วันศุกร์ที่ 15 เมษายน พ.ศ. 2565

[Stranger Things] the still and lightless beast, I (Billy/Steve)


the still and lightless beast

Stranger Things

— Billy / Steve —

Note : Alternate universe - fairies

 




Part I


สตีฟตื่นก่อนนาฬิกาปลุกเกือบชั่วโมงเพราะเสียงกริ่งหน้าบ้าน เป็นโชคร้ายของเขาที่นอนบนโซฟาในห้องรับแขก เป็นโชคดีของแขกที่เขาอยู่ใกล้ประตูจนไม่อาจเพิกเฉยเสียงกรีดแหลมนี้ได้ สตีฟลุกขึ้น สะดุดชายผ้าห่มสองสามก้าว เขาลูบใบหน้าและสูดลมหายใจ ความกังวลเข้ามาแทนที่ความหงุดหงิดอย่างรวดเร็วเมื่อคิดได้ว่าเรื่องดีไม่เคยมาเยือนยามเช้าตรู่ แล้วจึงเปิดประตู

“แฮริงตัน” ทอมมี่ ฮาแกน แฟรี่ตนสุดท้ายบนโลกที่สตีฟคิดว่าจะมาเคาะประตูบ้าน ทักทายเสียงแข็ง แต่ดวงตามองข้ามไหล่ของเขา

“ฮาแกน” สตีฟพูดเพียงเพราะนึกอะไรไม่ออก “มาทำอะไรที่นี่แต่เช้า”

ทอมมี่ขมวดคิ้ว ท่าทางกล้ำกลืน สตีฟยืนมอง สะลึมสะลือทว่าเยือกเย็น เขาเพิ่งสังเกตว่าแครอล เพอร์กิ้นส์ เองก็อยู่ที่นี่ ผมสีน้ำตาลทองดูพองฟูกว่าที่ควร และดวงตาคล้ายแมวป่าก็เต็มไปด้วยแววตระหนก

“มีอะไรบางอย่างเกิดขึ้นกับเขา” ทอมมี่โพล่ง แต่เสียงไม่ดังไปกว่ากระซิบ

“ใครนะ”

“บิลลี่” ดวงตาเลื่อนขึ้นสบตอบ และทันใดนั้น สตีฟก็ลิ้มรสความกลัวอันฝาดขมบนปลายลิ้น “มีอะไรบางอย่างเกิดขึ้นกับบิลลี่ ฮาร์โกรฟ”

สตีฟนิ่งงัน มองอดีตเพื่อนทั้งสองสลับไปมา “โอเค...” พยายามทำความเข้าใจสถานการณ์ตรงหน้า ทว่าพบเพียงความสับสน เขาใช้เวลาค่อนคืนในการกล่อมดัสตินผ่านวิทยุสื่อสารให้หยุดการไขรหัสรัสเซีย ดังนั้นตอนนี้จึงเช้าเกินไปที่สมองจะทำงาน “ฉันไม่เข้าใจว่าจะช่วยอะไรได้”

แครอลหน้าเสีย และเธอก็ทำให้สตีฟไล่ตามความนัยทัน เพราะอีกความหมายของประโยคที่กล่าวออกไปคือเขาไม่ใช่ส่วนหนึ่งของกลุ่มแล้ว ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับบิลลี่ ฮาร์โกรฟ มันก็ไม่ใช่ปัญหาของเขาเลยสักนิด

ความเงียบท่วมท้นน่าอึดอัด ทอมมี่หน้าซีดเผือด สตีฟไม่เคยเห็นเขาแสดงสีหน้าแบบนี้เลยไม่ว่าในการดวลเดี่ยวกับสุนัขล่าเนื้อหรือยามโดนโหงพรายริมบึงไล่จับด้วยเชือกร้อยจากตะไคร่น้ำ

