วันเสาร์ที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2565

[MHA] Eventually, everything falls (Dabi/Hawks)


Eventually, everything falls

Boku no Hero Academia

— Dabi / Hawks —

Warning : Explicit Sexual Content, Graphic Depictions Of Violence, Body Horror, Unhealthy Relationships, Consensual But Not Safe Or Sane

Summary : ใครบางคนตกจากฟ้าลงมาในอ้อมแขนของดาบิ

Note : Alternate Universe - The Magnus Archives (Horror fiction anthology podcast) ไม่เคยฟังก็อ่านได้ค่ะ แต่มีการกล่าวถึงส่วนหนึ่งของสปอยล์ที่สำคัญมากในซีซั่นสามของพอดแคสต์นะคะ, ต้องอ่านสองตอนก่อนหน้าเพื่อให้เข้าใจเรื่องนี้ค่ะ ได้แก่





สุดท้ายแล้วทุกสิ่งต่างร่วงหล่น

แต่ตกลงจากฟากฟ้าคงเป็นความทรงจำแรกพบแบบสุดท้ายที่ใครสักคนจะนึกออก บนถนนเส้นหนึ่งที่ตัดผ่านทะเลทรายรกร้าง แค่ลมหอบหนึ่งที่แรงพอจะสะกิดความตระหนักรู้ ก่อนที่แขนทั้งคู่จะยื่นออกมารับอะไรบางอย่างที่ร่วงลงด้วยความเร่งราววิหคโฉบเหยื่อ

สิ่งที่ดาบิรับได้ไม่ใช่นักล่าประดับปีก หากเป็นชายหนุ่มคนหนึ่งที่ระเหยหอมกลิ่นโอโซน กลิ่นของชั้นบรรยากาศที่อยู่เหนือเถ้าควันและเศษซากโสมม กลิ่นอันบริสุทธิ์ของสิ่งที่อยู่ห่างไกลเงื้อมมือพื้นพิภพ ทว่าจะแตกต่างจากเดิมอย่างไรหากคุณตกเป็นเหยื่อของดวงตาสีอำพันในเสี้ยววินาที และถลำลึกรวดเร็วเกินร่างกายจะไล่ตามความรู้สึกเมื่อเสียงสะดุดกึกของลมหายใจอันเกิดจากความเจ็บปวดแสนสาหัสที่มาอย่างไม่ทันตั้งตัวดังก้องสองหู

ความร้อนเยี่ยงหินหลอมเหลวในขุมลึก ไม่มีใครสามารถทานทน ไม่มีใครรอดชีวิต ดาบิไม่เคยได้สดับเสียงร้องทรมานที่มีท่วงทำนองเกินกว่าเสียงขลุกขลักในลำคอก่อนที่ผู้ต้องสัมผัสจากน้ำมือของเขาจะละลายเป็นกองกระดูกกับขี้เถ้าแห้งกรัง ช่วงชีวิตสั้นยิ่งกว่าแมลงเม่ายามบินเข้ากองไฟ ทั้งสั้นและเล็กจ้อยเหมือนการเก็บเศษน้ำตาลมาแต้มลิ้น

แต่ใครคนนั้นที่ตกลงมาในอ้อมแขนของเขากลับไม่ยอมมอดไหม้ ชายผมทองที่มีรูปลักษณ์สะดุดตาแต่แรกเห็น เพียงเผยอปากเปล่งลมหายใจ ไม่ทันส่งสุ้มเสียงกล่อมเกลาเปลวไฟอันกระหายหิวของเขาด้วยซ้ำ ดาบินิ่งมองเหมือนพบสิ่งที่น่าพิศวงที่สุดในโลก เหม่ออยู่ในภวังค์ของการพบความอัศจรรย์อันหาได้ยากยิ่งในอาณาเขตไพศาล ปล่อยให้ชายที่อาจนำมาซึ่งโอกาสในการเสพสมไม่รู้จบหลุดจากการครอบครอง

ท้ายที่สุด ชายคนนั้นตกลงบนพื้นเหมือนนกปีกหัก

ไม่วายมอบสายตาคล้ายกับคาดโทษที่เขาปล่อยมือง่าย ๆ ทั้งที่อีกฝ่ายพยายามดิ้นให้หลุดเอง

