วันจันทร์ที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2565

[What If...?] What if a dawn of a doom of a dream (Stephen Strange)


What if a dawn of a doom of a dream

What If…? (TV)

— Stephen Strange —

Warning : Spoiler Alert for episode 4, Mention of Death, PTSD, Unhealthy Relationship, Guilt Trip, Implied Selfcest






What if a dawn of a doom of a dream

bites this universe in two,





โลกรอดพ้นจากหายนะอีกครั้ง และเหมือนเช่นทุกครั้ง สตีเฟนรู้ว่าพวกเขารอดมาได้ด้วยปาฏิหาริย์ แม้ใจหนึ่งยังเชื่อมั่นอย่างดันทุรังว่าความสำเร็จนี้เกิดจากแผนการอันรัดกุมก็ตาม — และแม้แผนการนี้มาจากมันสมองของอาจารย์ผู้คร่ำครึและมีเพียงหนึ่งเดียว

เมื่อหยุดยั้งไม่ได้ก็ฉีกทึ้งจักรวาลเป็นสอง สตีเฟนประทับใจการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าด้วยวิธีอ้อมกฎหลบเกณฑ์มาก หากไม่เพราะมันจะทิ้งปัญหาหนึ่งไว้

จอมเวทแห่งนิวยอร์คชำเลืองมองสตีเฟนอีกคนที่นั่งก้มหน้าจิบกาแฟผสมวิสกี้ด้วยท่าทางอมทุกข์ ต่างจากเขา สตีเฟนจากอีกมิติเวลาขาดชีวิตชีวาและความกระตือรือร้น พลังงานจากห้วงภพอันดำมืดกำจายห้อมล้อมร่าง สตีเฟนสังเกตว่าพักหลังนี้ไม่มีสิ่งมีชีวิตใดกล้าเข้าใกล้อาศรมเลย ปัญหาคาราคาซังอย่างเรื่องหนูหายชะงัด ไร้วี่แววแมวจรจัดที่มักมาขอเศษอาหาร กระทั่งมนุษย์เดินดินธรรมดายังหลีกเลี่ยงเส้นทางตามสัญชาตญาณ

เดิมทีสถานที่พำนักของเหล่าจอมเวทก็เป็นที่กักเก็บวัตถุพิสดารพันลึกและอันตรายร้ายแรงไว้อยู่แล้ว แต่ครั้งนี้ออกจะร้ายแรงเกินค่ามาตรฐานอยู่โข กลุ่มผู้มีพลังจากฝ่ายต่าง ๆ เริ่มจับสัญญาณได้และคงจะมาเคาะประตูเยี่ยมในไม่ช้า

สตีเฟนไม่เคยกลัวปัญหาเพราะเขาเชื่อว่าตนสามารถแก้ไขได้ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง แต่หากเลือกได้ เขาคงกำจัดต้นตอที่จะชักนำปัญหาอย่างที่ผู้มีไหวพริบมักทำไปแต่แรก ถ้าไม่ติดว่าปัญหานั้นคือตัวเขาเอง

หว่องวางถ้วยชาเซรามิคลายดอกเดซี่ที่เพิ่งซื้อมาจากตลาดมือสองเมื่อไม่กี่วันก่อนลง “สเตรนจ์”

“ว่าไง” สตีเฟนพูด

“หืม” สตีเฟนตอบรับ

สตีเฟนสบตาสตีเฟน

“เราคงต้องหาชื่ออื่นให้นาย”

“ขอบคุณมากเลยนะ” สตีเฟนโหมดทะมึนเริ่มจิกกัด “ทำไมถึงเป็นฉันที่ต้องใช้ชื่ออื่น ทำไมถึงไม่เป็นนาย

“อยากให้ฉันพูดจริง ๆ เหรอว่านายทำอะไรลงไปถึงไม่สมควรใช้ชื่อเดิม” สตีเฟนเลิกคิ้ว

เขาไม่อยากยกเรื่องจี้ใจดำนี้ขึ้นมาหรอกหากไม่จำเป็น เพราะเขารู้ตัวดีว่าตนเกลียดอะไรที่สุด และอะไรที่หากพูดขึ้นมาแล้วจะทำให้เจ็บที่สุด

เงารอบตัวสตีเฟนอีกคนคลี่ออกจากร่าง มันโบกระบายท่วมกำแพงและเพดานห้องครัว ทั้งปีก หนวด หางของสารพันสิ่งมีชีวิตที่แสนน่าขยาด ไม่ควรเผชิญหน้า และต้องไม่ปล่อยให้หลุดออกมาสู่โลกภายนอกเป็นอันขาด

“จริงสิ เราต้องทำอะไรสักอย่างกับพวกปีศาจที่นายกลืนลงท้องด้วย” สตีเฟนดีดนิ้ว

เงาดำถอยกลับมุมผนัง อีกฝ่ายหลับตาและสูดลมหายใจเรียกสติ “เรื่องนี้ฉันจัดการเองได้”

“อ่าฮะ”

ใบหน้าที่คล้ายเขาอย่างกับแกะจ้องกลับมา “ฉันมีความรู้กับประสบการณ์มากกว่านาย ฉันใช้เวลาเป็นทศวรรษในหอตำราของคากลิโอสโตร ถ้าเราต้องสู้กัน ฉันจะชนะ”

“นั่นแหละปัญหา นี่ไม่ใช่เรื่องแพ้ชนะ แต่เป็นความปลอดภัยของโลกต่างหากที่ฉันกังวล” สตีเฟนเอ่ยอย่างเนือยหน่าย “เรื่องชื่อ นายเอาชื่อกลางของเราไปแล้วกัน”

“อะไรนะ!” อีกฝ่ายโวย “ฉันเกลียดชื่อนั้น

“ฉันรู้ ถึงได้เลือกชื่อนั้นให้นายไง วินเซนต์

วินเซนต์ข่มเสียงในลำคอซึ่งคล้ายเสียงคำรามของสัตว์ร้ายหลายร้อยตัวมากกว่าเสียงคนก่อนผุดลุกขึ้นเดินออกไป หรือควรต้องเรียกว่าเคลื่อนที่ออกไปอย่างไร้เสียงแต่เต็มเปี่ยมด้วยพลังงานด้านลบโดยมีผ้าคลุมสีดำสนิทลอยอย่างปั้นปึ่งไล่หลัง

ทว่าพ่อมดจากมิติมืดชะงักยืนที่ประตู เหลียวกลับมามองด้วยดวงตาเรียบเฉยแต่โชนกล้าด้วยความนัย

และเอ่ยปากราวกับผิดหวังเสียเต็มประดา “นึกว่านายจะยกชื่อดอร์มามูให้เสียอีก”

สตีเฟนประสบความสำเร็จด้วยดีในการห้ามไม่ให้ร่างตัวเองผงะ “เป็นทางเลือกที่ไม่เลวนะ พวกนายมีเป้าหมายเหมือนกันเลยนี่”

มุมปากวินเซนต์เผยอขึ้นก่อนจากไป หาสถานที่ใหม่ในการนั่งปล่อยเวลาแห้งเฉา

สตีเฟนเหลียวมาทางหว่องพร้อมทั้งส่ายหน้า “ทำตัวเหมือนเด็ก”

หว่องมองนิ่ง “เหมือนนาย”