หรือแม้แต่เวลาที่สตีฟละทิ้งตำแหน่งราชากับบรรดาเฟย์มืดเพียงเพื่อสาวมนุษย์คนหนึ่ง

สตีฟเปิดประตูกว้างขึ้นและพยักพเยิด “เข้ามานั่งข้างในก่อน”

เขาหมุนตัวเดินกลับขึ้นไปชั้นสองเพื่ออาบน้ำและผลัดเปลี่ยนชุด ไม่ได้หยุดรอดูว่าเฟย์ทั้งสองจะตามเข้ามาหรือไม่ สตีฟติดอยู่ในภวังค์ที่คลับคล้ายความฝัน

นานแล้วที่ไม่ได้พูดคุยกับเฟย์ที่เคยเชื่อมพันธนาการ มีเฟย์น้อยตนนักที่ยินดีเปิดปากหรือใช้เวลากับเขาภายหลังการแยกตัวออกมาเป็นเฟย์สันโดษ ทุกอย่างยิ่งเลวร้ายเมื่อมีตัวเปรียบเทียบอย่างบิลลี่ ฮาร์โกรฟ ผู้ปรากฏเข้ามาแทนตำแหน่งซึ่งว่างเว้น ก่อนนำพากลุ่มเข้าสู่ช่วงเวลาอันหฤหรรษ์และคะนองโลหิตยิ่งกว่าในยุคของสตีฟ

สตีฟไม่รู้ว่าควรรู้สึกยังไงที่กลับลงมาพบว่าทอมมี่กับแครอลยังนั่งคอยอยู่ในห้องครัว พวกเขาพูดคุยกันเสียงเบา และหยุดทันทีที่เห็นเขา แม้ไม่ได้ยินบทสนทนา แต่กลิ่นอายอันหนักอึ้งเหมือนโลหะกับชั้นหินใต้ดินก็แทบจะบอกเล่าได้ทั้งหมดแล้ว

สตีฟตรงไปต้มน้ำร้อนเตรียมชงกาแฟ ใครจะรู้ว่าต้องใช้คาเฟอีนเท่าไรในการจัดการเรื่องนี้

เขาประคองแก้วด้วยสองมือ ปล่อยให้ความร้อนแสบนาบผิว รู้สึกตื่นเต็มตาขึ้นหลังรสขมหวานลวกลิ้น “เขาทำอะไรล่ะ” สตีฟทำลายความเงียบ

“เขาปิดกั้นพลังจากพวกเรา” แครอลรีบพูดราวกับกลัวว่าเขาจะเปลี่ยนใจแล้วไล่พวกเธอออกไป

สตีฟเอียงคอ “ไม่ใช่เรื่องใหม่ เขาปิดกั้นตัวเองบ่อย ๆ ไม่ใช่หรือ”

ทอมมี่เลิกคิ้วสงสัย สตีฟสบตา ไม่อธิบายอะไรเพิ่ม เขาอาจไม่ใช่ผู้เล่นในเกมการเมืองอีกแล้ว แต่ก็จะไม่ยอมเสียเส้นสายภายในกลุ่มแฟรี่ที่มีพฤติกรรมแปรปรวนยากคาดเดาที่สุดในฮอว์กิ้นส์เด็ดขาด

“ครั้งนี้ไม่เหมือนกับทุกที” แครอลเอ่ย นัยน์ตาที่มีขีดแบ่งกลางเหมือนแมววาวขึ้นอย่างครุ่นคิด “ปกติแล้วเขาจะไม่ทำติดต่อกันนาน อย่างมากก็ครึ่งวัน และไม่เคยขาดการติดต่อ ไม่เคยเลยสักครั้ง สตีฟ”

สตีฟยกแก้วขึ้นดื่ม ใช้กาแฟต่างน้ำชะล้างถ้อยคำกึ่งครหาจากเฟย์สาว “พวกเธอคุยกับเขาหรือยัง”

