วันอาทิตย์ที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2565

[หาญท้าฯ] สามครั้ง (อู่จู๋/ฟ่านเสียน)


สามครั้ง

หาญท้าชะตาฟ้า ปริศนายุทธจักร

อู่จู๋ / ฟ่านเสียน

Warning : Spoiler Alert for Season 1

Summary : สามครั้งที่อู่จู๋พาฟ่านเสียนเข้านอน

Note : ฉากสุดท้ายขออนุญาตหยิบยืมไอเดียของ @thedyingdays ค่ะ







อู่จู๋เดินทางกลับเมืองหลวงทันทีที่ทราบข่าวการลอบสังหารบนถนนหนิวหลาน เพราะเมื่อชั่งน้ำหนักแล้ว ความปรารถนาของเขาก็ยังไม่สำคัญเท่าความปลอดภัยของฟ่านเสียน

มาถึงเมืองหลวงกลางดึก ประจวบเหมาะกับเงาร่างหนึ่งที่คุ้นตาเคลื่อนออกมาจากจวนสกุลฟ่าน อู่จู๋จึงเปลี่ยนทิศทางคอยตามติดเงียบงัน ผ่านผ้าปิดตาเขากลับเห็นเป้าหมายของฟ่านเสียนได้โดยกระจ่าง สวมชุดมิดชิด มือกำมีดเล่มหนึ่ง คงต้องการสังหารใครสักคนไม่ผิดแน่

ไม่จำเป็นต้องถามหาเหตุผล ความตั้งใจเพียงหนึ่งเดียวของเขาคือคอยคุ้มกันจากด้านหลัง แต่เมื่อสังเกตเห็นฝีเท้าหนักเบาสลับอย่างไร้จังหวะ ฝีเท้าที่ไม่ช้าไม่เร็วทว่าเต็มไปด้วยใจลังเลแล้ว อู่จู๋เริ่มครุ่นคิด

ดูจากทิศทางคล้ายมุ่งไปยังจวนสกุลหลิน ที่แห่งนั้นคนที่มีฝีมือเชิงยุทธ์ เห็นจะมีแค่บุตรชายคนรองของเสนาบดีหลินเท่านั้น วัดฝีมือกับฟ่านเสียนไม่นับว่าห่างชั้นกันนัก แต่สภาพจิตใจไม่ปกติถึงขั้นส่งผลต่อการเคลื่อนไหวเช่นนี้ นอกจากจะเสียความได้เปรียบของการจู่โจมยามวิกาลขณะอีกฝ่ายไม่ทันระวังแล้ว ยังอาจเป็นการเอาชีวิตไปทิ้ง

ความเสี่ยงสูงเกินไป อู่จู๋ประเมินแล้วไม่อาจยอมรับได้ เขาจึงเผยตัว กระโดดลงมาจากหลังคาเรือน ขวางทางฟ่านเสียน บอกให้กลับไปเสีย

จิตใจสับสน อารมณ์แปรปรวน เป็นตรรกะหนักแน่นเพียงพอที่จะล้มเลิกแผนการนี้ เขาไม่เข้าใจว่าเหตุใดฟ่านเสียนจึงเอาแต่ยกเรื่องคนตายขึ้นมาพูด ทั้งที่มันไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกัน

ไม่เข้าใจว่าเหตุใดจึงดิ้นรนนำชีวิตไปทิ้งนัก ถึงขนาดพุ่งเข้ามาโรมรันกับเขาอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน

แต่ไหนแต่ไรมา ฟ่านเสียนปรารถนาสิ่งใด หากจัดการได้ เขาก็จะจัดการให้ทุกอย่าง ขอเพียงบอกมา อู่จู๋ไม่เคยอิดออด ไม่เคยลังเล ทว่าความตายของคุณหนูเปลี่ยนแง่มุมความคิดของเขา แม้ไม่อาจจำได้ทั้งหมด แต่เหตุการณ์นั้นก็ทำให้เขาได้เรียนรู้ว่าบางครั้งเมื่อความต้องการของผู้เป็นนายนำมาซึ่งภยันตรายต่อชีวิต ตนก็จำต้องขัดขวาง

