วันพุธที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2565

[Bungou] One last kiss before you sleep six feet under, (Fyodor/Dazai)


One last kiss before you sleep six feet under,

Bungou Stray Dogs

— Fyodor / Dazai —

Warning : Unhealthy Relationship, Graphic Depictions Of Violence, Reference to Mental Instability, Mention of Death, Suicide, Self-harm

Summary : แรงดึงดูดอันไม่อาจเพิกเฉยเรียกฟีโอดอร์ให้กลับมายังโยโกฮาม่าครั้งแล้วครั้งเล่ามีนามว่า…





“ดาไซ” ฟีโอดอร์เรียก ชื่อของเขาแปลกแปร่งยามสะกดบนลิ้น ภาษาต่างถิ่นมักเย็นชาต่อผู้มาเยือนเช่นนี้เอง เล่นตัวดังหนุ่มสาวแรกรุ่น เล่นแง่มุมที่คนนอกไม่ถนัดรับมือ แต่ชื่อดาไซไม่ได้ผลักไสเขา ไม่ได้ขับไล่ แต่ก็มิได้เชื้อเชิญ ฟีโอดอร์แค่ค้นพบว่าชื่อนี้มีเสน่ห์ต้องใจ เหมือนพบเสียงดนตรีที่สามารถสะกดคุณได้ ดนตรีที่คุณชอบไม่จำเป็นต้องเสนาะหูผู้อื่น แค่ว่าตัวมันคือคำตอบของสิ่งที่คุณไม่นึกถาม และมันจะเป็นของคุณแต่เพียงผู้เดียว ดาไซ ดาไซ ดาไซ ฟีโอดอร์เอ่ยชื่อของเขาราวกับบทสวด และเอ่ยต่อไปได้ตลอดกาลหากเจ้าของนามยอมมอบพรแก่เขา

“ดาไซ” ฟีโอดอร์ขยับเข้าไปในช่วงลมหายใจของอีกฝ่าย “ทำไมคุณจึงอยากตาย”

ดาไซเหลียวหน้ามองพร้อมรอยยิ้มน้อย ๆ ที่กล้ำกรายไม่ถึงนัยน์ตา ในหลุมโลกันตร์คู่นั้นเต็มไปด้วยไอสังหาร — เขายังโกรธอยู่ โกรธที่เพื่อนรักของเขาถูกพรากชีวิตไปในแผนสมคบคิดที่ฟีโอดอร์เป็นผู้สร้างขึ้น

เห็นสภาพเยี่ยงอสูรร้ายหมายชีวิตในระยะใกล้ชิดเช่นนี้แล้ว ฟีโอดอร์ก็พบว่าตนจมลึกลงไปในดวงตาคู่นั้นอีกนิด

“แล้วทำไมถึงจะไม่อยากล่ะ” ดาไซไม่ยอมผละถอย ไม่เกรงกลัว “สิ่งที่เรียกว่าชีวิตคู่ควรให้ถนอมรักษาขนาดนั้นเลยหรือ”

“สำหรับคนที่ใครพากันติเตียนว่ามีจิตใจอำมหิตเช่นผม คุณค่าของชีวิตคงไม่ใช่หัวข้อที่สาธยายออกมาให้ใครเชื่อได้”

“แต่คุณก็ยังถาม”

“เพราะผมไม่เข้าใจหลักการของคุณเอาเสียเลยอย่างไรล่ะ ดาไซ” ฟีโอดอร์เสี่ยงประคองมือข้างหนึ่งของดาไซขึ้นมาจุมพิต ริมฝีปากแทบรู้สึกได้ถึงจังหวะกระเพื่อมของหัวใจสองดวงที่สอดรับกัน และเหนือยิ่งกว่านั้นคือความอบอุ่นของชีวิต “คุณบอกว่าชีวิตไร้ค่า แต่กลับพยายามปกป้องพวกมันไว้ กระทั่งเอาตัวเองไปเสี่ยงเพื่อรักษาชีวิตเพื่อนร่วมงาน” ทั้งยังโกรธแค้นแทนอดีตพอร์ตมาเฟียที่เหลือเพียงโครงกระดูกไปแล้วคนนั้น

ดาไซแค่นหัวเราะ “กลัวผมจะตายก่อนหรือ”

“กลัวจะไม่ได้เป็นผู้ลงมือ”

“ไม่ต้องห่วง” ดาไซดึงมือออก “ผมจะตายแน่ โดยน้ำมือของตัวเอง”

ทว่าฟีโอดอร์คว้ามือข้างนั้นคืน กุมมือ ประสานนิ้วทั้งห้าเข้าด้วยกัน ท่ามกลางความมืด ในสวนสาธารณะที่ไฟริมถนนไม่อาจส่องถึง พวกเขาดูเหมือนคู่รักที่ลอบพบกันยามวิกาลเพื่อพลอดคำหวานและแลกสัมผัส

“สิ้นสูญมนุษย์สมบัติ” ฟีโอดอร์กระซิบ “ความเป็นมนุษย์ที่คุณทำหล่นหายนั้นรวมถึงความเมตตาด้วยหรือ อย่าเห็นแก่ตัวนักเลย ดาไซ ชีวิตของคุณขอให้ผมไม่ได้เลยหรือ”

“เสียใจด้วยนะที่ความปรารถนาของเราสวนทางกัน” มือของดาไซอ่อนแรงอยู่ในมือของเขา ไม่ขืนตอบ ไม่สนองรับ “เว้นเสียแต่คุณจะมาร่วมฆ่าตัวตายคู่กับผม”

“อา นึกว่าคุณเปิดรับเฉพาะคนรัก นี่แสดงว่าคุณเกิดความรู้สึกพิเศษต่อผมแล้วอย่างนั้นหรือ”

“หากช่วยกำจัดหนูที่ทำให้เมืองสกปรกไปได้สักตัว ผมก็จะยกเว้นไว้เป็นกรณีพิเศษ”

“ยังคงคิดถึงแต่ประโยชน์ของผู้บริสุทธิ์”

ดาไซหยุดมองอย่างครุ่นคิด “ผมให้สัญญากับคน ๆ หนึ่งแล้วว่าจะพยายามรักษาชีวิตคน”

“มิน่าล่ะ คุณถึงย้ายเข้าสำนักงานนักสืบ” ฟีโอดอร์โอบตัวดาไซเข้ามาใกล้จนไม่เหลือช่องว่าง ไออุ่นลามเลียแทบจะคลี่คลุมตัวเขา “หากผมให้สัญญาว่าจะไม่ทำให้คุณรู้สึกเจ็บ คุณจะยอมให้ผมฆ่าคุณหรือเปล่า ดาไซ”

รอยยิ้มมลายหายจากใบหน้าของดาไซจนหมดสิ้น “ไม่”

ฟีโอดอร์ตีหน้าเศร้า “คุณไม่ไว้ใจผม”

“คุณทำให้ผมรู้สึกเจ็บไปแล้ว ฟีโอดอร์”

“โอดะ ซาคุโนะสุเกะ” ฟีโอดอร์กล่าว ซึ่งจุดชนวนในตาของดาไซให้ลุกโชนขึ้นทันที “แค่ครั้งเดียวเท่านั้นเอง”

คำปฏิเสธดังก้องท่ามกลางความเงียบงัน ฟีโอดอร์ทอดถอนใจ

“เช่นนั้น ผมคงขอเพียงจูบ” ฟีโอดอร์เชยคางดาไซ แค่เพียงสัมผัสผิวเนื้อนุ่มและอุ่น ความปรารถนาที่จะปลิดชีพพลันสั่นเร้าเสียดแทงลงเบื้องล่าง “จูบเดียวเท่านั้นก่อนที่คุณจะถูกฝังลงดิน”

“มักน้อยเหลือเกินนะ”

ฟีโอดอร์ฉีกยิ้ม “คุณต้องการให้ผมมักมากกว่านี้ไหมเล่า”