ชายผมทองหรี่ตา “นายเป็นสาวกอะแซกเหรอ”

คำถามแสดงถึงประสบการณ์ในโลกของพวกมัน ดาบิจึงตอบด้วยชุดความคิดระดับเดียวกัน

“ส่วนนายก็เป็นของไททัน” ดาบิคลี่ยิ้ม ไม่ใช่รอยยิ้มสร้างมิตรภาพระหว่างคนแปลกหน้า “นึกไม่ถึงเลยว่าสาวกของไททันจะใช้สมญานามยักษ์ผู้ร่วงหล่นตรงตามตัวอักษร”

ชายผมทองดูหงุดหงิด เขายันตัวขึ้นจากพื้น ยืนโงนเงนเหมือนไม้ปลิวลม “ไม่ได้เกิดขึ้นตลอดหรอก” ร่องรอยเดิมทดแทนด้วยอาการเฉยชากับความสงสัย ดวงตาสีอำพันไล่มองใบหน้าจรดแขนของเขาเหมือนวาดแผนที่ “ดูโทรมจังนะ ไม่เคยเห็นสาวกของอะแซกที่มีแผลเป็นมาก่อน”

ดาบิมองอีกฝ่ายกุมต้นแขนข้างที่ผ่านสัมผัสจากมือของเขา ปลายนิ้วดาบิกระตุกสั่น รู้สึกเหมือนคันในจุดที่เอื้อมไม่ถึง

“นายก็ดูดีเกินไปจนอาจจะดึงดูดผู้ไม่หวังดีเข้าหาตัว”

มุมปากขยับคล้ายจะยิ้ม “ยังมีอะไรที่เลวร้ายกว่าการพบพวกมันอีกเหรอ”

โอ “แล้วนายจะแปลกใจ”

ดาบิหัวเราะในลำคอ ขาก้าวเข้าหา ทำทีอย่างไร้จุดประสงค์ อีกฝ่ายไม่ได้ถอยหนี แต่เข้าใจดีว่าระหว่างสาวกของพวกมันไม่มีคำว่าเมตตา พวกเขาละทิ้งส่วนเสี้ยวความรู้สึกไปพร้อมกับความเป็นมนุษย์ เขาจึงจ้องทุกอากัปกิริยาอย่างระแวดระวัง

ทว่าการกระทำนี้เหมือนสาดน้ำมันลงในกองไฟ

“ชื่ออะไร”

คนตรงหน้าเลิกคิ้ว “ตามมารยาทแล้วควรบอกชื่อตัวเองมาก่อนสิ”

“ดาบิ”

“ฮอว์ค” ฮอว์คเอียงคอ “ดาบิ คนที่ตามฆ่าสมาชิกลัทธิไลท์เลสเฟลมไม่ใช่เหรอนั่น”

“ไม่ได้ตามฆ่า พวกนั้นพาตัวมาขวางทางฉันกันเอง”

“ถ้าอย่างนั้นฉันที่ร่วงลงมาทับต้องถูกจับเผาด้วยหรือเปล่า”

“เรื่องนั้นก็กำลังคิดอยู่”

ดาบิโน้มตัวเข้าหา มองมุมที่สูงกว่าแล้วเหยียดยิ้ม สีหน้าของฮอว์คไม่เผยความคิด เก็บอารมณ์ได้ดีจนน่าระอา น่าเอื้อมคว้า สัมผัสถ้วนทั่วจนกว่าจะเจอรอยแยกบนหน้ากาก

ด้วยถือตัวว่าเป็นนักปฏิบัติ ดาบิจับต้นแขนของฮอว์ค จุดที่เคยถูกฝ่ามือของเขาฉาบด้วยความร้อนสูง ผิวเนื้อตรงนั้นยังอุ่นนิ่ม เขากำแน่น

ฮอว์คหลุดเสียงร้อง พยายามกระชากแขนออกให้หลุด “ปล่อยสิวะ!”