สตีเฟนมุ่นหัวคิ้วทั้งรอยยิ้ม ไม่มีทางที่พวกเขาจะเหมือนกันขนาดนั้น “เมื่อกี้นายจะเรียกใครนะ” สตีเฟนพูด “ฉันหมายถึง เรียกคนไหน”

“เรียกนายนั่นแหละ สเตรนจ์”

“อ้อ” สตีเฟนนั่งหลังตรง เขาเติมชาในถ้วยของตนเพิ่ม “มีเรื่องอะไรล่ะ เกี่ยวกับสาขาลอนดอนหรือเปล่า ได้ยินว่าที่นั่นกำลังจะติดตั้งวงแหวนเวทบนกระจกด้วยนี่นา”

“เกี่ยวกับนิวยอร์ค” หว่องถอนหายใจยาว “นายหาช่างมาซ่อมหลังคาอาศรมของเราได้หรือยัง”

สตีเฟนจิบชาอย่างไม่เร่งร้อน “มันต้องใช้เวลา”

“เวลา” หว่องกลอกตา “...ดันเป็นสิ่งที่เรามีมากเสียจนใช้ฟุ่มเฟือยอย่างไรก็ได้เสียด้วย”





การมีตนเองเพิ่มมาอีกหนึ่งเหมือนกดปุ่มคัดลอกแล้ววาง สร้างความรู้สึกแสนประหลาด ทั้งยังก่อกวนตะกอนอารมณ์ในสถานการณ์ที่มักคาดไม่ถึง

“นั่นเสื้อของฉัน”

สตีเฟนเพิ่งงัวเงียตื่นนอน เขาชงกาแฟให้ตัวเองแล้วเดินไปพบร่างเสมือนของตนกำลังนั่งอ่านหนังสือบนโต๊ะทำงานของเขา ในห้องทำงานของเขา และยังสวมเสื้อยืดเนื้อนิ่มสีเทาตัวโปรดของเขา

วินเซนต์เงยหน้า ขอบตาดำคล้ำ ใบหน้าซีดเซียว ดูผอมตอบแต่แข็งกระด้าง ไม่มีส่วนใดที่ทำให้คิดได้เลยว่าเป็นพวกผอมแห้งแรงน้อย “ในทางเทคนิคแล้ว เสื้อตัวนี้ก็เป็นของฉันเหมือนกัน”

“นายมีห้องใหม่แล้ว และหว่องก็ให้นายยืมเงินไปซื้อเสื้อผ้าใหม่ด้วยไม่ใช่เหรอ” สตีเฟนถาม

วินเชนต์นิ่งไปพักหนึ่ง ก่อนก้มลงอ่านตำราต่อ

อย่างน้อยก็ควรโต้ตอบแม้อยู่ในสถานการณ์จนตรอก สตีเฟนคิดถูก วินเซนต์กับเขาไม่ได้เหมือนกันเสียทีเดียว เพราะหากเหมือนกันแล้วก็คงไม่เกิดจักรวาลคู่ขนานขึ้นมา

เขาเพียงแต่ไม่คิดว่าความต่างแค่หนึ่งประการจะนำมาซึ่งสภาพอันน่าขมขื่นเช่นนี้

“ตั้งแต่กลับมา นายเคยออกไปข้างนอกบ้างหรือยัง” สตีเฟนถาม ก่อนยกมือห้าม “ไม่ ฉันว่าฉันเดาได้ แค่เดินไปดูที่ห้องนายก็เห็นคำตอบแล้ว เกือบหกเดือนมานี้คงไม่เคยเลยสักครั้งสินะ”

“ฉันอยู่ข้างในนี้ดีกว่าออกไปข้างนอก” วินเซนต์แย้ง “ออกไปข้างนอก พวกยอดมนุษย์คนอื่น ๆ จะรู้แล้วยกโขยงมากันใหญ่ นายเองก็ไม่ต้องการแบบนั้น เว้นเสียแต่ว่าฉันเข้าใจผิด”

สตีเฟนหัวเราะขึ้นจมูก “แค่ออกไปเดินตลาดมือสองที่อยู่ถัดไปแยกเดียวคงไม่ร้ายแรงระดับธานอสบุกโลกหรอก และนายก็เก่งนักไม่ใช่หรือ ควบคุมพวกมันเสียสิ”

“บางทีฉันอาจไม่อยากควบคุมพวกมันก็ได้” วินเซนต์เชิดคาง

“บางทีนายแค่อยากหาข้ออ้างเพื่อที่จะได้ไม่ต้องออกไปไหน”

สตีเฟนนั่งลง วางแก้วกาแฟบนโต๊ะก่อนจะเผลอปล่อยมันตกลงพื้นและทำพรมเลอะ เพราะหว่องจะโมโหมากถ้าเขาทำของอีกแม้แต่ชิ้นเดียวในอาศรมพัง

“สิ่งที่เอาชนะยากที่สุดคือตัวเอง” สตีเฟนเอ่ย “ฉันเข้าใจ”

วินเซนต์หัวเราะขึ้นจมูก “แหงล่ะ”

สตีเฟนนั่งเอนตัวอยู่อย่างนั้น ดมกลิ่นกาแฟแทนที่จะดื่ม พลางสังเกตวินเซนต์ที่นั่งจ้องตำราหน้าเดิมมาพักใหญ่

บางครั้งเขาก็เหมือนจะรู้สิ่งที่วินเซนต์รู้สึกโดยไม่ต้องพูด ไม่จำเป็นต้องอยู่ในห้องเดียวกันด้วยซ้ำเพื่อที่จะอ่านอารมณ์ อีกฝ่ายคิดเห็นอย่างไร แน่นอนว่าไม่ห่างไกลจากวิธีที่เขามองและตอบสนอง แต่ขณะเดียวกันก็ยังมีอีกด้านที่บิดเบี้ยวและหมองหม่นเสียจนบางคราวสตีเฟนก็ต้องเบือนหน้าหนี

สิ่งที่ยากจะยอมรับที่สุดคือสภาพอันอเนจอนาถและความพ่ายแพ้ไม่ว่ากับเรื่องใดก็ตาม แม้กระทั่งกับเรื่องที่ไม่ควรมองด้วยผลลัพธ์แพ้ชนะ

เมื่อเป็นเรื่องของความตาย ไม่มีผู้แพ้หรือผู้ชนะ สตีเฟนอยากบอกวินเซนต์ ทว่าไม่รู้จะบอกออกมาเป็นคำพูดอย่างไร ถ้อยคำอันหลักแหลมทอดทิ้งเขาเสมอในเวลาเช่นนี้

“หอตำราของคากลิโอสโตรเป็นยังไง” สตีเฟนเปรย “มีความรู้มากกว่าหอสมุดของแองเชี่ยนวันอีกหรือ”

วินเซนต์เงยหน้า “มากเกินกว่าที่นายคิด แต่ถ้าเป็นหอสมุดของแองเชี่ยนวันเขาคงเก็บซ่อนไว้แทนที่จะวางบนชั้น”

“ส่วนใหญ่เป็นตำราเกี่ยวกับอะไร สิ่งมีชีวิตต่างมิติ?”