ฉับพลันนั้น ดาไซก็ให้คำตอบด้วยการจูบเขาอย่างดูดดื่ม ฟีโอดอร์ถือโอกาสกอดรัดร่างเขา สูบเสพความร้อนของมนุษย์ที่ไม่เคยสัมผัสจากใครมาก่อน

เขาอยู่กับความตายที่เรียกว่าอาชญากรรมกับการลงทัณฑ์มาเนิ่นนานจนแทบจะไม่หลงเหลือความทรงจำแล้วว่ากายเนื้อระอุอุ่นที่ยังบรรจุชีวิตนั้นให้ความรู้สึกอย่างไร ดาไซคืนประสบการณ์นั้นให้กับเขา ทำให้เขาตกลงไป ตกลงสู่วิถีในอดีต เป็นแค่เด็กชายที่ไม่มีพลัง ไม่มีอำนาจ

ดาไซทำให้เขากลายเป็นเพียงปุถุชนธรรมดา

สิ้นสูญมนุษย์สมบัติ แต่คืนคุณสมบัติมนุษย์ให้กับปีศาจร้าย

ฟีโอดอร์ไม่อาจบอกได้ว่าเขาปรีดาที่รู้จักผู้ครอบครองทักษะนี้ หรือหวาดกลัวว่าตนจะกลับกลายเป็นหนูในบ้านแห่งความตายอีกครั้ง

 

[MHA] A Feather (Dabi/Hawks)


A Feather

Boku no Hero Academia

— Dabi / Hawks —

Warning : Unhealthy Relationship, Graphic Depictions Of Violence, Reference to Mental Instability

Summary : ในช่วงเวลาที่สงครามกลางเมืองปะทุโดยการนำของออลฟอร์วัน ฮีโร่อันดับสองก็ต้องขึ้นมารับบทผู้นำอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง

Note : Spoiler Alert for manga chapter 299 





สังคมฮีโร่กำลังล่มสลาย ฮอว์คเห็นทุกขณะลมหายใจที่ทยอยริบหรี่จนใกล้สูญในระยะชิดใกล้กว่าใคร เขาคือหนึ่งในแกนกลางของการกระทำที่นำทุกอย่างมาบรรจบในวินาทีนี้

สงครามกลางเมืองประดังขึ้นทุกหัวระแหง ความเชื่อแตกแยกเป็นสองฝักฝ่าย คนที่ศรัทธาและเชื่อว่าจำเป็นต้องมีฮีโร่เพื่อความสุขสงบ กับคนที่เชื่อว่าระบบที่เห็นแก่ตัวและเพิกเฉยต่อคนชายขอบนี้ต้องถูกกำจัด

เวลานี้คนต้องการการปกป้องยิ่งกว่าครั้งใด ทว่าออลไมท์เกษียณตัวแล้ว ฮีโร่อันดับหนึ่งคนปัจจุบันยังอยู่ในอาการโคม่า ภาระทั้งหมดถูกผลักลงบนบ่าฮีโร่อันดับถัดมาอย่างรวดเร็ว ฮอว์คไม่เคยคิดว่าตนจะต้องตกลงยังตำแหน่งของผู้นำ เขาอาจทำให้คนชอบได้และมีความสามารถพอ แต่ไม่ใช่ในฐานะเสาหลักหรือภาพจำของความแข็งแกร่งเหมือนฮีโร่อันดับหนึ่งคนอื่น ๆ

หากกรมรักษาความสงบยังอยู่ เขาคงถูกบีบให้แสดงภาพลักษณ์ที่น่าเชื่อถือ ทำอะไรก็ตามที่จะกดข่มบรรดาวายร้ายที่อาละวาดอยู่ข้างนอกทั้งที่เขาไม่มีคุณลักษณะเหล่านั้นเลย

แต่ตอนนี้เขาเป็นอิสระ เขาจะจัดการปัญหาทุกอย่างด้วยวิธีการของตัวเอง

“ไม่นึกเลยว่าจะพูดจาโผงผางแบบนั้น”

เบสจีนิสต์กล่าววิจารณ์ทันทีที่ซูเปอร์คาร์พุ่งออกจากลานจอด งานแถลงข่าวที่คาดว่าจะถูกโจมตีกลับดำเนินผ่านไปอย่างสงบเรียบร้อย หากไม่นับฝูงชนที่ผิดหวังและตะโกนด่าทอด้วยความกราดเกรี้ยว ฮอว์คเหลียวมองคนขับรถกิตติมศักดิ์ในช่วงหลายสัปดาห์นี้ ปลายนิ้วพรมจอมือถือ ก่อนที่เสียงของสิริจะดังขึ้น

ยิ่งปิดบังเรื่องจะยิ่งลุกลาม” ฮอว์คหยุดคิดแล้วพิมพ์ต่อ “วิธีจัดการภาวะวิกฤติที่ยูเอไม่ได้สอน

“พวกเขาสอนแต่ว่าต้องทำยังไงถึงจะแข็งแกร่งจนสามารถล้มวายร้ายได้” เบสจีนิสต์เหลือบตา “แต่ที่พูดไปนั่นก็ไม่ได้ทำให้สถานการณ์บรรเทาลงเลย”

ฮอว์คหลุดหัวเราะ ก่อนต้องชะงักนิ่วหน้า

ถอดผ้าพันแผลบนศีรษะออกหมดแล้ว แต่ยังต้องสวมหน้ากากออกซิเจนปิดใบหน้าครึ่งซีกล่างลงถึงลำคอ เพราะเขาสูดไฟเข้าไป แพทย์เจ้าของไข้บอก คำที่เลือกใช้แสนสะดุดใจ ไม่ใช่ควันหรือเขม่าแต่เป็นไฟ กล่องเสียงของเขาถูกทำลาย หลอดลมเต็มไปด้วยบาดแผล ปอดไม่สามารถทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ หากต้องการกลับไปเคลื่อนไหวด้วยความเร็วระดับเดิม เขาต้องพึ่งพาหน้ากากจนกว่าจะรักษาหายขาด

โดนสั่งห้ามพูดไม่ใช่ปัญหา ว่าตามตรงแล้วถ้าไม่มีความจำเป็นเขาก็ไม่ใช่คนช่างพูดอย่างที่แสดงออก แต่โดนสั่งห้ามเคลื่อนไหว ห้ามออกแรงมาก ตรงนี้ที่เป็นอุปสรรคให้เขาต้องจำกัดการทำงานของตัวเอง

สิ่งที่ทำได้ตอนนี้คือคุมฝูงชน อธิบายสิ่งที่เกิดขึ้น

คล้ายกับเมื่อตอนนักเรียนยูเอถูกลักพาตัว ฮอว์คแต่งสูทผูกไทด์ ก้มหัวขออภัยต่อความเสียหายที่ควบคุมไม่ได้ คล้ายกับวิธีที่ไอซาวะรับมือสาธารณชนทุกอย่าง

เว้นแต่เขาพูดความจริงออกมาโดยไม่ประนีประนอม

เป็นลูกของอาชญากรเหรอ ใช่ ลูกชายของอาชญากรที่ฆ่าคนตายเพียงเพื่อเงินไม่กี่เยน

กรมรักษาความสงบจงใจปิดบังเรื่องนี้เหรอ ใช่ เพื่อตัดการเชื่อมโยง ทำให้เขาเป็นฮีโร่ที่ไร้ที่ติ

เขาฆ่าคนทั้งที่อีกฝ่ายยินยอมรับความพ่ายแพ้เหรอ ตรงนี้ซับซ้อนเล็กน้อย เพราะดาบิไม่ได้ให้พวกคุณเห็นเหตุการณ์แต่ต้นจนจบ

ดาบิคือ โทโดโรกิ โทยะ จริงเหรอ

จริง เขาบอกเองตอนที่คิดว่าความลับนี้จะตายไปพร้อมกับผม

ฮอว์คสูดลมหายใจเฮือกใหญ่ ข้างในร่างปวดแสบตามอากาศที่เล็ดลอดผ่านเส้นเลือด พยายามควบคุมความรู้สึกขบขันที่ผุดขึ้นมาเมื่อนึกได้ว่าถึงพูดขวานผ่าซากแต่อย่างน้อยก็พูดผ่านน้ำเสียงระรื่นหูของสิริ

