วันอาทิตย์ที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2566

[MHA] Hit the ground running (Bakugou/Midoriya)


Hit the ground running

My Hero Academia

— Bakugou Katsuki / Midoriya Izuku —

Warning : Unhealthy Relationship

Summary : ภายหลังการกักบริเวณ ความสัมพันธ์ระหว่างบาคุโกกับมิโดริยะคล้ายจะเปลี่ยนไป




ภายหลังการกักบริเวณ ความสัมพันธ์ระหว่างบาคุโกกับมิโดริยะคล้ายจะเปลี่ยนไป

ใช่ว่าเรื่องทำนองนี้จะจับสังเกตง่าย ยิ่งเมื่อต้องมองให้ลึกกว่าเสียงเอ็ดตะโรของมือระเบิดกับท่าทางสั่นผวาของเดกุ ความคิดแวบแรกที่ฉายเข้ามาในสมองมักเป็นเช่นว่า เจ้าอันธพาลจอมจองหองรังแกเพื่อนสมัยเด็กอีกแล้ว ไม่มีใครเข้าใจความคิดบาคุโกว่าทำไมจึงไม่ชอบมิโดริยะ และไม่มีใครเข้าใจว่าโดนรังเกียจถึงขนาดนั้นแล้วทำไมมิโดริยะยังขานเรียกบาคุโกอย่างสนิทสนม

“จะเรียกว่าเพื่อนได้หรือเปล่านะ” มิโดริยะ อิสึกุ ยกมือเกาแก้ม ดวงตาสีเขียวอับแสงลง ไม่ใช่ด้วยเศร้าสลดแต่เป็นอาการแรกเริ่มเมื่อใกล้ตกสู่ภวังค์ ท่าทางนี้กระตุ้นความระแวงของเพื่อนร่วมโต๊ะผู้รอคอยคำตอบว่าสิ่งที่ออกจากปากจะกลายเป็นคำพูดขมุบขมิบชวนขนลุกหรือเปล่า ทว่าโจทย์นี้คงไม่ยากเย็นถึงขั้นต้องขบคิดในโลกส่วนตัว ดวงตามิโดริยะจึงคืนประกายแล้วกลับมาสบคู่สนทนาดังเดิม “ถึงอยู่ห้องเดียวกันมาตั้งแต่อนุบาล พวกเราก็ไม่ได้สนิทกันขนาดนั้นนะครับ”

“อา เข้าใจล่ะ” อิดะวางตะเกียบบนถ้วยที่ไม่เหลือข้าวสักเม็ด เขาดันแว่นตาขึ้น “พวกนายคงเป็นแบบนั้นสินะ เพื่อนร่วมชั้นประเภทที่ไม่ค่อยคุยกัน เรียกว่าสนิทไม่ได้ แต่ก็ไม่ถึงกับเป็นคนแปลกหน้าเพราะสถานการณ์บีบบังคับให้อยู่ใกล้กันตลอด”

มิโดริยะหัวเราะเสียงแห้ง ไม่ตอบรับหรือปฏิเสธ เป็นความจริงที่ว่าพวกเขาคุยกันอย่างสันติน้อยครั้งเหลือเกิน ส่วนใหญ่มีแต่คำทะเลาะแดกดัน จะเอาเวลาไหนมาทำความเข้าใจกันได้

โทโดโรกิที่นั่งข้างกันกลับเห็นต่าง “บาคุโกฉันไม่รู้ แต่กับนาย ฉันว่านายมองเขาเป็นคู่แข่งมากกว่า”

“คาบแรกที่จับคู่แข่งกันนายก็พูดอะไรทำนองนั้นอยู่นี่นะ ประมาณว่าชื่นชมเลยอยากเอาชนะ” อิดะลูบคาง “เป็นความสัมพันธ์ที่เข้าใจยากซะจริง”

“ไม่เข้าใจความรู้สึกชื่นชมแบบนั้นเหมือนกัน แต่ถ้าเป็นการแข่งขันเพื่อให้เหนือกว่าก็นับว่าเป็นเรื่องดี ไม่มีอะไรดีไปกว่าการมีคู่แข่งที่ช่วยขัดเกลาและพัฒนาฝีมือไปด้วยกันอยู่แล้ว” โทโดโรกิพยักหน้ากับตัวเอง