“เวลา ห้วงมิติอันผกผัน กระทั่งเรื่องราวของสิ่งที่อยู่มาก่อนกาล”

ถึงตรงนี้สตีเฟนเริ่มสนใจขึ้นมาจริง ๆ แล้ว “นายเคยบอกว่ามันอยู่ที่ไหนนะ”

“ฉันแน่ใจว่าไม่เคยพูดถึงตำแหน่ง” วินเซนต์มองอย่างรู้ทัน “และตั้งใจว่าจะปิดปากให้สนิท”

บ้าจริง สตีเฟนเก็บสีหน้าแต่คงทำได้ไม่มิดชิดพอสำหรับวินเซนต์

“ไม่แย่งที่ของนายแล้วก็ได้” วินเซนต์ลุกขึ้น เปิดหนังสือค้างไว้ แล้วเลื่อนมาทางเขา “คาถาที่นายตามหา”

สตีเฟนจ้องรายละเอียดคาถาที่เขาหามาครึ่งค่อนคืนจนตื่นมาตาแห้งผากอย่างประหลาดใจ “รู้ได้ยังไง”

“นายคือฉัน” วินเซนต์เลิกคิ้ว ทำเหมือนเพิ่งสั่งสอนเด็กเจ็ดขวบในเรื่องที่ไม่ว่าใครก็ควรรู้ทะลุปรุโปร่งซึ่งนับเป็นการกระทำที่หักหน้ากันอย่างร้ายแรง “ใบเสนอราคาค่าซ่อมหลังคาเปิดทิ้งไว้แล้วในแล็ปท็อป” อีกฝ่ายแย่งแก้วกาแฟบนโต๊ะไปดื่มเองหน้าตาเฉยแล้วเดินออกจากห้อง

สตีเฟนมองอักขระคาถาแล้วจึงหมุนแล็ปท็อปมาเปิดดูหน้าล่าสุด หลังจากกวาดตาอ่านอย่างถี่ถ้วนแล้ว เขาตัดสินใจว่าจะไม่ตามเอาความวินเซนต์แค่ครั้งนี้เท่านั้น





“ฉันได้ส่วนลดร้านมินิมาร์ทจากหนังสือพิมพ์” หว่องบอกอย่างภาคภูมิใจ สีหน้าเขายังเรียบเฉยคล้ายไม่มีอะไรเปลี่ยน แต่สตีเฟนอยู่กับเขามานานจนบอกได้ว่านั่นคือสีหน้าสุดภาคภูมิใจของหว่อง “นายเอาไปใช้เสียสิ”

สตีเฟนรับกระดาษที่ตัดจากหนังสือพิมพ์มาดูด้วยความกังขา สมัยนี้ยังมีส่วนลดแจกในหนังสือพิมพ์อยู่หรือ และสมัยนี้ยังมีหนังสือพิมพ์วางขายอยู่หรือ

แต่ใช่ สิ่งที่เขาถือคือส่วนลดร้านมินิมาร์ทอย่างแน่นอน สตีเฟนเลื่อนสายตาขึ้นมองหว่อง “ขอบใจ”

“ชวนวินเซนต์ไปด้วยล่ะ”

“นี่เองสินะเบื้องหลังมิตรไมตรี” สตีเฟนหยุดคิด แต่วินเซนต์ควรออกมาข้างนอกบ้างจริง ๆ นี่เป็นโอกาสเหมาะที่พวกเขาจะเลิกทะเลาะกันเรื่องแย่งใช้ยาสีฟันหรือสลิปเปอร์เสียที “แต่ก็เป็นความคิดที่ดีมาก”

“รีบใช้ก่อนหมดอายุ” หว่องบอกก่อนกลับไปทำธุระใดก็ตามของตน

สตีเฟนใช้เวลาเดินหาวินเซนต์พักใหญ่ ก่อนจะมาพบแฝดคนละฝาของตนนั่งตากลมบนหลังคาและห้อยขาลงมาทางรูโหว่เบ้อเร่อที่เกิดการตกลงมาของฮัลค์ หากวินเซนต์อยู่ตรงนั้นมาแต่แรกก็คงได้ยินทุกคำพูดระหว่างหว่องกับเขาแล้ว

สตีเฟนป้องปากตะโกน “ไปซื้อของกัน”

วินเซนต์ก้มลงมอง สีหน้าไร้อารมณ์ “ไม่” คำตอบดังก้องห้องโถง

เขารู้อยู่แล้วว่าต้องลงอีหรอบนี้ “ถ้านายอยากรับช่วงใช้ของเก่า ๆ ของฉันก็ตามใจนะ เพราะฉันจะไปซื้อใหม่ทั้งหมด จะไม่มีการซื้อเผื่อและจะห้ามไม่ให้หว่องซื้อแทนด้วย”

วินเซนต์ยังนั่งเงียบ แต่สตีเฟนไม่รอแล้ว หากอีกฝ่ายยินยอมใช้ชีวิตแสนโศกต่อไป เขาก็ไม่ได้เดือดร้อนอะไร สตีเฟนเปลี่ยนชุดเป็นเสื้อแขนยาว หยิบถุงผ้ากับกระเป๋าเงิน ผ้าคลุมวิเศษยืดออกเป็นผ้าพันคอก่อนละลิ่วมาคลุมรอบคอเขา วิธีการที่มันขยับไปมาเหมือนหมาสะบัดหางดีใจเวลาได้ออกไปเดินข้างนอก สตีเฟนพ่นลมหายใจทว่ายิ้มมุมปาก สองเท้าก้าวถึงประตูใหญ่หน้าอาศรมแล้วตอนได้ยินเสียงเดินไล่หลัง

วินเซนต์ที่เปลี่ยนจากชุดสไตล์จอมเวทแห่งคามาทาจมาเป็นฮู้ดกับกางเกงขายาวเลิกคิ้วอยู่เบื้องหลัง “นำไปสิ”

สตีเฟนกลอกตา ทว่าก็เดินนำไปก่อนโดยไม่รั้งรอ เขาสังเกตเห็นผ้าพันคอสีดำบนตัววินเซนต์ขยับยุกยิก ดูเหมือนว่าแม้แต่ผ้าคลุมส่วนตัวก็มีบุคลิกภาพคล้ายคลึง มิน่าพวกมันถึงไม่ถูกกัน

มินิมาร์ทที่ใช้ส่วนลดได้มีสาขาหนึ่งอยู่ไม่ไกลจากอาศรม เดินไม่ถึงสิบห้านาทีก็ถึงแล้ว พวกเขาต่างเดินโดยไม่มองกัน มีจุดหมายในใจแต่ช่างบังเอิญที่เป็นจุดหมายเดียวกันทั้งหมด สตีเฟนนิ่วหน้าเมื่อมือที่คลับคล้ายกันฉวยเอาแชมพูขวดสุดท้ายไป

วินเซนต์เลือกของใช้แบบที่เขามักเลือกเหมือนกันไม่ผิดเพี้ยน ยกเว้นของใช้จำพวกผ้าที่เน้นสีโทนมืดกับเย็น ขณะที่เขาเลือกแบบคละสี “เป็นวัยรุ่นอารมณ์กำลังพลุ่งพล่านหรือไง” สตีเฟนอดกระแนะกระแหนไม่ได้

วินเซนต์หลุบตามองของในตะกร้าเขาแล้วยิ้มคืน “เป็นคนแก่ใกล้เกษียณแล้วหรือไง”

