วันศุกร์ที่ 15 เมษายน พ.ศ. 2565

[Stranger Things] Mr. Sandman (Billy/Steve)


Mr. Sandman

Stranger Things

— Billy / Steve —

Summary : หลังเหตุการณ์ที่ห้างสตาร์คอร์ท สตีฟไม่สามารถทนกลิ่นของสนิมกับควันได้อีกเลย

Note : Please listen to Mr. Sandman.





หลังเหตุการณ์ที่ห้างสตาร์คอร์ท สตีฟไม่สามารถทนกลิ่นของสนิมกับควันได้อีกเลย

เลือดกับไฟมอบความเชื่อมโยงที่แจ่มชัดเกินไปของปีศาจ สตีฟเคยคิดว่าการปล่อยให้เพื่อนนักเรียนตายในสระน้ำคือความโหดร้ายที่สุดที่ต้องกล้ำกลืนไว้กับตัว แต่ทุกอย่างไม่เคยเป็นไปตามที่หวังในฮอว์กิ้นส์ เขาสูญเสียแนนซี่แต่ได้เห็นความลับ เขาเผชิญหน้ากับสัตว์ร้ายพร้อมกับแบกรับอันตรายจากโลกที่ห่างเพียงปลายเส้นผม สตีฟหลงทาง ก่อนพบว่าจุดหมายที่ต้องการไปให้ถึงถูกทำลายจนย่อยยับ

กล้าต่อกรกับสัตว์ประหลาด แต่กลับกลัวสิ่งที่ตนเองปรารถนาที่สุด และเมื่อไม่เหลือหนทางได้มาครอง เขาก็ทำได้แค่ภาวนาในความฝัน

หากเพียงความฝันนั้นเกิดจากผงทรายในเบ้าตา

สตีฟเกลียดกลิ่นเลือดเนื้อและเปลวควัน แต่การปล่อยให้ความมืดสิงสู่ดวงตาไม่ใช่เรื่องดี ปลายนิ้วของเขาแตะต้องบางสิ่งที่เรียวยาว แห้งเฝื่อน สตีฟจับปลายด้านหนึ่ง หันปลายที่มนกลมกับผิวโต๊ะ แล้วลากมันอย่างรวดเร็ว เสียงซ่าเหมือนคลื่นวิทยุแทรกผ่านอากาศ สะเก็ดไฟลุกพราวก่อนมอบความสว่างให้กับสถานที่แห่งนี้

สิ่งที่อยู่ตรงหน้าของเขาคือชั้นเหนือเตาผิงเก่าโทรม ตะเกียงพายุเปิดฝาอ้าไว้ราวกับรอคอย สตีฟวางไม้ขีดไฟก่อนปิดฝากระจก กลิ่นเผาไหม้จางหายไป แทนที่ด้วยกลิ่นโลหะเย็นเยียบขณะที่เขาหยิบตะเกียงมาถือ แสงวิ่งตามวัตถุ โซฟาลายลูกไม้ โต๊ะเก้าอี้ที่วางระเกะระกะ หนังสือตกแผ่บนกองฝุ่น และพรมที่ขาดวิ่น เมื่อสตีฟหมุนตัว เงาบนผนังขยับเยื้องเหมือนมีชีวิต แล้วความสว่างก็ส่งต่อกันเป็นทอดจนกระทั่งถึงจุดแวววับมากมายบนที่สูงไกลโพ้น

ท้องฟ้าดำสนิทเหมือนผิวหมึก แสงกระพริบส่องลงมายังห้องที่เขายืนอยู่ ห้องที่มีเพียงครึ่งเดียว ราวกับอีกครึ่งส่วนของมันถูกมือขนาดยักษ์คว้านออก ผนังสิ้นสุดลงด้วยเศษอิฐและซากวอลเปเปอร์ ลมพัดกระทบหน้าหอบเอาไอเกลือลงปอด เสียงคลื่นกวาดบนหาดทรายทำให้สตีฟต้องหยุดมองอย่างสงสัย เขาอยู่ที่ไหน ไม่อาจหาคำตอบได้ แต่เท้าก็พาตัวผ่านพื้นไม้ลงย่ำเม็ดทรายเสียแล้ว

ปุยเถ้าตกลงมาจากท้องฟ้า ในไอเกลือแฝงกลิ่นฉุนสนิม

สตีฟหันหลังกลับไปมองห้องรับแขกกลางชายหาดอันเวิ้งว้าง กล่าวกับตนเองว่านี่คือความฝัน