แล้วมิโดริยะจะเอ่ยอะไรได้นอกจากยิ้มรับ

เด็กหนุ่มตั้งใจจะเปลี่ยนหัวข้อโดยการหันไปชวนคุยเรื่องสถานที่ฝึกงานรอบถัดไปกับอุรารากะ แต่เธอกำลังก้มหน้าทานอาหารอย่างตั้งใจ มิโดริยะจึงหันกลับไปหาอิดะที่นั่งอยู่ตรงข้ามแทน

ในใจของอุรารากะนั้นกลับได้ข้อสรุปที่ต่างจากอีกสองคนอย่างสิ้นเชิง

ในโลกที่เต็มไปด้วยความหลากหลาย ยังมีคนส่วนหนึ่งที่ไวต่อเรื่องของความรู้สึกมากกว่าใคร โดยเฉพาะความรู้สึกที่มุ่งมายังผู้ที่คนกลุ่มนั้นให้ความสนใจ ช่วงแรกของการเปิดเทอม อุรารากะไม่มีความเห็นใดเป็นพิเศษต่อบาคุโก เขาเป็นแค่คนเจ้าอารมณ์ที่เก่งกาจ ยามต้องขึ้นสนามประลองเพื่อต่อสู้ เธออาจรู้สึกกลัวเขาจับใจ แต่หลังจากนั้นอุรารากะรู้สึกนับถือ บาคุโกไม่ยั้งมือเลยสักนิดเดียว เขาใส่พลังเต็มเหนี่ยว นั่นไม่เพียงแค่เพราะต้องการชัยชนะ แต่เพราะเขาเห็นเธอเป็นคู่ต่อสู้จริง ๆ ไม่ใช่แค่เด็กสาวอ่อนแอไร้ฝีมือที่มีอัตลักษณ์แสนธรรมดา

ดังนั้นเธอจึงไม่เข้าใจว่าทำไมบาคุโกต้องคอยตอกย้ำว่ามิโดริยะต่ำต้อยกว่าเขาทุกทางด้วย

มิโดริยะมีสิ่งที่ฮีโร่ไม่สมควรขาดอย่างที่สุด เขาฉลาด ช่างสังเกตและเจ้าแผนการ แม้อัตลักษณ์จะสร้างความลำบากให้กับเขา แต่มิโดริยะก็พัฒนาขึ้นแล้ว ทำไมถึงไม่มองเขาเหมือนคู่ต่อสู้คนอื่นล่ะ อุรารากะเคยคิดเข้าข้างเพื่อนของเธอว่าเพราะบาคุโกมีนิสัยอย่างนั้นเอง เขาชอบรังแกคนที่อ่อนด้อยกว่า

แต่คนที่ฝีมืออ่อนกว่าบาคุโก นับเอาในห้อง A ก็แทบทั้งชั้นแล้ว ทำไมต้องเจาะจงหาเรื่องกับมิโดริยะด้วย

พอใช้เวลาร่วมกับมิโดริยะนานเข้า อุรารากะก็มองออก

เพื่อนทุกคนต่างคิดว่ามิโดริยะเป็นผู้ถูกกระทำอยู่ฝ่ายคนเดียว แต่นั่นเป็นความเข้าใจที่ผิดถนัด

หากมองอย่างละเอียดถี่ถ้วนสักหน่อย จะเห็นว่าสายตาของมิโดริยะไม่ได้ยอมลดราวาศอกเลย แม้หลบเลี่ยงการเผชิญหน้ากับบาคุโกตรง ๆ แม้น้ำเสียงจะสั่นไหว แต่ความนัยของการไม่ยินยอมนั้นคุโชนเสียแทบแผดเผาสายตาคนมอง และชื่อเรียกคัตจังนั้นก็ดูคล้ายมีความหมายมากกว่าการเรียกหาอย่างสนิทสนม

เหมือนกับการที่บาคุโกเรียกมิโดริยะว่าเดกุนั่นแหละ

ชื่อเล่นที่เรียกเพราะเกลียด ชื่อเล่นที่ใช้เพื่อยั่วยุ

สิ่งเหล่านี้อาจไม่สามารถเห็นได้ในชั่วขณะแรก แต่เมื่อใช้เวลานานพอ ความซับซ้อนก็ค่อย ๆ คลี่คลายและเผยเนื้อแท้ให้เห็น

