมเหตุสมผลกัน” นีลกระชับกระเป๋าสะพาย อ้าแขนสองข้าง “มานี่มา”

แต่เขาไม่ขยับ “ฉันไม่ได้ทำทั้งหมดนี้เพื่อให้นายกลับไปตาย”

“ไม่เหรอ” นีลพูด ลดแขนลง แต่เมื่อความคิดไล่ตามทัน ชายหนุ่มกะพริบตา “คุณไม่ได้สร้างเทเนทเพื่อคงสภาพเวลา”

ความเงียบทิ้งตัวลงมาอีกหนึ่งอึดใจ

อีกฝ่ายพยักหน้าช้า ๆ ดวงตากร้าว ยืนหยัด หรืออาจเรียกได้ว่าดันทุรัง “ฉันไม่รู้ว่านายตายไปจริง ๆ หรือเปล่า ไม่มีใครเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากนั้น”

“ที่นั่นโดนระเบิด ต่อให้ยังมีลมหายใจผมก็หนีออกมาไม่ทันหรอก”

“ไม่มีใครรู้เรื่องนั้น”

นีลยิ้มบาง “ผมไม่ใช่แมวของชโรดิงเจอร์”

“ฉันไม่ได้บอกว่านายเป็น แมวควรจะมีเก้าชีวิต ไม่ใช่มีโอกาสรอดแค่ห้าสิบเปอร์เซ็นต์”

“คุณอ่านมาเหรอ” นีลประทับใจ

“ฉันทำงานกับคนที่จบปริญญาโทฟิสิกส์และยังชอบดื่มระหว่างงาน ฉันต้องหาความรู้เพิ่มเติมเพื่อลดความเสี่ยง”

“ไหนบอกว่างานประเภทนี้ใช้ลูกบ้ามากกว่าใช้สติ” นีลหัวเราะ

และเขาคนนั้นก็ยิ้ม

นีลรู้สึกโล่งอก ไม่อยากจากไปขณะฟ้ายังครึ้มฝน ในที่สุดพระอาทิตย์ที่ส่องสว่างผ่านเมฆหมอกเสียที

แต่ตราบใดที่เหนือท้องฟ้ายังมีเมฆ เงาก็จะอยู่ตรงนั้น เขาใช้ดวงตาแบบนั้นอีกแล้ว แบบที่ทำให้นีลไม่อยากจากไปไหน

แต่นีลต้องไป ต้องการที่จะไป เรื่องทั้งหมดนี้เกิดขึ้นแล้ว และคนที่คอยอยู่เคียงข้างเขาทั้งในอดีตและอนาคตก็รู้ดีกว่าใคร

นีลเดินเข้าไปหาเขา ดึงตัวเข้ามากอด กระซิบว่าไม่เป็นไร

“ฉันเสียนายไปสองครั้ง” เขาเอ่ยแผ่วเบา

“แต่ผมจะได้ช่วยคุณสองครั้ง” นีลตอบ บอกอีกครั้งว่าไม่เป็นไร

ที่ผ่านมาผมมีความสุขมาก





0


คุณไม่ได้ตั้งใจมาพบเขา คุณแค่มาตามหาข้อมูล ตามหาความรู้ที่คุณบกพร่อง คุณตั้งใจว่าจะกันเขาออกจากเรื่องทั้งหมดนี้ แต่เมื่อเขามาปรากฏตัวต่อหน้า ในสภาพอันไม่คาดคิด คุณหลุดยิ้ม มองเขาขึ้นลง ตกอยู่ในห้วงนาทีของการเพิกเฉยความจริงไปชั่วครั้งชั่วคราว

แต่สุดท้ายเวลาก็ไล่ตามทัน ความสุขหายไป แทนที่ด้วยความสิ้นหวัง คุณเดินสะดุด ทำชั้นหนังสือล้ม ทุกอย่างกระจัดกระจาย ความตั้งใจเดิมล้มเหลว

เสียงลูกกรงเหล็ก เสียงปืน ทุกอย่างอื้ออึงก้องสองหู

เราไม่ควรพบกันเลย

ขอโทษ คุณกล่าว ทั้งที่รู้ว่าคำพูดนี้มีเพียงคนเดียวที่เข้าใจความหมาย และสุดท้ายก็จะสลายหายไปในอดีต


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น