สตีเฟนยืนนิ่ง ก่อนหมุนตัวเลือกของที่แถวถัดไป เขาไม่มีทางยอมรับจากปากว่าเรื่องนี้รบกวนจิตใจเขามากแค่ไหน ตั้งแต่ออกมาจากมิติเวลาร่วมกับดอร์มามู ผมสีขาวก็เริ่มแซมข้างขมับมากขึ้นอย่างเห็นเด่นชัด สตีเฟนเคยคิดจะย้อมผม แต่นั่นเท่ากับว่าเขายอมรับความโรยราไปแล้วน่ะสิ

จะให้โกนเหมือนหว่องก็ดูไม่เข้ากับรูปหน้าเสียด้วย

ต่างคนต่างแยกกันเดินพักใหญ่ จอมพ่อมดได้ของที่ต้องการครบแล้วจึงกลับมายังจุดชำระเงิน แต่ระหว่างนั้นเอง กลิ่นขนมหวานที่ลอยอวลในอากาศหยุดสตีเฟนไว้กับที่ เขาเดินตามกลิ่นไปถึงมุมขนมหวานเล็ก ๆ แล้วไล่สายตามองต้นตอของหวานที่น่าซื้อไปฝากบรรณารักษ์อาศรมผู้เฉยเมย

เขาสะดุดเข้ากับขนมเนื้อคัสตาร์ดที่ส่งกลิ่นหอมของน้ำตาลไหม้

เครมบรูเล่ สตีเฟนคิด และแทบไม่รู้สึกตัวเลยว่าทำอะไรอยู่จนกระทั่งกล่องขนมมาอยู่ในมือแล้วนั่นเอง

วินเซนต์ยืนรอเขาชำระเงินพร้อมใช้ส่วนลดอยู่ด้านนอก ตาปรายมองกล่องขนมสีสันสดใสก่อนเดินนำลิ่วไปก่อนโดยไม่พูดไม่จา

ดีที่อย่างน้อยก็หิ้วของของตัวเองไปด้วย สตีเฟนหอบของก้าวตามเขา ระหว่างทางไม่มีบทสนทนาเช่นเดียวกับเมื่อขาไป แต่ขากลับนี้มีบรรยากาศต่างจากเคย เหมือนรอบกายวินเซนต์กางกั้นด้วยกระจกใสที่ใครก็เอื้อมไม่ถึง ตกอยู่ในภวังค์ครวญคิดถึงเรื่องที่ไม่มีส่วนใดจรรโลงใจ สตีเฟนคาดเดาได้ว่าเป็นเรื่องอะไรและรู้ว่าการดึงตัวเองออกมาจากการนอนก้นใต้ตะกอนทนทุกข์นั้นไม่ง่าย ความสูญเสียเหมือนเรืออับปางกลางทะเล เคว้งคว้าง หกคะเมนในฟองคลื่น แม้เศษซากถูกพัดพาขึ้นชายฝั่งก็ต้องจำนนต่อกระแสน้ำที่สาดซัดมาทุกเมื่อเชื่อวัน

เมื่อถึงอาศรม วินเซนต์แยกตัวออกไปทันทีหลังวางของไว้ที่ครัว สตีเฟนได้แต่มองตามหลังและยักไหล่เมื่อหว่องส่งคำถามทางสายตา ตึกใหญ่ที่มีรูกลางหลังคาดูอึมครึมอย่างน่าประหลาดทั้งที่ห้อมล้อมด้วยผู้คนกับการจราจรอันวุ่นวายของนิวยอร์ค บรรดาศิษย์และอาจารย์ต่างไม่กล้าเข้าใกล้ห้องของวินเซนต์ พลังของมิติมืดแทรกซึมอยู่ตามเงาและมุมอับ หวีดร้องอย่างเงียบเชียบ สถานที่อันศักดิ์สิทธิ์แทบไม่เหลือบรรยากาศผ่อนวางและสุขสงบ

เมื่อถึงเวลาอาหารเย็นแล้ววินเซนต์ยังไม่ปรากฏกาย สตีเฟนคิดว่าถึงเวลาที่จะต้องดึงเจ้าก้อนโศกาออกมาจากทะเลดำเสียที

ห้องนอนของวินเซนต์อยู่ตรงข้ามกับห้องนอนของเขา สตีเฟนเคาะประตูก่อนเปิดเข้าไป กระทั่งการจัดวางเฟอร์นิเจอร์ยังคล้ายกันเพียงแต่สลับข้างเหมือนกระจกสะท้อน วินเซนต์นั่งริมหน้าต่าง มองแสงที่กระทบบนกระจกมากกว่าทิวทัศน์

ผ้าคลุมวิเศษของอีกฝ่ายขยับคล้ายพินิจดูผู้มาเยือน แทนที่จะขัดขวาง มันกลับถอยห่างอย่างเปิดทางและหยุดนิ่งข้างตู้เสื้อผ้า

หากไม่ใช่เพราะบรรยากาศ สตีเฟนคงหลุดหัวเราะออกมากับภาพที่เห็น แต่ยามนี้ความรู้สึกของเขามีแต่เพียงสิ่งคลับคล้ายคลับคลากับคำว่าใจสลาย ภาพชายที่นั่งลง มือไม้ไม่ขยับ แต่เวลาเดียวกันก็กำลังทึ้งถางหลุมกลวงกลางอกนี้เคยเกิดกับเขามาแล้ว

“นายไม่ลงไปกินข้าว” ไม่มีการตอบรับ สตีเฟนจึงพูดต่อ “นึกว่านายอยากจะกินเครมบรูเล่เสียอีก”

เงาสัตว์ประหลาดพลันแหวกว่ายบนผนังและกำแพง วินเซนต์หันกลับมา ใบหน้าบิดเบี้ยว “อย่า”

“อะไร”

“อย่าทำเหมือนกับเรื่องของเธอไม่…”

“ไม่สำคัญเหรอ” สตีเฟนกล่าวเสียงเรียบ “นายคิดว่าฉันไม่สนใจไยดีคริสทีนแล้วงั้นเหรอ”

วินเซนต์หน้าเสีย เงาดำหยุดชะงักราวกับถูกตรึง สตีเฟนสะกดกลั้นคำถัดมาที่จ่อบนริมฝีปากทันที เขาถอนหายใจ คำพูดมากมายที่จุกในลำคอไม่จำเป็นต้องเปล่งออกมาเพียงเพื่อให้ตนเองรู้สึกดี เขาเรียนรู้เรื่องนี้จากคริสทีนเอง

คริสทีน ชื่อที่ตอนนี้วินเซนต์ไม่มีความกล้าที่จะเอ่ยออกมา

สตีเฟนไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่มันย่อมไม่ใช่เรื่องที่พูดออกมาได้ง่ายดาย กระทั่งสิ่งที่เกิดขึ้นในมิติของดอร์มามู เขาเองยังไม่มีกำลังพอจะเล่าอย่างตรงไปตรงมาให้หว่องฟัง ไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องที่เกิดกับคริสทีนนับครั้งไม่ถ้วนเลย

สตีเฟนวาดวงแหวนเวทในอากาศแล้วหยิบถาดชาออกมาจากห้องครัว ต่อหน้าต่อตาหว่องที่เพิ่งเทชาเสร็จและกำลังจะยกขึ้นดื่ม