“จะให้ส่งที่ไหน” เบสจีนิสต์ลอบมองเขาอีกครั้งอย่างจับสังเกตอาการ

ฮอว์คยิ้มบางใต้หน้ากาก เสียงสิริกล่าวแทน “สำนักงานของคุณเป็นไง ที่นั่นยังปลอดภัยอยู่หรือเปล่า

“เท่าที่รู้ก็ยังอยู่ดี”

ไปที่นั่นแหละ

“พวกมันไม่ได้มาที่งานแถลง แต่จะโจมตีที่อื่นแทนงั้นเหรอ”

ฮีโร่อันดับสองกับอันดับสามอยู่ด้วยกันแบบนี้จะปล่อยผ่านไปง่าย ๆ ได้เหรอ ออลฟอร์วันไม่สั่งโจมตีโรงพยาบาล อาจจะเพราะที่นั่นมีการคุ้มกันหนาแน่นหรือเพราะอยากรักษาภาพลักษณ์ก็สุดจะรู้ พวกเราคือตัวเลือกที่ดีที่สุดแล้ว แถมยังมีข้ออ้างในการจัดการด้วย

“ข้ออ้างอะไร”

ฮีโร่ที่ฆ่าคนไง

เบสจีนิสต์เงียบไปหลายอึดใจ ความเร็วของรถเพิ่มขึ้นเมื่อเริ่มออกห่างย่านราชการและขึ้นทางด่วนยกระดับ

“นายตั้งใจใช้ตัวเองกับฉันเป็นเหยื่อล่อ” ฮีโร่อันดับสามกล่าวเสียงเรียบ

เสียใจที่ยอมมาขับรถให้หรือเปล่าครับ

“เป็นศพให้ก็เป็นมาแล้ว พูดยากเหมือนกันว่าตอนนี้รู้สึกยังไง”

คิดไม่ออกก็ไว้ค่อยคิดแล้วกัน” ฮอว์คกดมือถือด้วยมือข้างเดียว มืออีกข้างทาบบนสายเข็มขัดที่นั่ง “พวกเขาไม่โจมตีในงานคงเพราะรอให้เราประมาทตอนขากลับนี่แหละ

สิ้นคำพูดไปไม่กี่นาที รถตู้คันหนึ่งก็ขับไล่เบียดเข้ามาประชิดด้านข้าง ไม่ต้องเสียเวลามองเต็มตา สองฮีโร่ก้มตัวหลบกระสุนที่ยิงเข้ามาผ่านหน้าต่าง เสียงล้อบดถนนดังลั่น กระจกแตก เบสจีนิสต์หยุดรถด้วยอัตลักษณ์ใยที่เกาะสองฟากแผงกั้นริมถนน แต่หยุดได้ไม่นาน ตาสองคู่สบกันแวบหนึ่งเมื่อได้ยินเสียงวัตถุพุ่งเข้าใกล้ด้วยความเร็วสูง พวกเขาแยกกันลงจากรถ และพริบตาต่อมา ซูเปอร์คาร์ราคาแพงก็จมลงในกองเพลิง

นิ้วมือของฮอว์คยังขยับระหว่างเคลื่อนที่หลบกระสุน เขากดปุ่มฉุกเฉินสำหรับเรียกตำรวจก่อนเก็บมือถือลงกระเป๋าเสื้อ ไม่มีเวลาสำหรับการสื่อสาร เขาสบสายตาเยือกเย็นของเบสจีนิสต์แล้วหันไปรับมือวิลเลนที่วิ่งกรูลงมาจากรถตู้ สิบสองคน แต่แบ่งเจ็ดคนมาที่เขา ฮอว์คอดยิ้มไม่ได้ พวกนี้แค่ต้องการถ่วงเวลาเบสจีนิสต์ แต่ต้องการฆ่าเขาให้ตาย

ฮอว์คอาจจะมองในแง่ร้ายไปนิด แต่เขาไม่เห็นประโยชน์ของการจับตัวฮีโร่อันดับสองเลย เอาไปลงโทษออกสื่อ? ถ้าพวกเขาวางแผนมาแบบนั้นคงไม่ส่งวิลเลนคลาสต่ำกว่า A มาหรอก มิเช่นนั้นพวกเขาก็ประเมินความสามาถของฮอว์คต่ำไปมาก

ปีกของเขายังไม่พร้อมใช้งาน แต่ฮอว์คไม่ได้มีดีแค่ปีก

ฮอว์คถอดกระเป๋าสะพาย เปิดออกหยิบดาบคู่ขนาดกลางออกมา วากิซาชิอาจไม่ได้มีคมเรียวยาวเท่าคาตานะ แต่เพราะความสะดวกในการพกพาและไม่ว่าอย่างไรมันก็เรียกเลือดได้ไม่ต่างกัน

อัตลักษณ์อันไม่มักคุ้นพุ่งมาจากทุกทิศ ทั้งหมดเป็นอัตลักษณ์จู่โจมที่สร้างขึ้นจากเนื้อเยื่อร่างกาย ฮอว์คใช้ดาบปัดพวกมันออก จับการเคลื่อนไหวเพื่อหลบและฟันบนผิวที่เปิดโล่ง

วิลเลนสองคนล้มลงในทันที

ฮอว์คสะบัดดาบทิ้งรอยเลือดบนพื้น วิลเลนที่เหลือชะงัก ก้าวถอยหลัง แต่สายตายังคงโกรธเกรี้ยว อารมณ์คุกรุ่นผลักพวกเขาให้เริ่มการจู่โจมอีกครั้ง

ฮอว์คเตรียมรับอยู่แล้ว เขาแค่ต้องสะกิดคมดาบที่เคลือบยานอนหลับฤทธิ์รุนแรงนี้เท่านั้นเพื่อเอาชนะ

เพียงแต่ขีดจำกัดทางร่างกายก็กำลังนับถอยหลังเช่นกัน

เจ็ดนาที เสียงย้ำเตือนก่อนออกจากโรงพยาบาลดังก้องหู อย่าให้ปอดทำงานหนักเกินเจ็ดนาที

เวลาเท่านี้ก็น่าจะเพียงพอ

การเคลื่อนที่ของวิลเลนสะเปะสะปะไร้ทิศทาง มุ่งแต่จะใช้พละกำลังเหมือนเล่นเกมทุบตัวตุ่น แต่ชีวิตจริงคู่ต่อสู้ไม่ใช่ตุ๊กตาพลาสติกที่เคลื่อนไหวได้เพียงขอบเขตที่กำหนด ฮอว์คไม่เหมือนพวกเขา ฮอว์คถูกฝึกให้โจมตีอย่างหวังผล แม่นยำ ทุกลมหายใจที่สูดเข้าเพื่อเผาผลาญพลังงานต้องไม่มีคำว่าสูญเปล่า

หนึ่ง สอง สาม วิลเลนทยอยล้มลงทีละคนเพียงเพราะรอยกรีดเล็ก ๆ ที่พวกเขาไม่คิดจะหลบ

แต่ฮอว์คหลบทุกอัตลักษณ์พ้น โดยไม่จำเป็นต้องใช้อัตลักษณ์ของตัวเอง

นัยน์ตาสีอำพันขยายกว้างรับแสง มองวิลเลนสองคนสุดท้ายที่ยังยืนอยู่และลังเล ระหว่างนั้นฮอว์คปรับลมหายใจที่กระชั้นให้ผ่อนลงทีละนิด อาการปวดช่วงอกแสบร้าวเหมือนมีรอยปริแยกอยู่ภายใน อาการทั่วไปของคนที่สูดไฟเข้าไป เวลาของเขายังเหลือแต่ฮอว์คไม่อยากเสี่ยงมากไปกว่านี้ ไม่มีประโยชน์หากเขาต้องกลับไปนอนเป็นผักบนเตียงอีกครั้ง