เป็นเนื้อแท้ที่ชวนปวดเศียรเวียนเกล้าทีเดียว

“สองคนนั้นดูเปลี่ยนไปนะ” ไอซาวะ โชโตะ ยืนอยู่ใต้เงาร่มไม้ ห่างออกมาจากสนามประลองรูปแบบเมืองร้างกลางทะเลสาบ ตาปรือมองสองนักเรียนเจ้าปัญหารับมือกับคู่ต่อสู้ — อาซุย ซึยุ กับ อิดะ เทนยะ ไม่ได้มีอัตลักษณ์ที่เปล่งพลังโจมตีรุนแรง แต่เมื่อทดแทนด้วยมันสมองและความสามารถระดับสูงในการประสานงานแล้วก็ยังจัดได้ว่าเป็นคู่ต่อสู้ที่รับมือยากพอดู

ไอซาวะคิดว่าคงต้องมีการแลกฝีปากและกำปั้นกันสักสองสามยกเสียอีกกว่าบาคุโกกับมิโดริยะจะทำงานร่วมกันได้ และคงต้องล้มลุกคลุกคลานไม่น้อยเพื่อฉวยความได้เปรียบจากอีกฝั่ง แต่ภาพที่เห็นตอนนี้ชวนตะลึงเกินไป เหตุการณ์กลับตาลปัตรผิดจากที่คาดเดาไปไกลโข

“วิธีกักบริเวณใช้ได้ผลดีขนาดนี้เลยเหรอ รู้อย่างนี้คงทำไปตั้งนานแล้ว” อีเรเซอร์เฮดพึมพำกับตัวเอง

ออลไมต์ยืนยิ้มทั้งหน้าซีดเซียวและน้ำท่วมปาก ไม่อาจยืดอกรับได้ว่าบทลงโทษนั้นประสบผล ทีแรกเขาก็คิดว่าเจ้าหนุ่มทั้งสองคงปรับความเข้าใจกันได้อยู่หรอก หลังจากรู้ที่มาของพลังและคำยืนยันจากเขาเองว่าที่สูญเสียพลังไปไม่ใช่ความผิดของเจ้าหนุ่มบาคุโก บรรยากาศซึ่งสมควรจะดีขึ้นระหว่างทั้งสองกลับยังมึนตึงเช่นเดิม

ฝั่งหนึ่งเกรี้ยวกราดเจ้าอารมณ์ ฝั่งหนึ่งกริ่งเกรงแต่ต่อปากต่อคำไม่ถอย ฉะนั้นตรงไหนกันที่เรียกว่ามีพัฒนาการที่ดีขึ้น?

ออลไมต์เกาหัวแก้เก้อ “ฉันว่าสองคนนั้นก็ยังไม่ลงรอยกันอยู่ดีนะ”

“ล้อเล่นหรือเปล่า” ไอซาวะกล่าวเนือย ๆ “ใครอยากให้เจ้าสองคนนั้นจับมือสู้อย่างหวานชื่นกันล่ะ ฉันอยากให้พวกนั้นทำงานร่วมกันได้ต่างหาก”

ทำงานร่วมกันได้หรือ ออลไมต์หันกลับไปมองการต่อสู้และนึกถึงสิ่งที่ตัวเองวาดฝัน

คนหนึ่งต้องการชัยชนะ คนหนึ่งต้องการช่วยเหลือ หากร่วมมือกันเป็นหนึ่งเดียว นั่นเท่ากับฮีโร่ในอุดมคติของเขา ความปรารถนาที่แตกต่างอาจทำให้ต้องปะทะกันบ่อยครั้ง แต่ถ้าประนีประนอมกันได้…

ออลไมต์ทอดถอนใจ ทั้งประชื่นชม ทั้งระอา

เอ่ยถึงพัฒนาการด้านความสัมพันธ์อย่าถามหาความคืบหน้า แต่ถ้าเป็นเรื่องความเปลี่ยนแปลงนั้นมันเกิดขึ้นจริงแล้ว

ในสนามประลอง คู่ดาวเด่นที่เป็นทั้งคู่อริประจำห้อง A ไม่มีขยับปากใช้วาจาโต้ตอบกันเลย และไม่เหมือนกับเมื่อครั้งการสอบปลายภาค พวกเขาไม่ได้แยกกันทำงานหรือแตกคอเรื่องวิธีการอีกแล้ว