“เจอแล้ว คุยแล้ว เขาไล่พวกเรา” ทอมมี่พูด สีหน้าบึ้งตึง แต่สตีฟยังเห็นความหวาดหวั่นสำแดงออกมาแม้อีกฝ่ายพยายามเก็บซ่อนแล้วก็ตาม

ในอดีตพวกเขาเรียกการรวมกลุ่มนี้ว่าราชสำนัก และเมื่อเป็นเฟย์ที่อยู่ใต้อาณัติหรือพันธนาการของกลุ่มก็จะไม่สามารถต่อต้านผู้นำได้ นี่คือข้อแลกเปลี่ยนกับพลังอำนาจที่เหนือกว่าเฟย์ทั่วไป และโดยเฉพาะอย่างยิ่งเฟย์สันโดษ

สตีฟปกครองด้วยวิธีโอนอ่อนผ่อนปรนมาโดยตลอด ในเมื่อมีทักษะที่ทำให้แฟรี่ที่ดื้อด้านที่สุดยังต้องคล้อยตามแล้วก็ไม่มีเหตุผลใดให้ใช้กำลัง แม้ภายหลังจะตระหนักได้ว่าวิธีการนี้ก่อผลสะท้อนใดไว้ แต่มันก็ยังดีกว่าการกรีดเนื้อเถือหนังด้วยเปลวแสงและไฟ — ต่างจากเขา บิลลี่ปกครองด้วยเลือดกับอัคคีที่ไม่ว่าแฟรี่ตนใดก็ต้องยอมสยบ ความหวาดกลัวต่อราชาองค์ใหม่แผดเผาไปทั่วและเคยคลอกถึงตัวสตีฟมาแล้วที่บ้านบายเออร์

แผลเป็นบนศีรษะปวดตุบ สตีฟถอนหายใจ “ไม่เข้าใจอยู่ดีว่าฉันจะช่วยอะไรได้”

“ให้ตายเถอะ อย่างน้อยนายก็เคยเป็นผู้นำมาก่อนจะเป็นพี่เลี้ยงลูกมนุษย์นะ เด็กพวกนั้นทำเอานายไร้น้ำยาไปแล้วหรือไง” ทอมมี่กัดฟันพูด ท่าทางอยากทึ้งผมตัวเอง แครอลวางมือบนไหล่ของเขา

“นายก็คงลืมไปแล้วเหมือนกันว่าฉันไม่จำเป็นต้องทำตามคำสั่งของใคร” สตีฟกล่าว ปลายนิ้วชี้เคาะแก้วเซรามิก รสชาติแผดร้อนซ่านลิ้นแต่ไม่อาจกลืนกินหรือควบคุมตามปรารถนา เขาสัญญากับตัวเองว่าจะใช้วาจาก่อนอะไรอื่น แต่มันยากเหลือเกินที่จะควบคุมไม่ให้ขยับตามใจนึก

ทอมมี่ชะงัก อารมณ์ที่สตีฟไม่ต้องการเห็นเคลื่อนเป็นระลอกผ่านใบหน้าตกกระของเฟย์มืด

แครอลกล่าวเสียงสั่น “แค่ลองไปพบเขาสักครั้ง บางทีนายอาจเข้าใจสิ่งที่เห็นมากกว่าเรา บางทีมันอาจไม่มีอะไรเลย ขอแค่ลองไปดูเท่านั้น ได้โปรด”

สตีฟหันหลังให้พวกเขา วางแก้วที่พร่องไปเพียงครึ่งเดียวและมีไอกรุ่นลงในอ่างล้างจาน เขาหลับตาลงก่อนลืมขึ้น ทอมมี่พูดถูกเรื่องหนึ่ง สตีฟอ่อนแอลงตั้งแต่ตกหลุมรักและคลุกคลีกับพวกลูกมนุษย์