อีกทั้งเขาไม่คิดจะจับวิลเลนสองคนนั้นอยู่แล้ว ฮอว์คมีแผนอื่นสำหรับพวกเขา

แค่ขยับดาบคู่ในมือและก้าวเข้าหาก็เป็นคำขู่ที่จับสองวิลเลนหมุนตัววิ่งกลับไปที่พาหนะ ฮอว์คลอบยิ้มใต้หน้ากาก ทำทีวิ่งไล่ตามเพื่อความสมจริง ซึ่งก็ไม่พ้นจากความจริงนัก ตอนนี้เขาหายใจแทบไม่ทันอยู่แล้ว

ทว่ายังไม่ทันถึงรถ ไอร้อนระอุก็พวยพุ่งมาจากทางขวามือ เปลวไฟสีครามโหมบนถนนเหมือนคลื่นยักษ์ พัดไปยังทิศทางที่เบสจีนิสต์ยืนอยู่ก่อนเปลี่ยนทิศมาหาเขา

ฮอว์คถอยหลบก่อนสมองจะทันรับรู้ว่าตนเคลื่อนไหวเสียอีก ความเจ็บยังฝังแน่นบนร่าง ปฏิกิริยาของเขาเป็นไปโดยสัญชาตญาณอย่างแท้จริง

เขาหลบออกมาพ้น เบสจีนิสต์น่าจะกระโดดลงไปยังถนนเบื้องล่าง แต่วิลเลนที่วิ่งไปยังรถตู้ถูกคลอก ไม่ทันร้องโหยหวนก็ล้มลงเป็นตอตะโก

ฮอว์คจ้องต้นทางของไฟแน่วนิ่ง และเป็นดังคาด คนที่ปรากฏกายท่ามกลางหมู่ควันคือคนที่เขาจำฝังใจไม่มีวันลืม

ดาบิ

ชายร่างสูงเจ้าของหนึ่งในอัตลักษณ์ที่อันตรายที่สุด ยังเหมือนกับวันที่เผาปีกของเขาจนไม่เหลือซาก เว้นแต่ผมสีดำที่กลับกลายเป็นขาว เขาไม่เก็บงำตัวตนว่าครั้งหนึ่งเคยเป็นโทโดโรกิ โทยะ อีกแล้ว บุคลิกเฉื่อยชาเผยแววคลุ้มคลั่ง น้ำเสียงเรียบเรื่อยแฝงสะเก็ดการเย้ยเยาะ ดาบิส่งยิ้มกว้างที่แทบฉีกแยกใบหน้าออกเป็นสองส่วนมาทางฮอว์ค มองขึ้นลงเหมือนกำลังชมผลงานชิ้นโบว์แดง

“ฮอว์ค” เขาทักทายเหมือนเดินผ่านมาพบเพื่อนเก่า “เห็นในทีวีก็คิดแล้วว่ามีอะไรบางอย่างแปลกไป มาเห็นกับตาถึงเพิ่งนึกออก ปีกยังไม่งอกขึ้นมาใหม่อีกเหรอ”

ฮอว์คหรี่ตาลง คำถามนี้เขาก็ได้รับมาจากนักข่าว กำลังอยู่ในช่วงการรักษา เขาตอบแค่นี้ ไม่บอกว่ามันจะกลับมาหรือเปล่า ทำให้มองได้สองแง่ มันอาจจะยังไม่กลับมา หรือมันอาจจะหายไปตลอดกาล

มือสองข้างกำดาบแน่น ลมหายใจของเขายังติดขัดและเร็วเกินไป รับมือกับวิลเลนเมื่อครู่อาจไม่ยากลำบาก แต่กับดาบิสถานการณ์พลิกกลับเป็นคนละเรื่องทันที ไม่ใช่แค่ตึงมือ แต่เขาจะแพ้

ไฟคือจุดอ่อนของเขามาตลอด และดาบิก็รู้เรื่องนี้เป็นอย่างดีเกินกว่าจะมองเป็นอื่นได้ จากวิธีที่เขาต่อสู้เมื่อครั้งที่แล้ว ดาบิมุ่งจู่โจมที่ปีกอย่างไม่ลังเลเลยสักนิด

“พูดไม่ได้ใช่ไหม” ดาบิเอียงคอ “ไม่หยิบมือถือขึ้นมาพูดแทนล่ะ”

ไม่มีทาง ฮอว์คตอบด้วยสายตา หยิบมือถือขึ้นมาเท่ากับว่าฉันต้องปล่อยดาบจากมือข้างหนึ่ง

ดาบิหัวเราะในลำคอก่อนฉีกยิ้มเห็นฟันแทบครบซี่ ดวงตาสีฟ้าคมปลาบคอยหาจุดอ่อนเหมือนแมวไล่หนู

แต่ในที่นี้ คงต้องบอกว่าเป็นนกปีกหัก

“ฉันคิดถึงเสียงของนาย” ดาบิเอ่ย “แต่ก่อนคิดว่าน่ารำคาญ ได้ยินตอนนายสอนทไวซ์กับคนอื่น ๆ แล้วเสียดหูเหมือนฟังสัญญาณคลื่นแหลม ๆ แต่ตอนนี้กลับคิดถึงเสียอย่างนั้น อะไรที่มักคุ้นไปแล้วนี่แย่จังเลยนะ”

ดาบิเดินเข้าหาทีละก้าว ฮอว์คชี้ดาบไปทางเขา เป็นสัญญาณให้หยุดอยู่แค่นั้น

ภาพเมื่อครั้งที่ยืนในตรอกร้างหวนกลับมาซ้อนทับอย่างน่าประหลาด

ฉันหวังว่าเราจะเข้ากันได้ดีกว่านี้ ดาบิ

ดาบิยกมือสองข้างในเชิงจำนน “ฉันจะไม่เข้าไปใกล้กว่านี้ ใครจะรู้ว่าใบมีดนั่นเคลือบพิษอะไรไว้บ้าง”

สีฟ้าวูบไหวไม่หยุดนิ่งมองเขาอย่างตั้งใจ จดจ่อเสียจนฮอว์คเกิดความคิดว่าหากปล่อยเช่นนี้ต่อไป ดาบิจะถอดทุกความลับและความคิดของเขาออกมาจนหมด

เขารู้เท่าทันกระทั่งว่าฮอว์คต้องการอะไรบ้างจากงานแถลงข่าววันนี้

ดาบิดูคล้ายไม่คิดคำนึงถึงอะไรมากกว่าการเผาทำลาย เหมือนตามอารมณ์มากกว่าสิ่งใด แต่เนื้อแท้แล้วเขาคิดคำนวณทุกอย่าง

ฉันคิดถึงเรื่องทั้งหมดนี้ทุกวันจนแทบบ้า

“ระวังตัวไว้ ฮอว์ค” ดาบิกล่าวเสียงเนือยราวกับถ้อยคำที่เกลาออกมาไม่ใช่คำขู่ “ความตายไม่ใช่จุดจบที่เลวร้ายที่สุด ฉันอุตส่าห์เสนอทางออกให้แล้ว นายก็ยังจะบินกลับเข้ากรงอีก”

ตัวย่อลงข้างศพที่มอดไหม้ ดาบิล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าเสื้อโค้ทของวิลเลนที่ตายไป หยิบขนนกที่ถูกเผาหายไปครึ่งหนึ่งขึ้นดู

ไฟสีฟ้าปะทุขึ้น ขนนกกลายเป็นฝุ่นผงลอยไปกับอากาศ ฮอว์คกัดริมฝีปากสะกดความเจ็บที่เชื่อมโยงระหว่างตัวเขากับปีก

“รีบรักษาตัวให้หาย ฉันไม่อยากสู้กับนกที่ร้องไม่เป็นเวลาใกล้ตาย”

เสียงไซเรนดังใกล้เข้ามา ดาบิถอยหลังกลับ หลบอัตลักษณ์ของเบสจีนิสต์ที่เคลื่อนเข้ามาดักทางไว้ได้อย่างฉิวเฉียด