สองคนนั้นแอบไปนั่งวางแผนกันมาหรือ ทำไมถึงไม่เห็นเลย เพื่อนทั้งห้องต่างครุ่นคิด และได้ข้อสรุปหนึ่งเหมือนกันโดยไม่นัดหมาย

หมดแล้วสงครามซึ่งหน้า ต่อจากนี้คงเป็นสงครามเย็น

อาซุย ซึยุ กะพริบตาปริบมองคู่ต่อสู้ด้วยความประหลาดใจ เธอคอยสนับสนุนอิดะอย่างเต็มที่แล้ว แต่แผนการทั้งหลายถูกมองออกอย่างง่ายดาย บาคุโกแสดงให้เห็นอีกครั้งว่าภายใต้บุคลิกราวภูเขาไฟปะทุนั้นซ่อนมันสมองอันเฉียบแหลมอยู่ แต่ที่คาดไม่ถึงที่สุดคงเป็นความเข้าขากันได้ดีอย่างเหลือเชื่อของเขากับมิโดริยะ 

คนหนึ่งหาจุดอ่อน สร้างโอกาสเฉพาะหน้า คนหนึ่งคิดตามแล้ววางแผนสอดรับ หากไม่รู้มาก่อนว่าสองคนนี้มองหน้ากันไม่ติดขนาดไหน เธอคงคิดว่าทั้งคู่เป็นคู่หูที่รู้ใจกันมาหลายปีแล้วด้วยซ้ำ!

“ไปฝึกด้วยกันมาตั้งแต่เมื่อไหร่คะเนี่ย” อาซุยเอ่ยถามแทนใจเพื่อนทั้งห้องที่มองฉากต่อสู้ทั้งปากอ้าตาค้าง

“ฮึ!” บาคุโกวาดแขนมาข้างหน้า ฝ่ามือลั่นเสียงสะเก็ดไฟ ไอร้อนฉ่าแผ่เข้าใกล้จนแสบผิว “ใครจะไปฝึกกับไอ้กากเดกุนั่น! ฝีมือห่วยแตกอย่างนั้น เสียเวลา!”

เสียงกัมปนาทดังเสียจนแก้วหูอึงอล อาซุยเกือบหลบวิถีระเบิดไม่พ้น เธอเหลียวหน้ามองหาอิดะ และพบว่าอีกฝ่ายถูกพลังงานสีดำประหลาดซึ่งเป็นอัตลักษณ์ใหม่ของมิโดริยะพันเป็นมัมมี่ไปแล้ว

“มองไปทางไหนกัน!”

เสียงตะโกนทำให้เธอรีบกระโดดหนีลงน้ำ ปล่อยให้การจู่โจมของบาคุโกเสียเปล่า ระเบิดซากอาคารจนร่วงตก สร้างคลื่นน้ำผลักให้เธอว่ายกลับไปหามิโดริยะจากด้านหลัง

เมื่ออยู่ใต้น้ำความเร็วของเธอเทียบได้กับจรวด อาซุยพุ่งปราดเพียงอึดใจเดียวก่อนกระโดดใช้ลิ้นจู่โจม และในวินาทีที่โผล่พ้นน้ำก็ใช้อัตลักษณ์เปลี่ยนอุณหภูมิให้ร่างของตนล่องหน ในระยะประชิดเช่นนี้ มิโดริยะไม่มีทางพลบพ้น

แต่ดวงตาสีเขียวเจิดจ้าที่เหลือบมองมาอย่างฉับพลันทำให้เธอต้องหยุดหายใจ

น้อยครั้งเหลือเกินที่อาซุยจะแสดงออกทางสีหน้า เวลานี้เธอรู้ตัวดีว่าหากไม่ได้ล่องหนอยู่คงเผยความกลัวในใจไปจนหมด

เสี้ยววินาทีที่ปลอบตัวเองว่าไม่เป็นไร ถ้าโจมตีไม่โดนก็สามารถช่วยอิดะได้ สถานการณ์ก็พลิกกลับอีกครั้ง

มิโดริยะไม่หลบ

เขาเอี้ยวตัวตวัดขาเตะ ปัดลิ้นที่ทำหน้าที่ดังสายแส้ของเธอไปอีกด้าน

ถัดจากนั้นอาซุยจึงเพิ่งรู้สึกตัวว่าอุณหภูมิบริเวณนี้ร้อนผิดปกติ

อาซุยเบิกตากว้าง ตัวโผปลิวอย่างไม่อาจควบคุม แรงเตะจากมิโดริยะส่งเธอเข้าหาฝ่ามือปะทุกลิ่นดินปืนที่รอท่าไว้อยู่แล้ว

ระเบิดก่อนหน้านั้นของบาคุโกไม่ใช่การจู่โจม แต่เป็นการผลักตัวเองให้กลับมาหามิโดริยะ!