“ถ้ากินอะไรไม่ลงก็กินนี่” สตีเฟนวางถาดลงบนโต๊ะชิดหน้าต่างและลากเก้าอี้มานั่งลงฝั่งตรงข้าม เอนหลังลงจัดร่างกายในท่าสบายที่สุด “ฉันจะอยู่ตรงนี้ เผื่อนายคิดอะไรไม่เข้าท่า”

วินเซนต์กลอกตา อากัปกิริยาคล้ายเขามากจนน่าขนลุก

และสตีเฟนก็ทำอย่างว่า นั่งเฝ้า จิบชา อ่านหนังสือที่ซื้อมาดองไว้ จนกระทั่งเมื่อไรไม่รู้ที่ผล็อยหลับไป ทั้งที่ตั้งใจแค่ว่าจะพักสายตาครู่เดียว

เมื่อตื่นขึ้นอีกครั้ง สตีเฟนพบว่าตนนอนอยู่บนเตียงเสียแล้ว ห้องของวินเซนต์ว่างเปล่าไม่มีทั้งเจ้าของและผ้าคลุมสีทมิฬ มีเพียงผ้าคลุมสีแดงแสนวุ่นวายของเขาที่ลอยไปมาอยู่ปลายเตียง





“ฉันได้บัตรเชิญ” สตีเฟนกล่าวระหว่างเดินเข้ามาในห้องสมุด วินเซนต์นั่งอยู่ท่ามกลางหนังสือที่เปิดค้าง กระดาษวาดลายวงแหวนเวทรูปแบบที่เขาไม่เคยเห็นกระจัดกระจายเต็มพื้น สตีเฟนหยุดจ้องมองพวกมันชั่วอึดใจ “คงไม่ได้วางแผนจะกลับไปอดีตอีกหรอกนะ”

“เปล่า” วินเซนต์ตั้งหน้าตั้งตาหาอะไรบางอย่างในหนังสือต่อ “แค่กำลังแก้ความสงสัย”

สตีเฟนเลิกคิ้ว ขยับจดหมายในมือแล้วกล่าวสิ่งที่ทำให้เขาตามหาวินเซนต์ตั้งแต่ต้นต่อ “เราได้บัตรเชิญ”

“เราเหรอ”

“งานเลี้ยงรุ่นศิษย์เก่า ฉันคิดว่าเราควรจะไปด้วยกัน”

“สตีเฟน สเตรนจ์ มีแค่คนเดียว”

“แต่ตอนนี้มีสองแล้วนี่ เอาน่า น่าสนุกออก ทำให้พวกเขาตกใจเล่น”

“นายก็แค่ไม่อยากให้พวกเขาคอยกล่าวแสดงความเสียใจเรื่องคริสทีนมากกว่า”

สตีเฟนนิ่งอึ้ง ประโยคนี้เขาคาดไม่ถึง “นั่นก็...ส่วนหนึ่งของแผน”

วินเซนต์เงยหน้าขึ้นส่งรอยยิ้มมุมปากแบบที่สตีเฟนไม่ค่อยชอบใจนัก “นายไปงานเลี้ยงของนายเถอะ ฉันไปบ่อยจนเอียนแล้ว”

แต่นายไม่เคยไปถึงงาน สตีเฟนคิด “นายแทบไม่ออกไปสัมผัสแสงอาทิตย์ เก็บเนื้อเก็บตัวเหมือนข้างนอกมีโรคระบาดร้ายแรง”

จอมพ่อมดแห่งมิติมืดทอดถอนใจ “ใช่แล้ว ข้างนอกเต็มไปด้วยเชื้อของความโง่เขลาเบาปัญญา ฉันจะไม่เอาตัวเองออกไปเสี่ยงเป็นอันขาด”

สตีเฟนเกือบจะร้องว้าว แต่เขาไม่อุทาน ไม่มีทาง “เอางั้นก็ได้ ไว้จะหยิบของที่ระลึกมาฝาก”

วินเซนต์โบกมือ “ไปไหนก็ไป แล้วก็ปิดประตูให้ด้วย”

โดยไม่ได้รู้สึกยินดีปรีดาแต่อย่างใด สตีเฟนเดินออกมาและปิดประตู

เดิมเขาหมายมาดจะรบเร้าลากเอาวินเซนต์ไปงานด้วยให้ได้ แต่เมื่อเห็นอีกฝ่ายดูดีขึ้นจากหลายสัปดาห์ก่อนที่เอาแต่บูดบึ้งเก็บตัวอยู่คนเดียว รวมถึงสารพัดเงาสัตว์ประหลาดที่หายหน้าหายตาและพลังมืดที่เริ่มเลือนลงแล้ว สถานการณ์อาจจะกำลังเริ่มคลี่คลาย

หรือทั้งหมดนี้เป็นสัญญาณหลอก เป็นจุดฟื้นตัวก่อนที่ทุกสิ่งจะล้มครืน

เขาอาจคิดมากไปเอง ถึงอย่างนั้นสตีเฟนก็เอาเรื่องนี้ไปปรึกษากับหว่องและขอให้ช่วยจับตาดูอีกแรง หว่องมองเขากลับด้วยสายตาพิลึก ทว่ายอมรับคำ

สตีเฟนเดินทางไปงานเลี้ยงรุ่นในคืนวันถัดมา งานคับคั่งไปด้วยคนคุ้นหน้า ส่วนใหญ่เข้าใจว่าเขาลาออกจากการเป็นศัลยแพทย์และหันไปศึกษาหลักวิชาทางศาสนา สายตาที่เมียงมองจึงเต็มไปด้วยความระแวดระวังราวกับว่าในสักอึดใจหนึ่งเขาจะพล่ามเรื่องบาปบุญคุณโทษหรือพร่ำเพ้อถึงพระผู้มาโปรดอย่างพวกคลั่งลัทธิ สตีเฟนไม่ได้แก้ความเข้าใจผิดและเกือบทำให้หลายคนเชื่อว่าเขาเสียสติไปแล้วที่มีสัตว์เลี้ยงเป็นผ้าผืนหนึ่ง

ในงานมีเพียงนิค เวสต์ อดีตเพื่อนร่วมงานจากโรงพยาบาลเมโทรเจเนอรัลที่ไม่เชื่อเรื่องโกหกพกลมที่หลุดจากปากเขาแม้แต่คำเดียว

“คุณกลายเป็นแบบพวกนั้นแล้วใช่หรือเปล่า” พวกนั้นที่นายแพทย์ผมบลอนด์กล่าวถึงคงไม่พ้นพวกอเวนเจอร์

“เอาเรื่องเหลวไหลนั่นมาจากไหน ตลอดเวลานี้ฉันอยู่ทิเบตนะ ถ้าไม่นับห้าปีที่เป็นฝุ่นและไม่อยู่ที่ไหนสักที่ละก็”

“ผมเห็นคุณกับ...อะไรบางอย่างที่หน้าตาคล้ายคุณ แต่ดูไม่ค่อยจะ...เอ่อ”

“ไม่เหมือนมนุษย์” สตีเฟนสรุป

เวสต์หลบสายตาเขาอย่างกระอักกระอ่วน “ประมาณนั้น”

“ฉันไม่ใช่พวกเดียวกับอเวนเจอร์” สตีเฟนหยุดก่อนขยายความ “แต่ไม่ได้เป็นศัตรูกับอเวนเจอร์”

เวสต์ผ่อนลมหายใจ “เยี่ยมไปเลย”