ไฟสีครามคลอกพื้นและอากาศรอบบริเวณ ฮอว์คจำต้องถอยออกมาอีกครั้ง เขาเพ่งสมาธิเพื่อหลบเปลวไฟและติดตามตัวดาบิ

ทว่าวิลเลนผมขาวหายวับไปอย่างไร้ร่องรอยเหมือนครั้งปรากฏตัว

“อัตลักษณ์เคลื่อนย้ายเหรอ” เบสจีนิสต์เดินกลับมาหยุดข้างตัว มองสภาพท้องถนนที่จมทะเลเพลิงพลางใช้ใยห่อหุ้มตัววิลเลนที่สลบไม่ได้สติให้ถอยห่างออกมาในระยะปลอดภัย

ฮอว์คหยิบมือถือออกมา “อาจจะ

“ทำไมเขาถึงไม่ทำอะไรนายเลย”

เขาแค่มาขัดขวาง” ฮอว์คพิมพ์หน้าจอ รู้สึกหมดเรี่ยวแรง “เขารู้ว่าฉันอยากสะกดรอยพวกที่เข้ามาโจมตีกลับไปที่ฐาน

เบสจีนิสต์พยักหน้า “ไม่เป็นไรหรอก ต่อให้รู้ในตอนนี้ เราก็ยังไม่พร้อมเข้าไปจับพวกเขาอยู่ดี”

พวกเขาก็ยังไม่พร้อมเหมือนกัน” ไม่อย่างนั้นคงปล่อยให้เขาลอบติดตามและซ้อนแผนกลับ

ฮอว์คเดินไปนั่งลงบนแผงกั้นถนนระหว่างที่รถตำรวจกับรถพยาบาลเข้ามาหยุดจอด หลับตาลงเพื่อบอกคนอื่นว่าเขาต้องการพัก

และต้องการเพ่งสมาธิตามหาขนนกที่ลอบบังคับให้ติดไปกับตัวดาบิ





ดาบิรู้ตัวว่าได้รับของกำนัลเล็ก ๆ มาจากฮีโร่ปีกหัก

ทว่าเขาปล่อยให้มันอยู่ตรงนั้น รอเวลาหลังจากบอกเล่าเหตุการณ์ให้กับสมาชิกลีกที่ยังเหลืออยู่ ก่อนขอตัวกลับไปที่ห้องพัก ภายในห้องสี่เหลี่ยมปิดทึบที่ปราศจากสายตาสอดรู้สอดเห็น เขาจึงหยิบมันออกมาจากด้านหลังเสื้อยืด

ขนนก ดาบิไม่แปลกใจเลยสักนิด แต่ก็ยังต้องสะดุดกับสีสันที่ผิดแผกไปจากเดิม

ไม่ใช่สีแดงสดแสบตา คราวนี้มันกลับเป็นสีแดงหม่นคล้ำจนแทบกลายเป็นสีดำสนิท

เหมือนสีของเลือดแห้งกรัง

รอยยิ้มคลี่ออกช้า ๆ ดาบิลูบขนนกบนริมฝีปาก ถอนลมหายใจที่ร้อนรนเหมือนไอหน้าเตาหลอม ใคร่ครวญถึงคำพูดที่ได้ฟังจากงานแถลงข่าว

เราจะรับฟังและหาทางออกในเรื่องนี้ เพราะเห็นได้ชัดว่าระบบฮีโร่ปัจจุบันคือความล้มเหลว

แต่การกระทำผิดกฎหมายก็จะไม่ได้รับการยกเว้น

แทนที่จะถูกทำลายกลายเป็นเถ้ามอด นกน้อยกลับตื่นขึ้นมาเหมือนไฟที่ไม่ยอมดับ

ดาบิคิดถึงดวงตาสีอำพัน โฉมหน้าของคนที่ทำทุกอย่างเพื่อภารกิจ กับชายอีกคนในวันนี้ที่สงบเยือกเย็น บาดเจ็บ แต่พร้อมจะกางเขี้ยวเล็บใส่ใครก็ตามที่เข้าใกล้โดยไม่ได้รับอนุญาต

ดาบิคิดและคิด ฉายภาพเหตุการณ์วันนี้ในหัวซ้ำไปมาอย่างไม่รู้เหน็ดเหนื่อย

คิดและกระหาย อยากเห็นปีกคู่ใหม่ของทาคามิ เคโกะ จนแทบบ้า


วันอังคารที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2565

[MHA] Bet against, and win (Dabi/Hawks)


Bet against, and win

Boku no Hero Academia

— Dabi / Hawks —

Warning : Implied Sexual Content & Dubious Consent, Unhealthy Relationship.

Summary : โลกการเงินคือโลกมายา แต่คนบนยอดพีระมิดมักลืมว่ากลมายาสิ้นสุดได้ในทันทีที่ดีดนิ้ว

Note : Inspired by GameStop 





ตอนที่ประตูห้องทำงานกระชากเปิดและผู้ช่วยของเขาถลาเข้ามาพร้อมสีหน้าวิตกจริต เคโกะเตรียมรับปัญหาใดก็ตามที่จะดาหน้าเข้ามาอยู่แล้ว ไม่ใช่เพราะรู้ล่วงหน้าแต่เพราะประตูห้องกับผนังห้องทำงานของเขาทำขึ้นจากกระจก ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่าเขาพร้อมรับปัญหาที่อยู่ในระดับไม่เกินสามัญสำนึก ปัญหาที่ไม่ร้ายแรงถึงขั้นที่เขาต้องลุกจากความสะดวกสบายบนเก้าอี้และเดินออกไปทำสิ่งที่เรียกว่างาน ทว่าหากเขาเฉลียวใจได้ก็คงจะนึกออกว่าสามัญสำนึกคือสิ่งที่ถูกปั้นแต่งจนบิดเบี้ยวไปหมดแล้วในแวดวงการเงิน

โดยเฉพาะในวอลสตรีท

“ราคาแวนการ์ดสต็อปกำลังพุ่ง” ลุดวิกกล่าว คำพูดแทรกลมหายใจมากมายเช่นคนที่ไม่ได้สนทนากับใครนาน ทั้งยังแฝงอาการตื่นตระหนกที่พบเห็นได้ยาก ผู้ช่วยของเขาคือหัวกะทิระดับท็อปที่บุคลิกโดดเด่นในด้านของการหลีกเลี่ยงปฏิสัมพันธ์ทุกประเภท ไม่เว้นแม้แต่เรื่องงาน เคโกะจึงประมาณการได้ว่าเรื่องที่นำมาแจ้งมีระดับสาระสำคัญพอควร

ใครจะคาดว่าประมาณการนี้ยังต่ำเกินไป

“ตัวที่เราเพิ่งขายชอต1ไปเหรอ” เคโกะเลิกคิ้ว พวกเขาเดิมพันกับหุ้นตัวนั้นไปไม่น้อย “เร็วแค่ไหน”

“พุ่งเร็วแบบแนวดิ่ง”

เขาไม่เสียเวลาคิดหาความน่าเชื่อถือเลย ลุดวิกแทบไม่เคยพลาด แต่อย่างไรเรื่องสำคัญต้องได้รับการตรวจทานซ้ำเสมอ

เคโกะหันกลับไปที่คอมพิวเตอร์ สลับหน้าจอ คลิกเมาส์เลื่อนดูรายการราคาหุ้น

ความแปลกประหลาดประดังเข้ามาไม่หยุดหย่อน “มันขึ้นไม่ถึงสามเปอร์เซ็นต์”

“มันจะพุ่งในไม่กี่ชั่วโมงนี้แหละ”

“จากปัจจัยอะไรล่ะ”

ลุดวิกปัดผมยาวไปด้านข้าง ท่าทางอึกอัก เขาอธิบายพร้อมทำไม้ทำมือ “ผมอ่านกระทู้นี้ในเรดดิท...”