เพียงแต่มันไม่ใช่ความอ่อนแอแบบที่อีกฝ่ายคาด

“กว่าสระจะเปิดก็อีกหลายชั่วโมง พวกนายกลับไปก่อนเถอะ” สตีฟพูด




การแวะไปที่สระว่ายน้ำชุมชนไม่ควรใช้เวลานาน หากเตือนโรบินล่วงหน้าการไปทำงานสายสักชั่วโมงสองชั่วโมงก็ไม่มีปัญหาอะไรนอกจากต้องชดใช้ชั่วโมงแทนภายหลัง ทว่าสตีฟก็ตัดสินใจว่าเขาจะลาทั้งวันอยู่ดี

โรบินย้ำเสียงแข็งให้เขาสัญญาว่าต้องเล่าทุกอย่างในวันถัดไป เธอไม่ยอมแบกงานหลังขดคนเดียวขณะที่สตีฟออกไปทำธุระอะไรก็ตามของพวกแฟรี่ สตีฟกล่าวปลอบว่าเรื่องนี้ไม่มีทางสนุกไปกว่าการตะโกนอย่างกะลาสีหรือตักไอศกรีมใส่กรวยเด็ดขาด

สตีฟไม่แน่ใจว่าควรบอกดัสตินหรือเปล่า แต่สุดท้ายก็คิดได้ว่าโรบินคงไม่ชอบใจนักหากต้องคอยดูแลเด็กอายุสิบสี่ระหว่างงาน

“แน่ใจเหรอ พวกเขาอาจจะหลอกนายไปทำอะไรที่เลวร้ายก็ได้นะ!” ดัสตินพูดแกมโอดครวญ เด็กชายเป็นเหยื่อการเล่นแผลงของแฟรี่บ่อยครั้ง ลูกมนุษย์ที่มีสายเลือดเฟย์เพียงพอจะมองผ่านมนตร์บังตา แต่ไม่มากพอจะเป็นเฟย์

“พวกเขาไม่ได้โกหก ดัสติน นายรู้ว่าพวกเขาหลอกฉันไม่ได้ และฉันแค่จะแวะไปดูครู่เดียวเท่านั้น” สตีฟกล่าวติดตลก เขาไม่อยากให้เด็กชายตื่นตูมเกินเหตุ “ไม่น่ามีอะไรหรอก ก็แค่ราชาจอมยโสอารมณ์บูดจนลืมคนของตัวเองน่ะ”

สตีฟกล่าวความจริงแค่ครึ่งเดียว เขารู้เต็มอกว่าฮาร์โกรฟเป็นได้ทุกอย่างยกเว้นความเผอเรอ เฟย์ไม่อาจโป้ปด และเขาไม่ได้โกหก การคาดเดาสถานการณ์ไม่ใช่การสร้างเรื่องมดเท็จเสียทีเดียว

“พกวิทยุสื่อสารไปด้วยนะ”

“ฉันจะโทรหาตอนกลับ…”

“สตีฟ นายต้องเอาวิทยุสื่อสารไปเผื่อเหตุฉุกเฉิน”

“ก็ได้! ก็ได้ ฉันจะติดต่อหานายทันทีที่จบเรื่อง”

“เยี่ยม”

สตีฟแทบจะเห็นรอยยิ้มผ่านน้ำเสียงของเจ้าเด็กหัวหยอง เขาวางหูโทรศัพท์ ไม่ลืมที่จะหยิบวิทยุสื่อสารติดมือ รวมถึงไม้เบสบอลฝังตะปู เพราะเขารอบคอบพอและรู้ว่าอะไรก็เกิดขึ้นได้ทั้งนั้นในเมืองที่เชื่อมกับมิติกลับตาลปัตร

ทอมมี่กับแครอลนั่งรอบนกระโปรงรถตรงลานจอด แทบไม่เหลือที่ว่างแล้วทั้งที่สระเพิ่งเปิดไม่ถึงชั่วโมง สตีฟลงจากรถแล้วเดินไปหาพวกเขา

“เขาทำตัวแปลกมาก” ทอมมี่เอ่ยทั้งหน้าปุเลี่ยน ตาจ้องเขม็งไปทางต้นทางที่ปะปนด้วยเสียงหัวเราะกับเสียงสาดน้ำ