ทว่าเมื่อเหลียวกลับมายังทะเล เขาอยากให้มันเป็นความจริง

ผู้ชายคนหนึ่งยืนอยู่กลางคลื่นที่สูงถึงเข่า ผมยาวหยักศกสีบลอนด์เข้มเปียกชื้น ไม่เหมือนกับยามอยู่บนสนามแข่งหรือลานหน้าบ้านบายเออร์ สตีฟพบว่าตนเองต้องใจสลายเมื่อเห็นว่านัยน์ตาที่เคยเต็มไปด้วยความโกรธและจองหองนั้นเป็นเหมือนกระจกที่แตกร้าว

สตีฟยกตะเกียงพายุขึ้น ก้าวทีละนิด หวังให้วงล้อมของแสงเอื้อมไปให้ถึงร่างที่ยืนกลางน้ำ เขาไม่รู้เลยว่าเวลานี้สมควรทำอย่างไรกับคนตรงหน้าดี 

‘บิลลี่’

ดวงตาที่เคลือบด้วยฝ้าพลันระริกแสงครู่หนึ่งก่อนวูบหายอย่างรวดเร็ว สตีฟเดินเหยียบคลื่นทะเล สายน้ำยะเยือกแทบแช่แข็งผิวเนื้อ สตีฟหนาวสั่น แต่อากาศที่สูดเข้าโพรงปอดนั้นเผาไหม้เลือดในกาย

บิลลี่ขยับยิ้มบิดเบี้ยว สตีฟเพิ่งสังเกตได้ว่าอีกฝ่ายกำลังสั่นไม่ต่างกัน แต่ด้วยเหตุที่น่าจะอยู่นอกเหนือความเข้าใจของเขา ดวงตาบิลลี่ไม่จับจ้องอะไรเลย คล้ายไม่ได้มอง เปลือกตาของเขาไม่ขยับ สีเขียวภายในนั้นถูกกลืนกินด้วยสีดำจนเป็นวงแหวน ยิ่งเข้าใกล้ ยิ่งสัมผัสได้ว่าความเย็นเยียบดังอากาศกลางฤดูหนาวนั้นไม่ได้มาจากทะเล แต่มาจากร่างของบิลลี่เอง

‘เกิดอะไรขึ้น’ สตีฟกระซิบ เขากลัวว่าหากเอ่ยดังกว่านี้จะทำให้บิลลี่แตกสลายกลายเป็นควัน

‘ไม่เห็นเหรอ’ บิลลี่ตอบ

เสียงของเขาแหบพร่า แต่เรียบนิ่งอย่างน่าใจหาย

‘เห็นอะไร’ สตีฟถามอีกครั้ง

‘ฉันทำทุกอย่าง...’ บิลลี่หยุด ราวกับว่าแต่ละคำที่สะกดออกมากำลังกัดกินเขาอยู่ข้างใน ‘...เพื่อให้มันตาย’

‘มันตายแล้ว’ สตีฟบอก

‘มันยังอยู่’

‘แล้วนายล่ะ’ สตีฟแปลกใจที่เขาไม่ได้โพล่งคำถามนี้ออกไปแต่แรก ‘นายอยู่ที่ไหน’

บิลลี่นิ่งเงียบก่อนส่ายหน้าช้า ๆ ตัวโคลงเคลง ลมโบกสะบัดไต่ระดับกลายเป็นพายุที่ขอบมหาสมุทร

‘นายไม่รู้เหรอ’ หากเป็นสถานการณ์อื่น สตีฟคงหลุดยิ้ม เขาเอื้อมมือออกไปดึงแขนบิลลี่ที่ทำท่าคล้ายจะสะดุดล้มลง

แต่มือของบิลลี่กลับพลิกคว้าจับข้อมือของเขา สตีฟไม่ทันร้องอุทานเสียด้วยซ้ำก่อนล้มลงไปในทะเล ผืนทรายใต้เท้าหายวับ ไฟในตะเกียงดับวูบ มวลน้ำกระแทกเข้าจากทุกทิศทาง แต่เขาไม่รู้สึกกลัวว่าจะขาดอากาศหายใจ สตีฟไม่รู้สึกแสบตา ไม่รู้สึกตระหนก หลังฟองคลื่นเคลื่อนจากไป บิลลี่ก็ปรากฏอยู่เบื้องหน้า จากที่เป็นฝ่ายถูกดึงเข้าหา สองมือของพวกเขาประสานกันไว้

ใต้ท้องน้ำ ทุกสรรพเสียงถูกตัดขาด บิลลี่อยู่ใกล้แค่ปลายจมูก แต่สตีฟรู้ว่าเขาอยู่ไกลกว่านั้น ในสถานที่มืดเย็นและเงียบสงบเหมือนใต้มหาสมุทรนี้เอง มีกลิ่นสนิม มีกลิ่นไหม้ สตีฟเกลียดรสชาติฝาดขมที่ลุกลามบนลิ้น แต่ไม่นึกรังเกียจความร้อนวาบที่ตามมา