เสียงระเบิดดังกึกก้อง ไม่ต้องรอให้ฝุ่นและเถ้าจางลงก็รู้แล้วว่าคู่ไหนเป็นฝ่ายชนะ

ชนะในเวลาไม่ถึงแปดนาที!

ห้องมอนิเตอร์เงียบกริบ สีหน้าของนักเรียนที่เหลือทั้งตระหนก หวาดกลัว และตื่นเต้น อารมณ์สามอย่างนี้ผสมปนเปกันจนยากจะแยกออกถึงความรู้สึกที่ชัดเจน

บาคุโกรู้ว่าอาซุยจะวกกลับมาทางมิโดริยะเพราะสังเกตเห็นการกวาดตามองของเธอ แต่มิโดริยะรู้ได้ยังไงว่าอาซุยกำลังจ้องเล่นงานเขา ที่สำคัญกว่านั้น รู้ได้ยังไงว่าบาคุโกจะย้อนกลับมาทัน และกลับมาทางซ้ายมือ

“บาคุโกถนัดขวาไม่ใช่เหรอ” จิโร่ เคียวกะ เกี่ยวสายหูฟังของตัวเองเล่นทั้งสีหน้าเคร่งเครียดผิดจากยามปกติ เธอเคยเห็นบาคุโกจับไม้ตีกลอง เคยร่วมทีมแข่งระหว่างห้องจึงรู้ความถนัดของอีกฝ่ายเป็นอย่างดี

มิโดริยะก็รู้เรื่องนี้ดีเช่นกัน และอาจดีกว่าใครทั้งหมด

มีสัญญาณอะไรอีกที่บอกได้ว่าบาคุโกมาจากด้านนั้น

“อุณหภูมิหรือเปล่า” โทโดโรกิพูด “พลังของบาคุโกสูงกว่าแต่ก่อนมาก มิโดริยะอาจรู้สึกถึงความร้อนที่ใกล้เข้ามา”

“ถ้าเป็นอย่างนั้นซึยุต้องรู้ก่อนสิ เธอต้องเปลี่ยนอุณหภูมิเพื่อล่องหนนะ และเธอเพิ่งขึ้นจากน้ำด้วย เป็นไปไม่ได้ถ้าหากอุณหภูมิต่างกันขนาดนั้นแล้วจะไม่รู้สึก”

“พวกเราอาจมองผิดมุมก็ได้” อุรารากะเอ่ย

สายตาทุกคู่หันมาทางเธอ ทว่าอุรารากะยังจ้องจอมอนิเตอร์ที่จับภาพลานประลองกลางน้ำไม่วางตา

“ด้วยวิธีการอะไรบางอย่าง เดกุรู้ว่าบาคุโกย้อนกลับมา สาเหตุของการกระทำนี้มีแค่สองอย่าง หากไม่เพราะการต่อสู้ฟากบาคุโกจบแล้วก็คงเป็นการไล่ตามซึยุ แต่ถ้าเขาชนะแล้วก็ไม่จำเป็นต้องใช้แรงระเบิดถีบตัวเองมาอย่างรีบร้อน” อุรารากะเหลียวหน้ากลับมา ดวงตาส่องประกาย มุมปากยกยิ้ม “ส่วนเรื่องที่ว่ารู้ได้ยังไงว่าจะมาจากด้านไหน อาจไม่ใช่เดกุที่รู้ แต่เป็นบาคุโกที่รู้ก็ได้”

“รู้ว่ามิโดริยะถนัดขวาสินะ” คิริชิมะยิ้มกว้างอย่างนึกสนุก “น่าสนใจดีนี่”