สตีเฟนหัวเราะ เวสต์เป็นคนตลกทีเดียวเมื่อไม่ทำตัวน่ารำคาญอย่างเวลาทำงานเชื่องช้าไม่ทันใจในห้องผ่าตัด

คงเพราะไม่ได้เข้าสังคมกับใช้ชีวิตแบบเดิม ๆ มาตั้งแต่เดินทางไปคามาทาจ สตีเฟนจึงอยู่เลยเวลา เขานั่งคุยเล่นกับบรรดาเพื่อนนักเรียนแพทย์ ติดตามข่าวซุบซิบและความคืบหน้าทางวิชาการ ส่วนหนึ่งในใจถึงกับไม่อยากให้ค่ำคืนนี้จบลงโดยง่าย แต่ความสนุกไม่เคยอยู่ค้ำฟ้าพอ ๆ กับที่พระอาทิตย์ย่อมกลับขึ้นมาเฉิดฉาย

สตีเฟนชั่งใจว่าควรเปิดทวารกลับอาศรมเลยหรือเปล่า แต่เขาไม่อยากจอดรถทิ้งไว้จนโดนยึดและเสียประวัติขับขี่ ลงท้ายแล้ว เขาใช้เวลาอีกร่วมสามชั่วโมงในการเดินทางกลับเนื่องจากต้องนั่งดื่มกาแฟให้สร่างเสียก่อน

พระอาทิตย์ลอยกลางฟ้าแล้วเมื่อมาถึงอาศรมสาขานิวยอร์ค เขาแทบไม่เชื่อสายตาตอนที่เห็นวินเซนต์ยืนกอดอกรออยู่หน้าประตู

“มีเรื่องอะไรหรือเปล่า” สตีเฟนถาม สมองประดังด้วยปัญหาล้านแปดที่เป็นไปได้

“มี” วินเซนต์บอก “โลกนี้มีเทคโนโลยีล้ำสมัยเพื่อใช้ในการสื่อสารซึ่งเรียกว่าโทรศัพท์มือถือ แต่นายกลับไม่พกมันติดตัว”

สตีเฟนยืนนิ่งมองวินเซนต์ขึ้นลง “นี่นายเป็นใคร ทำอะไรกับวินเซนต์ที่ฉันรู้จัก”

วินเซนต์ไม่ยิ้ม ดวงตาเย็นชาปะทุด้วยอารมณ์เกรี้ยวกราดและดูไม่ใช่มนุษย์ — เบื้องหลังของเขา เงาของสัตว์ร้ายออกมาเริงโลดใต้ดวงตะวัน บดบังแสงเสียจนตลอดช่วงถนนมืดฉับพลันเหมือนเมฆครึ้มท่วมฟ้า

แต่ท้องฟ้ายังเป็นสีฟ้าสว่างใส มีเพียงเบื้องล่างที่ท่วมด้วยเงา

สตีเฟนจ้องตาค้าง ก่อนตรงไปจับข้อมือวินเซนต์ลากเข้าอาศรม หว่องกับศิษย์กลุ่มหนึ่งวิ่งหน้าตาตื่นมาที่โถงพอดี “นายทำอะไรอีกล่ะ”

“ไม่ใช่ฉัน” สตีเฟนรีบบอก เพื่อเลี่ยงเส้นทาง เขาเปิดทวารตรงไปที่ห้องของวินเซนต์ “อีกเดี๋ยวก็กลับเป็นปกติแล้ว แค่...ขอเวลาส่วนตัวสักครู่”

ภายในอาคารที่เต็มไปด้วยอักขระและวงแหวนเวทนับหมื่นซ้อนทับกัน พลังจากมิติอื่นถูกดึงเข้ามาภายใน อัดแน่นในห้องสี่เหลี่ยมเล็ก ๆ ที่ท่วมท้นด้วยพลังเคืองแค้นและเสียงโหยหวนของอสูรซึ่งถูกกลืนกิน ตึกทั้งหลังสั่น เสียงครืนครันดังออกมาจากมิติเคียงใกล้ สตีเฟนเริ่มหายใจติดขัด

“ขอโทษ” เขารีบพูดก่อนจะพูดไม่ออก ทั้งที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตนเองทำอะไรผิด แต่ต้องมีอะไรสักอย่างผิดพลาดวินเซนต์จึงโกรธ เขาไม่เคยเห็นวินเซนต์โกรธขนาดนี้นับจากครั้งแรกที่พบกัน เมื่อครั้งที่วินเซนต์ยังแน่วแน่ในการแก้ไขจุดสัมบูรณ์ของมิติเวลาและตามหาเขาเพื่อที่จะหลอมรวมตัวตนเป็นหนึ่งเดียว

สตีเฟนเลียริมฝีปาก ขยับเข้าไปยืนชิดกับวินเซนต์ สัมผัสเลื่อนจากแขนลงไปประสานมือ เขาจ้องเข้าไปในดวงตาที่สาดแสงอำพัน

“ฉันขอโทษ”

ทุกอย่างเงียบลงโดยพลัน เงายังขยับไหวทั้งที่ไร้แสง แต่ทุกอย่างสงบลง อยู่ในการควบคุม

วินเซนต์นิ่วหน้า “ฉันยังไม่ได้จมแมนฮัตตันใช่ไหม”

สตีเฟนพูดไม่ออก เขาต่างหากที่ต้องร้องถามว่าเกิดบ้าอะไรขึ้น จอมพ่อมดทรุดตัวลงนั่งยอง ลมหายใจเข้าออกเหมือนปลาบนบก มือลูบผมที่ปรกหน้าผาก

ทว่ามืออีกข้างยังคงถูกกุมแน่น





อันที่จริงแล้ว สตีเฟนระแคะระคายอยู่บ้างว่าเกิดอะไรขึ้นกับวินเซนต์

คืนเดียวกันนั้นเขาเข้านอนตามปกติ ซึ่งคือเวลาที่แก้ข้อสงสัยเกี่ยวกับเวทมนตร์คาถาโบราณจนถึงในระดับรับได้จึงถอดชุดนอกออกแล้วล้มตัวลงนอน

เกือบจะเลื่อนไหลลงไปในโลกนิทราแล้ว หากไม่เพราะได้ยินเสียงผ้าคลุมตัวดีลอยไปที่ประตู เสียงกรีดอากาศดังขึ้นพร้อมกับเสียงคล้ายใครมาสะบัดผ้าที่ปลายเตียง จากนั้นเบาะบริเวณข้างเคียงสตีเฟนยุบลง เขารู้สึกถึงไออุ่นจากอีกร่างหนึ่งนอนลงข้าง ๆ

สตีเฟนเอ่ยถามเสียงเบา แทบจับไม่ได้ศัพท์ “นอนไม่หลับเหรอ”

ไม่มีคำตอบ ผ้าคลุมของพวกเขายังตีกันอีนุงตุงนังอยู่บนพื้น

“ฉันสงสัยมาสักพักว่าทำไมช่วงหลังถึงนอนชิดด้านหนึ่งของเตียงตลอด” สตีเฟนกล่าวงึมงำ “ส่วนอีกด้านเรียบกริบ ไม่มีรอยยับ แถมผ้าห่มก็ไม่เคยไหลตกข้างเตียง”

“รู้อย่างนี้แล้วก็ช่วยขยับหน่อยสิ”