ริมฝีปากขยับ แล้วมันก็แบ่งบานเหมือนกลีบดอกไม้ บอบบาง ร้อนรน ราวกับเกรงกลัวว่าจะไม่มีโอกาสได้สัมผัสดวงตะวัน

แต่แสงส่องสว่างได้เพียงชั่วครู่เท่านั้น รสฝาดของเหล็ก รสขมของไฟ ทั้งสองสิ่งเคลื่อนหาย กลีบดอกไม้ฉีกออก ร่างของพวกเขาแยกขาดจากกัน

ความตระหนกไหลท่วมปอดสตีฟ ‘บิลลี่!’ เขาร้อง แต่ไม่สามารถทำอะไรได้นอกจากมองเจ้าของนามห่างไกลออกไปเรื่อย ๆ บิลลี่จมลงในความมืด ขณะที่เขาเคลื่อนขึ้นเหนือน้ำด้วยเวลาที่ยืดขยายคล้ายไม่มีวันสิ้นสุด และถูกทิ้งให้ยืนบนชายหาดอันปราศจากทะเล

ท้องฟ้าสว่างเท่าแสงของรุ่งอรุณ แต่เถ้าควันยังตกลงมาไม่หยุดหย่อน

สตีฟก้มมองพื้นทราย พบรอยเท้าที่หันเข้าหาเขา มันทอดยาวคล้ายเดินถอยหลังจากไปบนพื้นซึ่งเคยมีน้ำทะเล

ตะเกียงพายุฝังอยู่ไม่ไกล บ้านครึ่งหลังยังตั้งร้างอยู่เบื้องหลัง สตีฟตัวแห้งผาก แต่ใบหน้าเปื้อนฝน พายุหมุนครึ้มวนที่สุดขอบโลก คำรามพร้อมแสงแดงฉาน สีเดียวกับนัยน์ตาของสัตว์ประหลาดจากมิติพลิกกลับ

ความตระหนักตัวว่าถูกมองแล่นลงไขสันหลัง สตีฟเหลียวดูข้างตัว ข้างกายเห็นแค่ทราย แต่ในเวลาเดียวกันยังเห็นดวงตาสีดำคู่หนึ่งที่คุ้นเคย

และสตีฟ แฮร์ริงตัน ก็ตื่นขึ้นพร้อมกับดวงตาที่บวมและเหือดแห้ง

สติของเขายังล่องลอยขณะนอนมองเพดาน ร่างกายไร้น้ำหนัก ไร้ความรู้สึก พยายามเก็บเศษความทรงจำที่กระจัดกระจาย สตีฟหรี่ตาเมื่ออากาศสัมผัสต้องมากเกินไป เขาลุกขึ้นนั่งพร้อมด้วยอาการปวดร้าวราวรอยแตกระแหงถึงท้ายทอย และส่วนรากของความเจ็บปวดนั้นเอง ความเย็นไร้ที่มาเป่ารด สตีฟขนลุกชัน ตัวสั่นด้วยความหนาว ในเดือนของฤดูใบไม้ผลิ

เสียงโทรศัพท์กรีดร้องมาจากชั้นล่าง หัวใจเต้นโลดด้วยความตระหนก สตีฟนวดอกซ้ายตัวเองก่อนค่อย ๆ ลุกจากเตียง เดินตามเสียง

เขาไม่รีบร้อน ปลายสายเองก็ไม่ยอมแพ้ เสียงกริ๊งกังวานในบ้านที่เงียบสงัด ไม่มีใครอยู่ที่นี่นอกจากเขา

น่าแปลกที่สตีฟรู้ว่าอีกฟากเป็นใครก่อนจะยกหูโทรศัพท์เสียอีก

“เขายังอยู่” เสียงเด็กสาวสั่นพร่า

“ฉันรู้” สตีฟตอบ

เสียงลมหายใจดังก้องสองทบอย่างระงับความตื่นเต้น เด็กสาวกล่าวต่อ “ทำไมถึงเป็นคุณ” เจนงุนงง “ทำไมเขาถึงไปหาคุณ”

สตีฟหยุดคิดครู่หนึ่ง ภาพแสงเงาอันเกิดจากตะเกียงพายุ เสียงลม คลื่นทะเล ย้อนกลับเข้ามาหลังม่านตา

เขาได้กลิ่นเลือดกับควัน

“คงเพราะนอกจากสัตว์ประหลาดพวกนั้นแล้ว” สตีฟพูด “เรากลัวกันและกันที่สุด”


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น