สมแล้วที่สนิทกับคนเจ้าแผนการอย่างมิโดริยะ อุรารากะจาระไนการต่อสู้ครั้งนี้ออกมาอย่างละเอียดลออ จนทุกคนรู้สึกหนาว ๆ ร้อน ๆ ไปตามกัน

นักเรียนหลักสูตรฮีโร่แต่ละคนจะธรรมดาได้อย่างไร

ความเงียบโรยตัวลงมาอีกครั้ง ทุกคนตกตะกอนความคิดของตนเงียบ ๆ ก่อนพบข้อสงสัยหนึ่ง

บาคุโกเนี่ยนะจะเป็นฝ่ายปรับตัวเองให้เข้ากับวิธีการสู้ของมิโดริยะ เป็นไปไม่ได้เด็ดขาด! หากเปลี่ยนเป็นปรับตัวเพื่อเอาชนะคู่ต่อสู้สิ ค่อยฟังขึ้นหน่อย!

“ไม่เห็นแปลกเลย” อาโอยามะที่ยืนมุมหนึ่งคนเดียวเท้าเอวพลางสะบัดผมสีบลอนด์จนประกายวิบวับลอยฟุ้ง รอยยิ้มพิลึกตาดูเจิดจ้ากว่าเคย “พวกเขาอยู่ด้วยกันสองต่อสองตั้งสามวันนี่นา คงมีเวลาทำอะไร ๆ ด้วยกันเยอะ”

“ทะ ทำอะไร ๆ ด้วยกัน อย่างนั้นเหรอ...”

“ไม่จริงน่า...”

“พวกนายคิดไปถึงไหนเนี่ย…”

แค่สามวันเพียงพอให้คนที่กินแหนงแคลงใจตั้งแต่สมัยเด็กกลับมาคืนดีกันได้หรือ

แน่นอนว่าเป็นไปไม่ได้

แต่ถ้าสองคนนี้ก้าวข้ามความรู้สึกโกรธเคืองไปได้ จะกลายเป็นคู่หูฮีโร่ที่น่ากลัวขนาดไหน แค่ลองจินตนาการฝ่ามือก็ชื้นเหงื่อแล้ว

ทว่าสุดท้ายจินตนาการก็เป็นได้เพียงปราสาทเมฆที่ไม่อาจแตะต้องต่อไป

เพราะความรู้สึกซับซ้อนคลี่คลายได้แล้วอย่างไร เข้าใจแล้วเป็นเรื่องหนึ่ง จะทำอย่างไรต่อไปก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง

ตลอดสามวันที่อยู่ด้วยกันนี้ แท้จริงแล้วเป็นช่วงเวลาที่น่าอึดอัดมาก

ปกติแค่เห็นหัวสีเข้มฟู ๆ ของเดกุ บาคุโกก็อยากปาระเบิดอัดหน้าแล้ว ยิ่งรู้ว่าเดกุเป็นคนที่ฮีโร่ในดวงใจเลือก ความรู้สึกแผดเผาในอกยิ่งรุนแรง

หลุมดำที่เขาพยายามทำลายด้วยควันไหม้และเปลวไฟนี้ก็ด้วย มันขยายเติบโตขึ้นทุกวัน ถึงขนาดที่บาคุโกเคยคิดว่าสักวันคงต้องถูกมันม้วนกลืน

“มาทำอะไรตรงนี้” บาคุโกเอ่ยเสียงเย็นเมื่อเห็นคนที่ทำให้รู้สึกระคายตา

เดกุชะงักเท้า สายตากลอกไปมา กล่าวอ้ำอึ้ง “ห้องครัวเป็นพื้นที่ส่วนรวมนะ”

บาคุโกขมวดคิ้ว ตาจ้องกินเลือดกินเนื้อ “จะทำอะไรก็รีบทำ!” ตวาดเสร็จ เขาหันหน้าหนีไปทางหน้าต่าง แล้วจัดการสิ่งที่ตัวเองกำลังทำอยู่ต่อ

ยายแก่ห้องพยาบาลไม่ยอมใช้อัตลักษณ์รักษาพวกเขา เธอแค่ดูบาดแผลว่าต้องเย็บหรือไม่ กระดูกหักหรือเปล่าและมีอะไรฝังอยู่ในเนื้อไหม จากนั้นก็โยนกล่องปฐมพยาบาลมาให้ พร้อมกล่าวว่าทำตัวเองก็ต้องจัดการเอง เขาถึงต้องทายาและพันแผลเองอย่างนี้