ดาบิฉีกยิ้ม “เรื่องอะไรต้องทำตามที่พูดด้วยล่ะ ฉันกำลังคิดอยู่ว่าจะจัดการนายยังไง ขอแนะนำว่าอย่าดิ้นแรงนักดีกว่าถ้าไม่อยากให้แขนขาด”

อีกฝ่ายหยุดนิ่งทันที เหงื่อเริ่มผุดพรายข้างขมับ ฮอว์คกัดฟันข่มความเจ็บ ดวงตากินเลือดกินเนื้อ ภายใต้ช่วงเวลาหลังอาทิตย์ตก มันสุกปลั่งเหมือนดาวฤกษ์ที่ลุกไหม้

และนาทีถัดมา โลกรอบข้างก็แตกสลายเป็นความเวิ้งว้างว่างเปล่าไร้ที่สิ้นสุด ผีเสื้อนับพันบินในร่าง ปลายประสาทชาดิก รู้สึกเหมือนลอยคว้าง รู้สึกเหมือนกำลังตก

ดาบิลั่นเสียงหัวเราะ ดึงร่างที่จับไว้เข้ามาในอ้อมแขน เข้ามากอด

“ไม่ได้ผลหรอก” ลมหายใจของเขาคล้ายไอจากปากปล่องภูเขาไฟ มือลูบผ่านช่วงเอว เลื่อนขึ้นแผ่นหลัง คาดหวังว่าจะเห็นปีก แต่พบเพียงร่างที่สั่นกระตุกจากความแสบร้อน ก่อนประคองตรงท้ายทอย เอ่ยเปรยความสงสัย “นายไม่ไหม้”

ฮอว์คพยายามผลักเขาออก แต่ล้มเหลวไม่ต่างจากนกที่ดิ้นรนในกรงคลอกเปลวเพลิง

ทว่านกตัวนี้ไม่ยอมไหม้ ไม่ยอมตายเหมือนคนอื่น

ผิวของฮอว์คแดงก่ำ ดาบิมองแขนข้างที่เขาเพิ่งจับ มันแค่ขึ้นรอยแดงเท่านั้น

“อีกไม่นานหรอก ได้ตายสมใจนายแน่” ฮอว์คพูดลอดไรฟัน

ดาบิยอมถอยออก แต่วงแขนยังคล้องเอวฮอว์คไม่ให้หนี ปากกล่าวเสียงกังขา “ตายเหรอ ไม่น่าจะเป็นไปได้”

ไม่เพียงเพราะอีกฝ่ายไม่ยอมตายใต้เปลวไฟไร้แสง แต่เพราะดาบิจะไม่ยอมให้สิ่งเดียวที่สามารถตอบสนองสัมผัสของความร้อนและพลอดบทเพลงจากทัณฑ์ทรมานอันหอมหวานนี้แก่เขาต้องหลุดมือ

ราวกับว่ายักษาแห่งห้วงเวหากับความกว้างใหญ่เหลือคณาส่งบรรณาการมีชีวิตมาให้แดนไร้ชีวิต ผลักกระแสแห่งการทำลายล้างให้ยุติที่คนเพียงคนเดียว ทั้งหมดนี้อาจเป็นแผนการจากสิ่งที่อยู่เหนือกว่าความเข้าใจของเขา อาจเป็นความตั้งใจจากบรรดาพระเจ้าของเขา แต่เหตุใดจะต้องไยดี จะมีสิ่งใดปลุกเร้าความหฤหรรษ์ของสาวกอะแซกได้เท่าการผลาญเผาตนเองให้วินาศ

ฮอว์คเป็นของเขา ทาคามิ เคโกะ เป็นของเขา แค่เขาที่สามารถสร้างรอยไหม้และความทุกข์ทนอันสาหัสสากรรจ์ และดาบิก็สนองความปรารถนาของตัวเองได้สำเร็จสวยงาม เขารู้จุดอ่อนของฮอว์ค เขาคล้องห่วงสีชาดอันน่าสยดสยองทั่วร่างกายที่ไม่ยอมมอดไหม้ แต่ละครั้งที่หวนกลับมาพบกัน ดาบิหาทางตักตวงฉวยเอาอะไรบางอย่างมาได้เสมอ ทีละเล็กทีละน้อย นับแต่เมืองเปลี่ยวร้างในบูโคดา จนกระทั่งเวลาล่วงเลยมาถึงปัจจุบัน