ชีวิตของเจ้าสำคัญที่สุด เหตุใดจึงไม่เข้าใจ

ฟ่านเสียนตวัดคมมีดออก อู่จู๋ก็ไม่รั้งรอไถ่ถาม พวกเขาประมือกันบ่อยครั้งจนรู้ว่าเวลาใดควรพูด เวลาใดควรใช้กำลัง อู่จู๋ไม่เคยออมมือ แต่ก็ไม่เคยใช้ความสามารถที่เหนือกว่ากดข่มจนฟ่านเสียนไร้ทางสู้ ครั้งนี้ก็เช่นกัน เพียงแต่ยอมตั้งรับให้มากหน่อย ถอยหลังให้มากหน่อย มองเห็นช่องโหว่จากความใจร้อนมากมาย แต่ก็ปล่อยให้ฟ่านเสียนได้ระบายออกมา

ฝีมือพัฒนาขึ้นมาก อู่จู๋นึกขึ้น ระหว่างที่ความคิดนี้ไหลเวียนในหัวยังเกิดความรู้สึกอันยากจะอธิบาย

เมื่อสู้รบปรบมือจนคาดว่าน่าพอใจแล้ว เขาจึงใช้ฝักกระบี่ตีใส่ลูกศิษย์จำเป็นคราหนึ่ง แจ้งสิ่งที่คิดออกไป หวังให้ฟ่านเสียนเยือกเย็นลงบ้าง

มิคาด กะน้ำหนักมือผิด เกือบทำให้อีกฝ่ายต้องกลิ้งตกหลังคาลงไปเจ็บตัว

แต่ทั้งหมดนี้ก็เพราะเจ้าใจร้อนเกินไป ถ้าทำไม่ได้ ก็ควรจะบอกข้า ให้ข้าจัดการคน ๆ นั้นแทน

อู่จู๋คาดกระบี่ไว้ที่หลัง ค่อย ๆ ดึงข้อมือฟ่านเสียนขึ้นมาพาดบ่า แขนหนึ่งประคองร่างไร้สติ อีกแขนรองใต้เข่าทั้งสองข้างขึ้น ก่อนสะกิดเท้า กระโดดข้ามหลังคาเรือนฝ่าราตรีอันเงียบงัน

กระทั่งศีรษะของฟ่านเสียนเอียงมาซบไหล่นั่นเอง อู่จู๋จึงตระหนักถึงความอบอุ่นที่แผ่ซ่านจากร่างในอ้อมแขนสู่ตัวเขา และยังตระหนักได้อีกเรื่องหนึ่ง

คล้ายว่าแต่เล็กจนโต ฟ่านเสียนไม่เคยตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ นอกจากเมื่อครั้งยังเป็นทารกในตะกร้า จะฝึกหนักเพียงใด หรือเหนื่อยสายตัวแทบขาด ฟ่านเสียนก็ไม่เคยปล่อยให้เขาต้องประคับประคองเลยสักครั้ง

นี่เป็นครั้งแรก

มาถึงจวนสกุลฟ่านโดยไม่มีผู้ใดรู้ ที่เรือนซึ่งปราศจากบ่าวรับใช้ยิ่งลับตา อู่จู๋วางร่างฟ่านเสียงบนเตียงอย่างระมัดระวังแล้วดึงผ้าห่มมาคลุมตัวชายหนุ่ม ยืนนิ่งสดับฟังรอบข้างครู่หนึ่งจึงพยักหน้ากับตนเอง

เกือบจะหมุนตัวจากไป แต่แล้วก็หยุดชะงัก อู่จู๋เหลียวหน้ากลับมายังคนที่กำลังนิทรา เขาเดินเข้าไปใกล้แล้วโน้มตัวลง ดึงผ้าคลุมหน้าของฟ่านเสียนออกพับวางข้างหมอน

เห็นริมฝีปากเรียบตึง คิ้วขมวดน้อย ๆ อย่างไม่เป็นสุข กระทั่งยามหลับใต้เปลือกตาก็ยังไม่นิ่ง สีหน้าฟ่านเสียนดูไม่ดีเอาเสียเลย

ความทรงจำในส่วนลึกกระซิบบอกอู่จู๋ว่ามันคือโฉมหน้าของความทุกข์ตรม และเขาพบว่าตนไม่ชอบมัน