“นายอ่านเรดดิทในเวลางานอย่างนั้นเหรอ”

แวบหนึ่ง ลุดวิกส่งสายตาที่ถอดความได้ว่า คุณก็เหมือนกันไม่ใช่เหรอ

“ประเด็นก็คือมีคนไม่ค่อยพอใจที่เราพนันให้บริษัทเกมสุดโปรดของพวกเขาเจ๊ง” ลุดวิกโคลงหัว “อันที่จริง ผมก็ไม่พอใจด้วยคนหนึ่ง”

เคโกะประกบมือเข้าหากัน รอให้ผู้ช่วยขยายความต่อ

“พวกเขาก็เลยชักชวนกันไปซื้อหุ้นเพื่อดันราคา”

“ฟังดูไม่ค่อยน่ากังวลเท่าไร”

“อย่าดูถูกพลังของชาวเน็ต” ลุดวิกหรี่ตา “คุณรู้หรือเปล่าว่าปีที่ผ่านมาเกิดเหตุการณ์สำคัญสืบเนื่องมาจากการชักชวนในอินเทอร์เน็ตมากแค่ไหน”

เคโกะยกมือยอมแพ้ “ถ้าอย่างนั้น ส่งลิ้งกระทู้มาให้ดูหน่อย”

“ส่งให้แล้วในแชทส่วนตัว”

เคโกะหยิบมือถือขึ้นมาดู

ใช้เวลาไม่นานหน้ากระทู้เจ้าปัญหาก็โหลดข้อความจำนวนหนึ่ง จำนวนคนที่เข้ามาแสดงความเห็นยังไม่น่ากังวลเท่าจำนวนตัวเลขที่ดันกระทู้ให้สูงขึ้นเรื่อย ๆ

“พวกเขาพูดเหมือนเราเป็นอีวิลคอร์ป2” เคโกะหัวเราะ

“แต่เราเป็นอีวิลคอร์ป” ลุดวิกเอ่ยเสียงเข้ม

คราวนี้เสียงหัวเราะผสมกับเสียงทอดถอนใจ

เคโกะจำต้องลุกขึ้นจากเก้าอี้ “ไปหาคุณแม่ของเรากัน”

หนุ่มสวีเดนยืนนิ่งเหมือนคนหลงทาง “คุณคิดว่าต้องนำเรื่องนี้ขึ้นไปแจ้งเธอเลยเหรอ”

“นายรู้สึกว่าเรื่องนี้อาจกลายเป็นไฟลามทุ่งใช่ไหมล่ะ” เคโกะเหยียดแข้งขา เกือบจะเดินเท้าเปล่าออกจากห้อง แต่นึกขึ้นได้ว่าจะไปพบนายใหญ่ก็ควรรักษากาลเทศะเสียหน่อย แม้ตอนนี้เขาจะสวมเสื้อยืดกับกางเกงวอร์มเสมือนอยู่บ้านก็ตาม “ฉันก็รู้สึกเหมือนกัน”

ห้องของนาคาจิมะอยู่สูงขึ้นไปจากชั้นของพวกเขาเพียงชั้นเดียว

ใช้เวลาไม่นานก็มาถึงห้องทำงานสุดหรูหราของผู้บริหารใหญ่ เคโกะเคาะประตูกระจก แล้วเปิดเข้าไปทันทีที่หญิงวัยกลางคนหันมาสบตา

“ทาคามิ”

“คุณนาคาจิมะ” เคโกะค้อมหัวเล็กน้อย “ขอโทษที่มารบกวน แต่มีเรื่องสำคัญที่คุณควรรับทราบไว้”

“ว่ามา”

“เราต้องซื้อหุ้นแวนการ์ดคืนเดี๋ยวนี้”

เสียงสูดลมหายใจเฮือกของลุดวิกดังมาจากด้านหลัง

นาคาจิมะแค่ประสานมือบนโต๊ะ ขมวดคิ้วมอง “ทำไมล่ะ”

“ตอนนี้มีพวกรายย่อยกำลังพยายามปั่นราคาหุ้นแวนการ์ดให้สูงขึ้น เราต้องรีบซื้อคืนก่อนจะเจ็บหนัก”

“แหล่งข่าวจากไหน”

แน่นอน โยนเรื่องตลาดเสรีออกนอกหน้าต่างไปเถอะ ทั้งหมดนั้นก็แค่เรื่องหลอกเด็ก ในวอลสตรีทมีใครสักคนคอยชักใยราคาสินทรัพย์อยู่เสมอ คนที่มีทุนหนากว่าคือฝ่ายได้เปรียบ

เคโกะฉีกยิ้ม “เรดดิท”

นาคาจิมะเงียบไปหลายอึดใจ

ผู้บริหารกองทุนเหลียวกลับไปยังเอกสารบนโต๊ะ แล้วตั้งหน้าตั้งตาอ่านต่อเป็นการไล่ทางอ้อม “ออกไปได้”

“คุณไม่เชื่อเหรอ”

“แค่กระทู้สุมแมลงเม่าไม่น่าเชื่อถือพอ ทาคามิ”

เคโกะนึกไม่ออกเลยว่าอะไรชวนหัวกว่ากันระหว่างหญิงวัยใกล้เกษียณรู้จักเรดดิทกับการที่หญิงคนเดียวกันนี้รู้ว่ามันเป็นหนึ่งในไซต์สุมแมงเม่า “แล้วอะไรที่เชื่อถือได้ล่ะ เอสแอนด์พีเหรอ”

คนทั้งโลกต่างรู้ บริษัทจัดอันดับคือตัวการแหกตาอันดับหนึ่งที่ทำให้คนล้มละลายในช่วงวิกฤติซับไพรม์ด้วยการรับรองหลักทรัพย์เน่า

“เธอจะให้เหตุผลในการซื้อคืนกับนักลงทุนยังไงล่ะ เพราะพวกไม่ประสงค์ออกนามในอินเทอร์เน็ตอยากจะปั่นราคาด้วยการซื้อหุ้นคนละไม่กี่ดอลลาร์เหรอ” นาคาจิมะพรูลมหายใจออกจมูก หาได้ยากที่เธอจะมีอารมณ์ขัน น่าเสียดายที่อารมณ์ขันนี้จะนำมาซึ่งหายนะ

อันตรายมักมาจากสิ่งที่เรามองว่าไม่เป็นพิษเป็นภัย เคโกะเรียนรู้เรื่องนี้มาไม่กี่คืนก่อนเอง แต่เขาคงไม่อธิบายให้สุภาพสตรีที่พ่วงตำแหน่งบอสใหญ่ฟังหรอกว่ามันทำลายเขาจนหมดสภาพอยู่บนเตียงอย่างไร

เคโกะยักไหล่ “ถือว่าผมเตือนแล้วนะ ลุดวิกเป็นพยาน”

นาคาจิมะส่ายหน้าระอา

“สมมติว่าราคาพุ่งขึ้น ต้องรอให้ขึ้นขนาดไหนถึงดึงกลับ”

“เราจะยึดตามแผน รอจนกว่าบริษัทนั้นล้ม”

“แต่ถ้ามันไม่ล้มล่ะ”

“กลับไปทำงานได้แล้ว” นาคาจิมะหมุนเก้าอี้

เคโกะไม่ดันทุรัง หากเป็นตัวเขาเมื่อไม่กี่ปีก่อนก็คงมองว่านี่เป็นเรื่องตลกไร้สาระ

ระหว่างเดินกลับ ลุดวิกชะโงกหน้ามากระซิบ “ให้ผมคอยจับตาไว้ไหม”

“จับตาทั้งราคาและกระทู้นั้นด้วย” เคโกะพยักหน้า “แบบนาทีต่อนาทีได้ยิ่งดี”

พวกวอลสตรีทที่อวยกันเองนักหนาว่าเป็นมนุษย์ทองคำเพราะทำงานหามรุ่งหามค่ำจนร่ำรวย ไม่ได้ฉลาดอัจฉริยะอะไรเลย ก็แค่พวกที่ยึดคติว่าความไวเป็นของปีศาจ