จากบนพื้นคอนกรีต มาบนเตียงที่ปูในรถตู้เก่าครึ จอดทิ้งในความมืด มีเพียงแสงดาวสาดส่อง โลกมืดมัวเช่นเนื้อหนังที่ถูกเผาจนเข้มดำ เสียงหอบหายใจคือบทกวีที่บรรเลงเร้าสู่เบื้องล่าง ฮอว์คนั่งบนตักของเขา หันเข้าหา ยอมรับจูบที่คล้ายกับการกัดกิน แขนสองข้างกอดเข้าหาตัวเอง ร่างเอนออกห่างให้มากที่สุดเท่าที่ทำได้ เพราะถึงไม่ตาย แต่ความเจ็บจากการแผดเผาก็ร้ายแรงจนไม่อาจทำความคุ้นชิน

ทว่าดาบิย่อมเบียดแทรกเข้าหา ไม่ยอมให้เกิดช่องว่างระหว่างกัน เพราะความเจ็บปวดของฮอว์คคืออาหารที่เขาดื่มกิน เขาหิวโหยเยี่ยงหมาป่าที่ไร้ของตกถึงท้อง นับแต่การเปลี่ยนแปลง สลัดทิ้งความเป็นมนุษย์ เขาไม่เคยอิ่มเอมอย่างแท้จริง เมื่อตักตวงได้จึงทำทุกวิถีทางกระทั่งที่มองได้ว่าโหดร้ายอย่างไม่เคยปรากฏ

ดาบิโน้มตัวตาม ในเกมที่ใครแสดงความอ่อนแอก่อนคือฝ่ายพ่าย เขากลับกลายเป็นแมลงเม่าที่บินเข้ากองไฟ แต่ยามดันร่างผู้จำแลงของพลังเก่าแก่ที่อยู่มานานไม่แพ้ความมืดมิด ยามจับสองขาแยกออกแล้วสอดใส่ ใช้เปลวไฟที่ปอกลอกความสว่างอันอบอุ่นนุ่มนวลทิ้งจนเหลือเพียงตอตะโกของการทำลายมาโอบรอบร่าง พวกเขาเจ็บปวดไปพร้อมกัน สุขสมร่วมกัน ฮอว์คอาจจะปล่อยให้หยดน้ำคลอรอบดวงตา อาจจะกรีดเสียงหวานและทุรนทุราย แต่ร่างนี้อ้ารับทุกสิ่งทุกอย่างที่เขามอบให้เสมอ

ในวินาทีที่ต่างยุ่งเหยิงกับการหายใจและการประคับประคองจังหวะให้ออกห่างจากคำว่าเชื่องช้า ดาบิไม่หลับตาแม้ขณะลากลิ้นผ่านริมฝีปาก เขามองดูฮอว์ค พร่ำชื่อเพื่อสะกดเจ้าของนามให้รู้ว่าใครเป็นคนทำลายเขา ใครเป็นคนฉีกความกระสันอยากออกมาราดเชื้อแล้วจุดไฟ

ใครเป็นคนรอรับยามที่เขากำลังตก

แต่บางเวลาที่ความรู้สึกสุขเอ่อล้น ฮอว์คจะกอดแขนรอบลำคอของเขา กอดตอบอย่างไม่เกรงความร้อน เผยดวงตาทอดมอง กลิ่นโอโซนกับไฟเกี่ยวกระหวัด และสัมผัสบนริมฝีปากก็อ่อนโยนจนดาบิแทบคลั่ง เพราะมันบิดเบี้ยวจากธรรมชาติของเขา ธรรมชาติของไฟไร้แสง

แต่ท้ายที่สุดแล้วทุกอย่างต้องล่มสลาย จุดหมายของเขาและพระเจ้าของเขาคือดินแดนที่ถูกฉีกทึ้งทำลายจนไม่หลงเหลือสิ่งใดอีกกระทั่งตนเอง

บางทีจุดเริ่มต้นของมัน อาจเป็นการที่ทุกสิ่งร่วงหล่น


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น