ยืนนิ่งพินิจอีกครู่หนึ่ง อู่จู๋จึงเดินออกจากห้อง กระโดดข้ามกำแพง ทะยานคืนสู่ราตรีพร้อมการตัดสินใจแน่วแน่

หากหลินก่งเป็นต้นตอของโฉมหน้านี้ หากฟ่านเสียนไม่อาจตัดใจลงมือได้ เขาก็จะสังหารมันแทนฟ่านเสียนเอง






คุยกันอยู่ดี ๆ ก็เงียบไป อู่จู๋เหลียวมองฟ่านเสียน เห็นเจ้าตัวนั่งนิ่งไม่ขยับ คางเกยกับโต๊ะทับแผนที่วังหลวง ลมหายใจช้าลง สองตาก็ปิดสนิท ดูท่าคงเข้าสู่ห้วงนิทราไปแล้ว

รอแล้วรอเล่า แม้อยู่ในท่าที่ไม่น่าสบาย ฟ่านเสียนก็ไม่เผยวี่แววว่าจะตื่นขึ้นมา อู่จู๋ไม่รู้ควรทำอย่างไร โดยปกติแล้วเมื่อหมดเรื่อง เขาก็แค่เดินออกไปหาที่พักนอกเรือนสักแห่ง ไม่จำเป็นต้องกล่าวคำลา เพราะอีกประเดี๋ยวก็ต้องพบหน้ากันอยู่แล้ว

เมื่อเป็นเช่นนี้ เหตุใดจึงยังยืนอยู่กับที่อีก

อู่จู๋หันไปทางฟ่านเสียนเต็มตัว เหม่อมองอีกครู่หนึ่งถึงคลายสองแขนออก วางดาบลงพิงเสา

เพราะนั่นเป็นท่าที่ไม่สบาย คนทั่วไปควรนอนบนเตียง

ฝีเท้าอู่จู๋ไร้เสียง เดินไปหยุดข้างตัวชายหนุ่ม โน้มลงมองเล็กน้อย ใคร่ครวญว่าจะย้ายคน ๆ นี้จากชานเรือนไปยังห้องนอนอย่างไรโดยไม่ปลุกให้ตื่น ดูศีรษะที่ยังตั้งตรงได้โดยทิ้งน้ำหนักแค่ที่คาง ไม่ใช่ท่ามาตรฐานของคนคล้อยหลับโดยไม่รู้ตัวเลยสักนิดเดียว ฟ่านเสียนคงอ่อนเพลียมาก ถึงกับนอนในท่าประหลาดเช่นนี้ได้โดยไม่เสียสมดุลเลยแม้แต่น้อย

อู่จู๋ทาบมือข้างศีรษะฟ่านเสียน อีกมือจับไหล่ดันให้ตัวเอียงไปด้านหนึ่งช้า ๆ คอยประคองไว้ไม่ให้ร่างคนหลับขยับเคลื่อนอย่างกะทันหัน ก่อนใช้บ่าตนเองเป็นที่รองศีรษะ สองแขนจึงค่อยโอบตัวฟ่านเสียนขึ้นจากเก้าอี้

น้ำหนักคล้ายเบาลงจากคราวก่อนเล็กน้อย

อู่จู๋เดินไปทางห้องนอนอย่างไม่รีบร้อน ลมฤดูสารทพัดพลิ้วผ่านร่าง ยิ่งทำให้ความอุ่นของคนในอ้อมแขนชัดเจนขึ้น

ยามจื่อ ภายในจวนเงียบงันนัก ได้ยินชัดแค่เสียงหายใจของฟ่านเสียน

พามาถึงเตียงแล้ว ค่อย ๆ วางร่างชายหนุ่มลงอย่างเบามือ ฟ่านเสียนพลันสูดลมหายใจลึกคราหนึ่ง ขยับตัวเหมือนหาจุดที่รู้สึกสบาย ก่อนนิ่งไปอีกครั้ง

อู่จู๋คลี่ผ้าห่มขึ้นมาคลุมร่างฟ่านเสียนไว้ ระหว่างนั้นสังเกตใบหน้าชายหนุ่ม ไม่ต้องมองเห็นด้วยดวงตาเยี่ยงปุถุชนก็ยังพบรอยยับบนหน้าผากและคิ้วที่มุ่นเข้าหากันได้