สตีเฟนถอนหายใจยาว ก่อนขยับพื้นที่ให้ทั้งที่ตายังปิด “งั้นนี่ก็คือความลับของการควบคุมร่างยักษ์เขียวขี้โมโหสินะ”

“เข้าเค้า” วินเซนต์พูด “ปัญหาของพวกจอมยโสและเอาแต่ใจก็คือตัวเองทั้งนั้น”

“แล้วฉันกลายเป็นหนึ่งในสมการปัญหาได้ยังไง”

“วิธีแก้สมการคือจัดระเบียบตัวแปร ต้องทำให้เหลือแค่หนึ่ง หรือไม่ก็ต้องวางไว้ที่ฝั่งเดียวกัน”

“นายกำลังจะบอกว่าเราควรอยู่ใกล้กัน”

“ฉันกำลังบอกว่า...ฉัน” วินเซนต์กระแอมไอ “นอนไม่หลับ”

สตีเฟนหัวเราะนานหลายนาทีอย่างหยุดไม่ได้ เสียงกลั้วในลำคอ เขาซุกหน้ากับหมอน เสียงเล็ก ๆ ที่ทำให้ตัวสั่น และทำให้ความเงียบที่ตามมาล่องลอย แผ่วเบาเหมือนสัมผัสของขนนก

“เวลาอยู่ห่างกันฉันนอนไม่หลับ” วินเซนต์ยอมรับ คำถัดมายิ่งเบาลง “ขอโทษ”

“นั่นอธิบายอาการเมื่อตอนเที่ยงได้เลย” สตีเฟน สเตรนจ์ จะหงุดหงิดและโมโหร้ายเวลานอนไม่พอ “แล้วก่อนหน้านี้นอนให้หลับได้ยังไง”

“ก็ไม่ต้องนอน...”

สตีเฟนพลิกตัวตะแคงข้าง หันหน้าไปทางวินเซนต์ที่นอนหงายมือประสานวางบนช่วงท้อง เขาเงียบมอง สมองส่วนหนึ่งง่วงงุน ส่วนหนึ่งสงสัย ทว่าทั้งสองส่วนเชื่อมโยงไว้โดยความสงบอันน่าพิศวง กึ่งกลางระหว่างสติรู้คิดกับดินแดนในความฝัน สตีเฟนไม่ได้กล้ากว่าเคย เขาเพียงแต่กระทำตามที่อยาก

“มันต้องมีสาเหตุ” สตีเฟนพูด และคำตอบก็ปรากฏบนปลายลิ้นทันทีหลังจากที่กล่าว “คริสทีน”

วินเซนต์เงียบไปอึดใจ “นายไม่ได้เห็นวินาทีสุดท้ายของเธอ”

“วินาทีสุดท้ายไม่ควรมีน้ำหนักมากกว่าหลายล้านวินาทีก่อนหน้า”

วินเซนต์ผุดลุกขึ้นนั่ง ไหล่เกร็ง ก้มหน้าลงราวกิ่งก้านไร้ใบบนไม้ไร้ชีวิต “แต่วินาทีสุดท้ายคือสิ่งที่ติดตัวเธอไป ไม่ว่าความตายจะนำไปที่ใด นายคิดว่านั่นคือสิ่งที่ควรจะเป็นเหรอ เธอหวาดกลัว มองฉันเหมือนมองคนแปลกหน้า…”

“มันเป็นอุบัติเหตุ”

“มันไม่ใช่อุบัติเหตุ!”

เงาโถมขึ้นคลุมห้อง ไม่มีแสงใดลอดเข้ามาหรือเล็ดออกไป มีเพียงดวงตาที่สามซึ่งเรืองรองกลางหน้าผากของจอมเวทจากมิติมืด วินเซนต์ตัวสั่น สัตว์ร้ายร้องร่ำด้วยอารมณ์ที่พัดโหมเกินอธิบายหรือจำแนก

สตีเฟนเงียบลง ตัวไม่ขยับจากเดิม “หมายความว่ายังไง”

“ฉันไม่ได้หมายถึงวินาทีสุดท้ายบนรถ หรือที่ไหนก็ตามแต่… ฉันหมายถึงวินาทีสุดท้ายที่เราทำสำเร็จ” เสียงของวินเซนต์แผ่วเบาแต่สะท้อนก้อง น้ำเสียงทิ้งท้ายปริแยกด้วยรอยร้าว “ในนิมิตเธอหวาดกลัว ไม่ยอมให้ฉันเข้าใกล้ และสุดท้ายก็ตายอย่างทรมาน เลวร้ายกว่าทุกเส้นเวลาที่ฉันเข้าไปขัดขวาง”

นั่นคือเหตุผลที่วินเซนต์ยุติแผนการที่จะคืนชีวิตให้คริสทีน สตีเฟนตระหนัก นิมิต วินเซนต์เห็นนิมิตที่เขาทำสำเร็จ ทว่าก็ยังไม่อาจหลีกเลี่ยงความตายของคนเพียงคนเดียวได้

สตีเฟนไม่อาจเข้าใจความสูญเสียซ้ำซากได้ถ่องแท้เช่นผู้ที่ผ่านประสบการณ์นั้นด้วยตนเอง และไม่รู้วิธีปลอบโยน สำหรับเขาแล้วคำปลอบโยนไม่เคยส่งผลดี ยิ่งในยามที่อารมณ์แปรปรวนเกินควบคุม เขาจึงมักจะต้องการความเป็นส่วนตัว ขังตัวเองและตริตรองปัญหาเพียงลำพัง

ทว่าเมื่อแบ่งแยกตัวตนเป็นสอง คำว่าลำพังกลับกลายเป็นสิ่งที่พลิกแพลงได้

“ความเที่ยงตรงหาได้ยากยิ่งในนิมิต” สตีเฟนเอ่ยเสียงเรียบ เหมือนระหว่างสอนแพทย์ฝึกหัด ไม่มีชอบหรือชัง หนึ่งในโอกาสแสนน้อยนิดที่เขาไม่ลงคำปรามาสหรือตัดสิน “และความฝันมักจะตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของความทรงจำกับความรู้สึก”

วินเซนต์ยิ้มมุมปาก ดวงตาอำพันแวววาวปรือขึ้นสบ อากาศภายในห้องลดต่ำลง มือของสตีเฟนเย็นเฉียบ

“นี่กำลังยุกันหรือเปล่า”

“แค่แจงข้อเท็จจริง”

“ฉันหาทางทดสอบแล้ว” วินเซนต์พ่นลมหายใจ

สตีเฟนหรี่ตามองอย่างไม่ลดละ “ตลอดเวลานี้ไม่ได้คิดยอมแพ้จริง ๆ อย่างนั้นสินะ”

“ผิดหวังเหรอ”

“เป็นไปตามที่คาดไว้ทุกอย่าง”

วินเซนต์กวาดแขน ทิ้งตัวลงนอนมองเพดาน “นายก็เหมือนกัน เอาแต่ตามหาจอมเวทจากสาขาอื่นมาลงอาคมโบราณเพื่อกักฉัน แทนที่จะซ่อมหลังคาอาศรม”

“หิมะยังไม่ตกเสียหน่อย หรือถ้าตก ก็ถือเสียว่าตกแต่งอาศรมตามเทศกาล ไม่คิดหรือว่าที่นี่ชักจะมืดมนและขาดชีวิตชีวาเกินไป ยิ่งเมื่อมีนายเข้ามาอยู่ด้วยแล้ว...”