พวกเขากลับไปที่ชั้นของตัวเอง ลุดวิกกลับไปนั่งคอกทำงาน เคโกะกลับเข้าห้องกระจก หยิบลูกบอลที่ตกบนพื้นขึ้นมาโยนสลับเล่นระหว่างสองมือ ตาคอยเหลือบมองโทรศัพท์มือถือกับวิวนอกหน้าต่าง

ใคร่ครวญในใจว่าเมื่อครั้งที่บรรดาบริษัทพากันล้มละลายในช่วงวิกฤติเศรษฐกิจ ท้องฟ้าก็ยังเป็นสีฟ้าดุจเดิม และโลกก็ยังคงหมุนต่อไปอย่างไม่รั้งรอใครเหมือนกับวันนี้


 


 


สัญญาณความกังวลเริ่มก่อตัวในช่วงหัวค่ำ ภายใต้สายตาเชิงประท้วงของลุดวิก เคโกะยืนยันหนักแน่นว่าพวกเขาไม่ควรอยู่ทำโอทีต่อหากคุณแม่ไม่เห็นปัญหาใดจากสถานการณ์นี้ เขาเข้าใจความลุกลนของผู้ช่วยและบรรดาพนักงานที่เริ่มจับสังเกตได้ แต่ท้ายที่สุด พวกเขาก็แค่ฟันเฟืองจิ๋วจ้อยในยักษ์จักรกล หากคนคุมพวงมาลัยบอกว่าจะลุยต่อ พวกเขาก็คงต้องว่าตามนั้น

เคโกะไม่เคยยืดยาดเมื่อถึงเวลาเลิกงาน เขาตรงดิ่งออกจากตึก แวะซื้อของสดเข้าห้อง ตั้งใจจะจบวันด้วยอาหารดีและถูกโภชนาการสักมื้อไปพร้อมกับดูเน็ตฟลิกซ์

แต่เพราะวันนี้มีเรื่องน่าตื่นเต้นเกิดขึ้น หากวันนี้จบลงตามกิจวัตรก็คงจะธรรมดาเกินไปหน่อย

“ดาบิ” เคโกะเอ่ยเรียกชายร่างผอมสูงที่นั่งยองหน้าประตูอพาร์ตเมนท์ ทั้งท่าทางหยิบโหย่ง เสื้อคลุมสีดำ รอยสักและเจาะเต็มตัว น่าแปลกใจมากที่เพื่อนบ้านยังปล่อยไว้โดยไม่เรียกตำรวจ

เจ้าของชื่อเหยียดตัวขึ้นเหมือนแมวคร้าน มุมปากยกวงโค้ง ถอยให้เขาเดินเข้าไปเสียบคีย์การ์ดกับกุญแจ ดาบิเดินตามหลังเข้ามาก่อนแยกไปทิ้งตัวบนโซฟาหน้าโทรทัศน์ มือหยิบรีโมทกดเลือกรายการในเน็ตฟลิกซ์ทันควัน ทำตัวราวกับเป็นเจ้าบ้านอีกคนหนึ่ง

เคโกะจัดของเข้าตู้เย็นเสร็จถึงมานั่งข้างอีกฝ่าย “ฝีมือนายใช่หรือเปล่า”

“พูดถึงเรื่องไหน” ดาบิเกาใต้คางตัวเอง ตายังมองแต่จอโทรทัศน์

“ชื่อของคนที่ตั้งกระทู้หุ้นแวนการ์ดคือทไวซ์” เคโกะเอนตัวนอนมองเพดานอย่างเฉื่อยชา “บังเอิญไปหน่อยนะที่คนตั้งกระทู้ชื่อคล้ายกับคนหัวอ่อนที่ถูกจูงจมูกได้ง่ายที่สุดในแก๊งของนาย”

ดาบิหลุดหัวเราะ “จะเป็นยังไงนะถ้าทไวซ์ได้ยินเรื่องนี้”

“เขาก็จะได้รู้ว่านายเป็นคนประเภทหวังผลสูงแต่ไม่ยอมเปื้อนโคลน”

“จะว่ายังไงได้ ทไวซ์เป็นคนมีวาทศิลป์โดยเฉพาะเมื่อเขาเชื่ออะไรบางอย่างแบบสุดหัวใจ”

เคโกะถอนหายใจ “อย่างน้อยเรื่องที่เขาเชื่อก็ไม่ผิดจากความจริง”

เสียงรีโมทโยนทิ้งลงพื้น ทีวีเริ่มเล่นหนังแล้ว เบาะโซฟาข้างตัวเคโกะยุบลงก่อนแขนที่เต็มไปด้วยรอยสักจะอ้อมพาดพนักพิงมาเกลี่ยเส้นผมของเขาเล่น

เคโกะกอดอก ตัวไหลไปพิงคนข้าง ๆ ตาดูซีรีส์ใหม่เกี่ยวกับเด็กสาวที่เป็นแฟรี่ ครู่ต่อมาถึงเอ่ย “ทั้งหมดนี้เพราะตอนนั้นเหรอ”

ตอนนั้น คือเมื่อหลายสัปดาห์ก่อนที่เขาทำงานตัวเป็นเกลียวตั้งแต่เก้าโมงถึงตีสี่

มนุษย์ทองคำไม่ใช่แค่ตำนานเมืองของวอลสตรีท และไม่สวยหรูอย่างที่ใครวาดหวังด้วย ถึงจะเสียสุขภาพทุกด้านไปบนกองเงินกองทอง แต่เสียก็คือเสีย คนกลุ่มเดียวที่เสียน้อยกว่าใครคือพวกหนึ่งเปอร์เซ็นต์บนยอดพีระมิด

ดาบิไม่ได้ออกความเห็นตอนพบสภาพเขา อย่างไรคน ๆ นี้ก็เป็นนักปฏิบัติมากกว่านักทฤษฎี และยังเป็นพวกซาดิสม์ที่เกิดอารมณ์กับคนไม่มีทางสู้ เขาไม่ออกความเห็นแต่ลงโทษซ้ำ ทิ้งท้ายเพียงว่าไม่ชอบที่คู่นอนถูกกระทำย่ำยีจากระบบทุนนิยมแทนที่จะเป็นตนเอง ก่อนหายตัวไปหนึ่งสัปดาห์เต็ม

เคโกะสังหรณ์ใจอยู่แล้ว เขารู้ว่าดาบิเป็นทุกอย่างที่ตรงข้ามกับพวกพี้ยาข้างถนนแม้รูปลักษณ์จะทำให้เชื่อแค่ไหนก็ตาม การพบกันในงานดนตรีใต้ดินที่น่าจะกล่าวได้ว่าเป็นความบังเอิญยังออกจะเหลือเชื่อ ตัวตนของดาบิแทบตะโกนใส่หน้าใครก็ตามที่ทำเพียงปรายตามองว่าไม่แยแสสิ่งใดทั้งสิ้น ทำเหมือนปล่อยทุกสิ่งเป็นสายลมพัดผ่าน ทั้งที่ในหัวคิดคำนวณการกระทำและความเคลื่อนไหวรอบตัวตลอดเวลา ทำไมเคโกะจึงรู้เหรอ เพราะเขาก็เป็นคนประเภทเดียวกัน

ไม่รู้เพราะเห็นว่าการคบหากันมีความเสี่ยงหรือเปล่า เขาถึงรู้สึกดึงดูดให้เข้าหาดาบิเหมือนแมลงบินเข้ากองไฟ สถานะทางสังคมต่างกันมาก แต่กลับเหมือนกันมาก เขาเกลียดที่ดาบิหยาบคายก้าวร้าวและเห็นแต่หนทางสุดโต่งในการแก้ปัญหาเมื่อแตะเรื่องความวิปริตผิดเพี้ยนของสังคม ดาบิก็เกลียดที่เขายอมก้มหัวให้คนด้านบนเหยียบเป็นฐาน ต่อต้านทว่ายอมผ่อนปรนเหมือนพวกหน้าไหว้หลังหลอก