ขณะหลับแล้ว จิตใจก็ยังสับสน จะนอนหลับเต็มอิ่มได้อย่างไร อู่จู๋ไม่ทันคิด เอื้อมมือออกไป จิ้มปลายนิ้วบริเวณหว่างคิ้วของฟ่านเสียนแล้วกดนวดเบา ๆ

เห็นสีหน้าอีกฝ่ายคลายลงจึงค่อยหยุด ต่อมาเห็นรอยหมึกจาง ๆ ตรงคางจึงหาผ้ามาช่วยซับออก ยืนมองสำรวจอีกอึดใจ เมื่อเห็นว่าไม่มีอะไรแล้วจึงหมุนตัว เดินออกจากห้องไปเสมือนเงา

ครั้งที่สองแล้วที่ต้องอุ้มฟ่านเสียนมาส่งที่เตียง อู่จู๋นึกสงสัย ในเมืองหลวงเต็มไปด้วยเรื่องราวและอันตราย ไม่แปลกที่คนของเขาจะเหนื่อยล้า แต่หากยังเป็นเช่นนี้ต่อไป เขาควรเพิ่มการพาฟ่านเสียนเข้านอนให้เป็นหนึ่งในหน้าที่ของตนเองหรือไม่

อู่จู๋สลัดความคิดนี้ทิ้งไปอย่างรวดเร็ว






ครั้งที่สามที่ต้องอุ้มร่างฟ่านเสียนยามไร้สติ อู่จู๋ไม่ทันคิดด้วยซ้ำว่ามันคือครั้งที่สาม ร่างของเขาพุ่งไวกว่าใจนึกเพื่อเข้าไปรับชายหนุ่มที่ต้องศรธนูให้ทันก่อนร่วงลงกระแทกพื้น

เมื่อได้ร่างนั้นมาอยู่ในอ้อมแขน สำรวจดูแล้วไม่พบบาดแผล อู่จู๋จึงผ่อนลมหายใจได้ เขาเร่งฝีเท้าออกห่างจากกำแพงวังก่อนที่ทหารจะตามมาทัน แต่ไปได้ไม่ทันไรก็นึกสงสัยว่าทำไมฟ่านเสียนจึงไม่ปริปากพูดอะไรเลย

ก้มมองเห็นสองตาปิดสนิท หากไม่เพราะยังหายใจอยู่อู่จู๋คงทำอะไรไม่ถูก ทว่าลมหายใจฟังดูติดขัดอยู่บ้าง ต้องศรของนักธนูขั้นเก้า อย่างไรก็คงเลี่ยงอาการบอบช้ำภายในไม่พ้น แต่ไม่รู้ฟ่านเสียนรับลูกศรดอกนั้นไว้ได้ยังไงโดยไม่เสียเลือดสักหยด

เมื่อฟื้นแล้วค่อยถามให้รู้ความ เรื่องกุญแจอะไรนั่นยังรอได้ อู่จู๋คิดขณะพาร่างที่สลบไสลมาถึงเรือน ย่างเท้ามาถึงข้างเตียงแล้ว คล้ายเห็นภาพซ้อนทับ ความรู้สึกเหมือนย้อนเวลากลับทั้งที่ตัวอยู่ในปัจจุบันสร้างรสชาติแปลกใหม่ในใจ ไม่นานมานี้เขาก็เพิ่งอุ้มฟ่านเสียนมานอนบนเตียงมิใช่หรือ ไฉนเรื่องเช่นนี้จึงเอาแต่เกิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า

แต่คิดก็ส่วนคิด มิใช่ด้วยเหน็ดหน่ายใจ ใบหน้าอู่จู๋เรียบเฉยไม่แสดงอารมณ์ความรู้สึก นอกจากประคองฟ่านเสียนลงอย่างเบามือและค่อย ๆ แกะผ้าคลุมหน้าออกให้แล้ว ก็ไม่เห็นท่าทางอื่นใดอีก

เว้นเสียแต่ครั้งนี้ เขานั่งลงข้างเตียง คอยสดับเสียงหายใจ เฝ้าชายหนุ่มไว้จนฟ้าสาง จนกระทั่งองครักษ์จากในวังบุกเข้ามาเพื่อพิสูจน์รอยธนู