ความเงียบกลับมาอีกครั้งและสตีเฟนไม่ชอบมัน เขาพูดตามใจอยากโดยไม่ผ่านการกลั่นกรองอีกครั้ง พักหลังนี้เขารู้สึกว่าตนเป็นแบบอย่างของการประสบแต่ความล้มเหลวที่น่ากระอักกระอ่วน

แต่วินเซนต์กลับเอ่ยขึ้น “เราเหมือนเด็กไฮสคูลที่กำลังจัดปาร์ตี้ชุดนอน”

สตีเฟนหัวเราะ ความกังวลมลายเป็นปลิดทิ้ง ทั้งที่ความมืดยังไม่คลายหาย เขามองไม่เห็นอะไรเลยนอกจากน้ำหมึกทึมทึบที่ไม่ยอมให้เห็นแม้แต่โครงร่างเฟอร์นิเจอร์ภายในห้องหรือกระทั่งมือตนเอง

“มีเครมบรูเล่เหลือในตู้เย็น” สตีเฟนบอก

“ฉันไม่กินของเหลือจากนายหรอก ไปซื้อมาใหม่สิ”

“ไปด้วยกันหรือไม่งั้นก็ไม่ต้องกิน”

“หัดต่อรองแล้วเหรอ เวลาที่ใช้กับดอร์มมามูไม่เสียเปล่าเลยนี่”

ถึงคราวของวินเซนต์ที่ต้องเงียบ แม้ไม่เห็นไม่สัมผัส สตีเฟนก็รับรู้ได้ว่าคนที่นอนข้างนี้ตัวนิ่งเกร็งไม่ขยับ ไม่แม้แต่หายใจตามปกติ

“สำหรับเวลาแล้วไม่มีคำว่าเสียเปล่าหรอก” สตีเฟนกล่าวเสียงเบา รอยยิ้มพราวริมฝีปาก “คริสทีนก็คงคิดอย่างนั้นเหมือนกัน”

ความมืดรายล้อมราวราตรีชั่วนิรันดร์ ขณะดวงตาปรือลงปิด สตีเฟนเกิดความสงสัยไร้สาระขึ้นว่าความมืดชนิดใดจะบอดตากว่าระหว่างเงาที่ท่วมห้องนี้กับวินาทียามหลับใหล ร่างกายเบา การรับรู้ถอยร่นจนมาหยุดที่ชีพจรกับลมหายใจ ไม่รู้เสียงเบาะแว้งของสองผ้าคลุมวิเศษเงียบไปตั้งแต่เมื่อใด สตีเฟนรู้แต่เพียงตนกำลังตกลงสู่ความมืดอีกครั้ง

สิ่งสุดท้ายที่เขารู้คือความอบอุ่นที่คลี่คลุมร่างกับมือข้างขวา





what if a dawn of a doom of a dream

bites this universe in two,

peels forever out of his grave

and sprinkles nowhere with me and you?

what if a much of a which of a wind — e.e. cummings






End Credit :

“อย่าก่อเรื่อง” สตีเฟนบอก สีหน้าเรียบเฉย แต่สายตาแสดงชัดว่ารู้ จะต้องมีเรื่องอะไรสักอย่างเกิดขึ้น ไม่มีคำอธิบายที่เป็นวิทยาศาสตร์พอ บางคราวพวกเขาเพียงแต่รู้ว่าอะไรบางอย่างที่เลวร้ายกำลังมา

วินเซนต์ยิ้มเย็นและโบกมือไปรอบอาศรมซึ่งปกคลุมด้วยหิมะ “จะก่อเรื่องอะไรได้ รายล้อมด้วยคาถาอาคมและภาระในการปัดกวาดตั้งมากมายขนาดนี้”

อีกฝ่ายทำหน้าว่างเปล่า “แล้วจะรีบกลับ”

สตีเฟนสร้างทวารก่อนหายลับไปจากห้องอาหาร วินเซนต์มองจนวงแหวนสีทองแดงกะพริบพรายราวลูกไฟดวงเล็กก่อนจางหายไปในอากาศ

หลุมกลวงกลางอกแจ่มชัดขึ้นยามที่อยู่ห่างกัน วินเซนต์พยายามที่จะขจัดความรู้สึกประหลาดนี้ออกจากการรับรู้ แต่ยากจะสำเร็จ หิมะที่ท่วมโถงทางเดินยังไม่เย็นบาดผิวเท่ายามที่อีกครึ่งหนึ่งของตัวตนอยู่ห่างกาย

เขาน่าจะตามสตีเฟนไปที่เวสต์วิว มีเรื่องน่าสนใจเกิดขึ้นที่นั่น พลังเวทที่แตกต่างจากพวกเขา วินเซนต์เคยอ่านผ่านตา เคยเห็นผ่านนิมิต แต่ไม่เคยประสบด้วยตนเอง นี่เป็นประสบการณ์ที่ควรค่าศึกษา

ทว่าก่อนจะยัดเครมบรูเล่อีกครึ่งหนึ่งลงท้องและรีบวาดทวารตามสตีเฟนไปนั้น แขกที่ไม่คาดหมายก็มาปรากฏตัวยังอาศรม

เด็กหนุ่มผู้เป็นหนึ่งในสมาชิกของทีมอเวนเจอร์และยังเป็นสมาชิกที่อายุน้อยที่สุด เช่นเดียวอีกโลกที่จากมา วินเซนต์พบปีเตอร์ ปาร์คเกอร์ เพียงไม่นานและยังเป็นสถานการณ์จวนตัว พวกเขาไม่ได้รู้จักสนิทสนม แต่ความเอ็นดูที่มีให้กลับเป็นของตาย เพราะใครเล่าจะใจร้ายกับลูกหมาตาใสได้ลงคอ

เพื่อหลีกเลี่ยงคำถามที่ไม่จำเป็น วินเซนต์จำแลงกายเป็นสตีเฟนและเดินออกไปต้อนรับ พยายามทำตัวเหมือนในอดีต วางตัวสบายราวกับไม่มีอะไรบนโลกที่ทำให้ร้อนรนได้

วินเซนต์คิดเพียงแต่จะเป็นคนรับส่งสาร เพราะเด็กวัยรุ่นคนหนึ่งจะมีธุระใดเกินการจัดการของผู้ใหญ่ไปได้ แต่เขาคิดผิด คำขอของปีเตอร์กระตุ้นความสนใจเป็นอันมาก

“อย่าใช้เวทมนตร์นั่น มันอันตรายเกินไป” หว่องกล่าวเตือนแกมขู่

วินเซนต์ยืนนิ่ง มือหนึ่งถือแก้วกาแฟใบโปรดของสตีเฟน เกือบจะเอียงคอตามความเคยชินก่อนหยุดตัวเองทันในวินาทีสุดท้าย

“ตกลง” วินเซนต์บอกก่อนส่งรอยยิ้มให้ความมั่นใจ “ฉันจะไม่ใช้”

เมื่อหว่องเดินผ่านทวารพร้อมกระเป๋าเดินทางเพื่อไปใช้วันหยุดพักร้อนแล้ว วินเซนต์เหลียวมาทางปีเตอร์ก่อนขยิบตาอย่างรู้กัน


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น