เคโกะชอบที่ดาบิสาดถ้อยคำร้ายกาจต่อหน้า และนำเอาความโกรธนั้นขึ้นมาบนเตียงระลอกแล้วระลอกเล่า ดาบิไม่เคยใจอ่อน สัมผัสของเขาเสียดสีทิ้งรอยแดง เต็มไปด้วยเล็บกับฟัน ขณะเดียวกันกลับไม่เคยคลายอ้อมกอดที่รัดแน่นระหว่างร่วมทางไปด้วยกัน ไม่มีช่องว่าง ไม่มีเสียงหลุดรอดออกจากปากเพราะดาบิกลืนกินมันจนหมดสิ้น

แต่ดาบิชอบเขาที่ตรงไหน เคโกะไม่เคยถาม ไม่เคยมีความกล้าพอ

มนุษย์เงินเดือนเพียงคนเดียวในนี้ถอนหายใจ “ฉันต้องเตรียมหางานใหม่แล้วสิ”

คนฟังกรีดยิ้ม “มาทำกับฉันก็ได้”

“งานอะไรล่ะ” เคโกะถามอย่างสงสัย เพราะเขาไม่รู้เลยว่าดาบิหารายได้จากอะไร

ดาบิดึงขาของเขาไปพาดตัก มือลูบขึ้นลงช่วงต้นขา เคโกะขนลุกชัน อยากกระถดหนีแต่ตัวถูกจับแน่นไม่ปล่อย

ดาบิเหลียวหน้ามามองอย่างรู้ทัน “ตุ๊กตายางส่วนตัว”

เคโกะกลอกตา “ยอมไปทำงานกับไอซาวะยังดีกว่า”

“เป็นอาจารย์เหรอ อย่างนายสอนใครไม่ไหวหรอก สุดท้ายคงไม่พ้นบินกลับเข้ากรงไปเป็นทาสของพวกมันอีกตามเคย” ดาบิโน้มตัวเข้าหา รอยยิ้มของเขายิ่งแหลมคมขึ้นเมื่อเห็นในระยะใกล้ “นายเสพติดการถูกขังในกรงไปแล้ว เคโกะ อย่างน้อยเลือกกรงที่กว้างขวางกว่าเดิมไม่ดีกว่าเหรอ”

มือที่เลื่อนเข้าออกหยุดชะงักก่อนลูบขึ้นจนสุด แรงบีบกลางลำตัวทำให้เคโกะสะดุ้งตัวขึ้น สัมผัสกับริมฝีปากที่รอรับอยู่ก่อนแล้ว

ดาบิจูบเหมือนกัดกินอาหาร เขาไม่ตะกละ แต่เขาดูดดื่มทุกรายละเอียดอย่างไม่ยอมคลาดรสชาติใด

ตัวถูกดันลงนอนราบ ก่อนที่ดาบิจะแทรกตัวหว่างขา มือไม่ละ ริมฝีปากไม่จาก ทุกอย่างเป็นธรรมชาติเหมือนการลดตัวลงนอนบนเตียง เคโกะกำเสื้อโค้ทแน่น ก่อนเลื่อนมือลูบตามลำตัวดาบิ ผ่านวงโลหะบนยอดอกทั้งสองข้าง ลงถึงหน้าท้อง และลงต่อไปก่อนรวบมือช้า ๆ

ยิ้มเมื่อรู้สึกว่าร่างเหนือตัวสะดุ้งรับ

ดาบิข่มเสียงในลำคอแล้วถอนจูบ แต่ก่อนจะทันได้กล่าวอะไร เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น

พวกเขาจ้องหน้ากัน เสียงโทรศัพท์เงียบแล้วดังต่ออย่างไม่ยอมแพ้

“คงจะเรื่องแวนการ์ด” เคโกะลูบหน้า

ดาบิฉีกยิ้มเหมือนแมวเชสเชียร์ ถอยตัวออกให้เขาลุกขึ้นนั่ง ทิ้งความปวดและร้อนรนในช่องท้องไปอย่างง่ายดายและเลวร้ายอย่างที่สุด

ชายผมดำชันศอกบนพนัก มือลูบริมฝีปาก ดวงตาสีฟ้าวาวมองเหมือนฉีกเปลือยทุกรายละเอียดบนร่าง “ความสนุกเพิ่งเริ่ม”

เคโกะเห็นด้วย เขาเดินไปหยิบมือถือที่วางทิ้งบนโต๊ะทานข้าว ชื่อที่แสดงบนหน้าจอคือลุดวิก

ดาบิตามมากอดจากด้านหลัง คางเกยไหล่พร้อมกับก้มมองหน้าจอ “ฉันต้องหึงไหม”

“อย่าเลย” เคโกะว่า เขาไม่ทันรับสายที่สอง เสียงข้อความเข้าดังขึ้นแทน ตากวาดอ่านเห็นแค่ตัวเลขเรียบง่ายแล้วรู้สึกปวดหัวขึ้นมา

500%

ราคาดีดไปถึงขั้นนั้นในเวลาไม่ถึง 24 ชั่วโมง

เสียงหัวเราะผะแผ่วลอดริมฝีปากวายร้ายผู้อยู่เบื้องหลัง “มาพนันกันไหม คุณผู้จัดการเฮดจ์ฟันด์”

ดาบิกระซิบข้างหู แหบทุ้มและลุ่มลึกด้วยนัย

“ชอบชอตหุ้นนักไม่ใช่เหรอ ฉะนั้นนายเดิมพันว่าราคาตก ส่วนฉันเดิมพันว่าราคาขึ้น ใครแพ้ต้องถูกล่ามเหมือนหมา”

การพนันแบบมัดมือชกนี้ไม่ยุติธรรมเลยสักนิด เคโกะนึกประท้วง แต่ทำเพียงประท้วงในใจ เพราะหากพูดออกไปก็เหมือนถ่มน้ำลายขึ้นฟ้า

ทุกธุรกรรมในโลกการเงินไม่ต่างจากการพนัน งานของเขาคือการพนัน และไม่มีการพนันใดที่ปราศจากเล่ห์กลเพื่อให้ตนถือข้างผู้ชนะ ไม่มีสิ่งที่เรียกว่าตลาดเสรี ทุกครั้งที่คนเบือนหน้าหนีจะมีมือล่องหนคอยผลักดันทิศทางมันอยู่เสมอ

เพียงแต่ครั้งนี้มือล่องหนมีหลายคู่ และมาจากคนหมู่มากที่ต้องการกระชากหน้ากากของคนบนหอคอยงาช้าง พวกเขาถูกกดหัวมานานเกินไป สักวันหนึ่งความอึดอัดคับข้องย่อมต้องระเบิดออกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

และสักวันที่ว่านั้นเริ่มก้าวแรกที่วันนี้

เคโกะส่งอีโมจิยิ้มทั้งน้ำตาก่อนวางมือถือลง ทำอะไรไม่ได้นอกจากปลงตก เรื่องราวนี้เกินควบคุม แต่ยังมีเรื่องหนึ่งที่พอรับมือได้

เขาหมุนตัว คล้องแขนรอบคอดาบิ คลี่ยิ้มท้าทายแม้เป็นฝ่ายพ่ายแพ้

“หาปลอกคอมาให้สวมเลยดีกว่าเจ้านาย”


 


 


1 ชอต (Short) คือการยืมหุ้นมาขายทันทีก่อนซื้อคืนมา เป็นการรับกำไรส่วนต่างจากการขายแพงแล้วซื้อถูก แง่หนึ่งเหมือนการเดิมพันว่าราคาหุ้นที่ขายไปนั้นจะตก

2 อีวิลคอร์ป เป็น Fictional Corperate และเป็นชื่อเล่นที่ใช้เรียก อีคอร์ป (E Corp) บริษัทข้ามชาติขนาดใหญ่ที่สุดในโลกจากซีรีส์ Mr.Robot