+1


ทำใบปลิวเรื่องพระขนิษฐภคินีลอบสมคบคิดกับเป่ยฉีจนดึกดื่น สองตาของฟ่านเสียนล้ามาก ทำเรื่องซ้ำไปซ้ำมาอย่างการประทับแท่นพิมพ์ตัวอักษรบนกระดาษ เล่นเอาสมองของเขาเปื่อยยุ่ยไปหมด เมื่อรู้สึกว่าฝืนต่อไปไม่ไหวแล้วจึงฟุบลงกับโต๊ะ ตั้งใจว่าจะงีบสักประเดี๋ยวค่อยลงมือต่อ

ทว่าคาดไม่ถึงเลย คำว่าประเดี๋ยวนั้นแสนสั้นนัก และสิ่งที่จะทำให้เขาตื่นอย่างเต็มตาก็หาใช่การนอนหลับไม่

ฟ่านเสียนเหยียดสองแขนบนโต๊ะแล้วนอนหลับตา จังหวะหนึ่งยังรู้สติ วินาทีต่อมาคล้ายถูกถ่วงลงหลุมมืด ดำดิ่งลงสู่ชายขอบของห้วงนิทราอย่างไม่อาจควบคุม

ไม่ทราบว่าอะไรกระตุ้นให้สองตาลืมขึ้นอีกครั้ง แต่เมื่อถูกชักกลับมายังโลกแห่งความจริงก็กระชากกลับมาโดยไม่ประณีประนอม ฟ่านเสียนสะดุ้งคราหนึ่ง แต่สองตายังไม่อาจลืมเต็มที่

ชายหนุ่มกะพริบตาปริบ ตัวแข็งทื่อไปวูบหนึ่งเมื่อพบว่าตนไม่ได้นั่งที่โต๊ะอีกแล้ว หากผ่อนคลายลงแทบจะในทันทีเมื่อสูดได้กลิ่นที่คุ้นเคย

กลิ่นแผ่วจางของใบไผ่ มีน้ำหนักนวลนุ่มเหมือนน้ำผึ้ง มันคือหนึ่งสัมผัสแรกที่เขารับรู้เมื่อตื่นขึ้นในโลกนี้

เป็นท่านอาอู่จู๋นั่นเอง แต่เหตุใดเขาจึงถูกอุ้มอยู่กันเล่า อีกฝ่ายจะพาเขาไปไหนกัน

ในใจเพิ่งสับสนงงงวย ดวงตาพลันกวาดมองหาคำตอบ ทิศทางที่มุ่งหน้าไปคือห้องนอนของเขาเอง เมื่อทราบแล้วฟ่านเสียนปั้นหน้าไม่ถูก ความคิดกระเจิดกระเจิงไปไกล แต่สูดหายใจลึกครั้งหนึ่งแล้วก็เรียกสติกลับมาได้

ข้อสงสัยหนึ่งผ่านไปแล้ว ยังเหลือข้อข้องใจที่สอง ตอนเขาสะดุ้งตื่น ร่างกายใช่ไม่ขยับไหวเลย นี่ท่านอามุ่งมั่นกับการพาเขาไปนอนที่เตียงถึงขนาดที่ไม่รู้สึกเลยหรือว่าเขาตื่นแล้ว?

ฟ่านเสียนเกิดนึกสนุก หากท่านอาไม่รู้ตัว งั้นเขายอมนิ่งต่อไป รอดูสีหน้าอีกฝ่ายยามเห็นว่าเขาไม่ได้นิทราสักหน่อย คงน่าดูพิลึก

ตัวนิ่งกอดอกเสมือนหลับใหล ศีรษะยังซบบนลาดไหล่ แต่สองตาพราวระยับ รอจนแผ่นหลังสัมผัสเตียงแล้วนั่นเอง ฟ่านเสียนจึงเท้าศอกแหงนหน้าเลิกคิ้วมองตามคนสวมผ้าคาดตา

ท่านอาชะงักไปนานหลายอึดใจ กล่าวเสียงเบา “เจ้าตื่นแล้ว...”