แต้มสำลีชุบยาบนแขนที่มีรอยฟกช้ำ บาคุโกนิ่วหน้า ท่าเตะของเดกุแรงใช่ย่อย และเหมือนจะแรงกว่าที่ผ่านมา พัฒนาขึ้นอีกแล้วสินะ เขากัดฟันกรอดข่มอารมณ์ มือกดสำลีย้ำลงบนรอยสีม่วงคล้ำ

แต่แล้วข้อมือของเขาก็ถูกยื้อไว้

“ทำอะไรวะ!” บาคุโกปัดมือออก

“นายไม่น่าทำแผลตรงนี้เลย” เดกุไม่สนใจ เขามองรอยช้ำก่อนเลื่อนสายตาขึ้นมาสบตอบ คราวนี้ปราศจากความลังเล “ให้ฉันช่วย”

“ไม่ต้องยุ่ง!”

“แล้วแผลที่หลังจะทำยังไง นายเอื้อมแขนไม่ถึงหรอก”

“นั่นมันเรื่องของฉัน เอาตัวแกเองให้รอดก่อนเถอะ ได้แผลไปเยอะเลยไม่ใช่หรือไง ระวังนะว่าสักวันร่างกายจะพังจนใช้การไม่ได้”

เดกุทำหน้าราวกับคำพูดจุกอยู่ที่คอ “อ้อ” ตอบรับได้คำหนึ่ง ต่อมากลับทิ้งท้ายให้ความเงียบ

เดกุยืนนิ่ง ก้มหน้าลงปล่อยผมปรกตา บาคุโกเลิกคิ้ว เห็นสองมือที่กำแน่นข้างลำตัวแล้วหัวเราะหึ ท่าทางอย่างนี้เดี๋ยวก็คงยอมเลิกราไปเองเหมือนเดิม

แต่การกระทำของเดกุไม่เคยอยู่ในกรอบการคิดคำนวณของเขามาแต่ไหนแต่ไรแล้ว อีกฝ่ายเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้ง สายตาไม่ยอมแพ้ “กลัวเหรอ คัตจัง”

“หา?”

“นายกลัวเหรอ” เดกุถามเสียงจริงจัง “กลัวที่จะตอบรับความช่วยเหลือใช่ไหม”

“ไม่ใช่!”

“ถ้าอย่างนั้นก็ให้ฉันช่วยทำแผล!” เดกุหมดความอดทน เขาตะโกนแข่งเสียงลั่น “เลิกทำตัวงี่เง่าซะที!”

“ฉันไม่จำเป็นต้องให้แกช่วย!”

“แม้แต่ฮีโร่อันดับหนึ่งที่แข็งแกร่งที่สุดยังต้องให้คนอื่นช่วย แล้วนายเป็นใครกัน!”

“เป็นคนที่จะแกร่งกว่าออลไมต์ยังไงล่ะ!!”

“แล้วตอนนี้นายทำได้หรือยัง แข็งแกร่งกว่าออลไมต์น่ะ!” เดกุจ้องมองเขาด้วยสายตาแข็งกร้าวพอกัน ไหล่สองข้างขยับขึ้นลงตามการหอบหายใจ ทว่าน้ำเสียงของเดกุเปลี่ยนไปในประโยคถัดมา “ถ้ายังก็ให้ฉันช่วย...นะ”

บาคุโกกัดฟัน จ้องกลับด้วยสายตาที่แทบเผาไหม้คนถูกมองให้เป็นจุณ น้ำเสียงแบบนี้ สายตาแบบนี้เองที่เขาเกลียดที่สุด

แต่ส่วนลึกในใจแล้วเขารู้ เกลียดแล้วยังไง ไม่ว่าระเบิดทำลายไปเท่าไหร่ เดกุก็ลุกขึ้นมายืนใหม่ได้เสมอ

ปฏิเสธอย่างไรก็ไม่ไป แสดงให้เห็นว่าเขาเหนือกว่าแค่ไหนก็ไม่ยอมแพ้ เป็นหญ้าที่เหยียบย่ำลงไปเท่าไรก็กลับขึ้นมาชูใบเขียวชอุ่มอีกครั้ง