ฟ่านเสียนยิ้มหวาน “ข้าตื่นนานแล้ว”

“ทำไมเจ้าไม่พูดอะไร”

“ต้องถามท่านต่างหากว่าเหตุใดจึงไม่รู้ตัว” ฟ่านเสียนขยับตัวหันตะแคง ชันแขนข้างหนึ่งขึ้นรองข้างแก้ม หันมาทางอู่จู๋เต็มตัว “ทำราวกับว่าเป็นเรื่องมักคุ้นที่ร่างกายตอบสนองไปเองกระนั้น”

ท่านอาอู่จู๋เอียงศีรษะไปทางหนึ่ง คล้ายประมวลข้อมูล “มิผิด นับรอบนี้ก็เป็นครั้งที่สี่แล้ว”

ฟ่านเสียนเพียงเอ่ยเล่น ไฉนเลยจะคาดว่าอีกฝ่ายตอบอย่างสัตย์จริงจึงหัวเราะออกมา

“ท่านอา ท่านไม่ธรรมดาเลยจริง ๆ” ฟ่านเสียนกล่าวพลางกุมท้องหัวเราะ “เมื่อตอนอยู่กับท่านแม่ มิใช่ว่าท่านก็ต้องพานางเข้านอนทุกวันหรอกนะ”

“จำไม่ได้แล้ว แต่ข้าไม่คิดว่านางต้องพึ่งข้าในเรื่องนี้”

“นี่ท่านจะกล่าวหาว่าข้าไม่เอาไหนถึงขั้นไม่สามารถนอนเป็นที่เป็นทางได้หรือ”

แม้ไม่เห็นสายตา แต่รับรู้ได้ว่าท่านอาอู่จู๋กำลังแสดงท่าทีจดจ้องย้อนความ “เจ้าจะนอนที่ใดเป็นเรื่องของเจ้า อย่างไรข้าก็จะช่วยพากลับมา” ไม่พูดเปล่า ริมฝีปากยังโค้งขึ้น ฟ่านเสียนตะลึงมอง ครั้งล่าสุดที่ท่านอาอู่จู๋ยิ้มเป็นเพราะคิดถึงท่านแม่ แล้วครั้งนี้เล่าเพราะเหตุใด ฟ่านเสียนสงสัยนัก แต่เกรงว่าหากกล่าวคำถามออกไป รอยยิ้มนั้นจะเลือนหายไปในพริบตา

ทว่าเรื่องเล่นสนุกนั้นขอให้บอกเถิด เขาไม่เคยยับยั้งตนเองได้เลย โดยเฉพาะกับคนที่ครองตำแหน่งในใจ

“ท่านรู้หรือไม่ว่าตนมีลักยิ้ม” ฟ่านเสียนเอื้อมมือออกไปสัมผัสรอยลึกข้างแก้ม เหมือนภมรแตะกลีบดอกไม้ ชายหนุ่มส่งยิ้ม ท่านอาน่าเอ็นดูถึงเพียงนี้ หากเขารู้จักปล่อยตัวตามสบายบ้างคงดีไม่น้อย “ลักยิ้มนี้เห็นชัดมาก ดึงดูดสายตานัก”

ทันทีที่กล่าวจบ รอยยิ้มพลันผลุบหายดังจันทร์เร้นหลังม่านเมฆ ท่านอาคว้ามือเขาออกห่าง สีหน้าไม่เปลี่ยนแปลง ทว่าไม่มีอาการแข็งกร้าวต่อต้าน การคว้าจับนั้นกลับยังนุ่มนวลผิดกับความว่องไว

“ไม่เหมือนกับเจ้า ไม่ต้องยิ้ม ทุกคนก็พร้อมจะมอบดวงตาให้แต่เพียงผู้เดียว”

ท่านอาอู่จู๋กล่าวพลางแตะนิ้วบนจมูกของเขาสองสามครา

ฟ่านเสียนตัวแข็งทื่อ ใบหน้าร้อนวูบวาบ ปากอ้าค้างแล้วหุบอยู่เช่นนั้น ได้แต่มองท่านอาผู้มีใบหน้าเยือกเย็นไม่แปรเปลี่ยนเดินด้วยฝีเท้ามั่นคงออกจากห้องไป


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น