บาคุโกปิดกล่องปฐมพยาบาลเสียงดัง โยนมันใส่เดกุแล้วเดินไปห้องนั่งเล่นไม่พูดไม่จา

แค่การกระทำก็ดังพอแล้ว เดกุลอบอมยิ้ม เดินตามหลังอีกฝ่ายเหมือนที่เคยทำเสมอมา

แผ่นหลังของคน ๆ นี้ ได้มองจนชินชาไปเสียแล้ว แม้พักหลังจะเห็นสีหน้าโกรธขึ้งแยกเขี้ยวมากขึ้นนิด อยู่สุดปลายของฝ่ามือติดระเบิดบ่อยขึ้นหน่อย ทว่าลงท้ายก็ได้แต่มองตามหลัง

อิจฉาความแข็งแกร่ง เกลียดชังที่ถูกเหยียดหยาม แต่ก็หยุดไล่ตามไม่ได้ สำหรับเขา บาคุโกเป็นภาพจำสมบูรณ์แบบของคำว่าที่หนึ่งไปแล้วจริง ๆ เป็นเป้าหมายที่ต้องเอาชนะผ่านไปให้ได้

แต่ถ้าทำได้จริงคงกระอักกระอ่วนน่าดู เดกุเคยเอาชนะได้ด้วยเล่ห์กล แค่นั้นก็ทำให้ตื่นเต้นเสียจนคิดอะไรต่อไม่ออก หากสู้ตัวต่อตัว ทุ่มกำลังและความคิดทั้งหมดแล้วโค่นคน ๆ นี้ลงได้ ตัวเขาจะเป็นยังไงต่อไป…

และคัตจังจะรู้สึกยังไง จะเกลียดชังเขายิ่งกว่าเดิมหรือเปล่า

เดกุนั่งลงบนโซฟายาวถัดจากบาคุโกที่หันหลังให้ “นี่คัตจัง ถอดเสื้อออกหน่อย”

บาคุโกหันกลับมาส่งสายตาอาฆาตก่อนจะจับชายเสื้อกล้ามสีดำแล้วดึงขึ้น

แผ่นหลังที่เต็มไปด้วยรอยช้ำและบาดแผลทั้งเก่าและใหม่ซ้อนทับกันเต็มไปหมดปรากฏต่อสายตา มันคือผลจากการฝึกฝนอย่างหนัก ต่างจากเขาที่เต็มไปด้วยแผลเป็นที่เกิดจากการทำร้ายตัวเอง

บาคุโกไม่มีใครคอยควบคุมดูแล ต้องเรียนรู้พัฒนาฝีมือด้วยตัวเองเกือบทั้งหมด ขณะที่เขาได้รับคำแนะนำและความช่วยเหลือจากใครหลายคน ต่อให้ได้พลังมาช้ากว่า มองยังไงก็รู้สึกว่าไม่ยุติธรรมต่ออีกฝ่ายอยู่ดี

เดกุแตะผิวเนื้อระอุอุ่นด้วยปลายนิ้ว เขารู้มานานแล้ว อุณหภูมิบนร่างของคัตจังร้อนกว่าคนทั่วไปมาตลอด

มือเปิดกล่องปฐมพยาบาล สายตาจดจ่อกับการเตรียมยา ขณะเอ่ยเสียงเบาว่า “ขอโทษนะ คัตจัง”

เงียบไปครู่หนึ่งก่อนได้ยินคำตอบ “ฉันไม่รู้เลยจริง ๆ ว่าแกคิดอะไรอยู่ น่ารำคาญชะมัด” กระนั้นบาคุโกก็ไม่ได้หันกลับมาคาดคั้นที่มาของคำขอโทษ

และเหมือนพายุผ่านพ้นไป แสงแดดส่องสว่างเข้ามา ในหอพักที่มีนักเรียนถูกกักบริเวณสองคนพลันเงียบสงบลงอย่างที่มันควรจะเป็น






อีกด้านหนึ่ง อาโอยามะที่ลืมหวีพกส่วนตัวไว้ที่ห้องกลับมาเห็นภาพที่แสนประหลาดตานี้เข้าพอดี เขาพยักหน้ากับตัวเอง ก่อนหันหลังเดินกลับทางเดิม

ยอมให้เส้นผมนุ่มสลวยมีตำหนิเล็กน้อยสักวันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรเลย


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น