สตีฟยกมือขึ้นบังแดด รู้สึกร้อนและอ่อนแรงภายใต้แสงอาทิตย์ กลางวันไม่ใช่เวลาของเขาเลย ไม่ใช่สำหรับทอมมี่กับแครอลเช่นกัน เวลาที่ฮาร์โกรฟปิดกั้นสายใยระหว่างบริพาร ความได้เปรียบที่ทลายข้อจำกัดของเฟย์มืดก็ถูกริบคืน

และแปลกอย่างที่ทอมมี่ว่า สตีฟไม่นึกฝันว่าจะได้เห็นวันที่ฮาร์โกรฟกำบังเนื้อหนังตัวเองอย่างมิดชิดราวกับกลัวแสงแดด เขาคงจะหลุดหัวเราะถ้าเฟย์ที่ยืนข้างกันไม่แสดงสีหน้าซีดเซียวเหมือนภูตซากศพ

การอยู่ใต้แสงตะวันกินแรงพวกเขามากกว่าเฟย์ที่กำเนิดในวงศ์วานบรรพบุรุษและถือพันธะอันแน่นแฟ้น “รีบเข้าไปกัน”

แครอลตวัดตามอง “นายไปคนเดียวดีกว่า เขาจะรู้ตัวถ้าพวกเราเข้าไปใกล้”

สตีฟยักไหล่ก่อนเดินเข้าไปในอาคารที่ทำการ เขาพยายามแล้ว และบางครั้งความพยายามก็ไม่อาจฝืนความเป็นจริง

ทว่าการที่เขามาคนเดียวกลับเป็นทางเลือกที่ดีกว่า สตีฟรู้สึกได้ตั้งแต่ยังไม่ทันหลบเข้าใต้ร่มเงาอาคาร ใครบางคนมาถึงที่นี่ก่อนเขาเสียอีก

พวกเธอมาทำอะไรที่นี่

สตีฟยืนมือล้วงกระเป๋ากางเกงข้างพุ่มไม้ที่อยู่ในสวนถัดเข้ามาจากประตูหน้า ทำเหมือนชมทิวทัศน์และผู้คนที่กำลังสนุกกับการเล่นน้ำ

เด็กหญิงสองคนย่อตัวคุดคู้อยู่หลังก้านใบเขียวครึ้ม ผมสีแดงของคนหนึ่งโดดเด่นเสียจนสตีฟนึกไม่ออกว่าหากปราศจากมายาเธอจะหลบซ่อนและฉวยโอกาสในการสู้ได้ยังไงโดยไม่ให้ศัตรูหาพบตั้งแต่สิบไมล์แรก

อีกคนที่มีผมสีเข้มเงยหน้าขึ้น พันธนาการที่เชื่อมโยงระหว่างเธอกับเขาขยับไหวแผ่วเบาเหมือนเปลวเทียน “สตีฟ”

“เอล” สตีฟยิ้มมุมปาก ก่อนหุบลงฉับพลันเมื่อระลึกถึงสถานการณ์ตรงหน้า เขามองเด็กหญิงทั้งสองคนสลับไปมา “พวกเธอก็รู้สึกด้วยสินะ”

ใช่” แม็กซ์เอ่ยขึ้น สีหน้าของเธอแทบไม่ต่างจากทอมมี่กับแครอลเลย ซึ่งนับว่าน่ากังวลเมื่อเธอเป็นเฟย์คิมหันต์ ฤดูร้อนไม่ควรแห้งผากและซีดขาวเช่นนี้ “บิลลี่”

เธอหยุดพูดเหมือนมีบางสิ่งจุกลำคอ

แม็กซ์เป็นคนเดียวที่ไม่ได้ลงพันธะกับพวกเขา เธอผูกพันแน่นหนากับกลุ่มของนีล ฮาร์โกรฟ กลุ่มที่มีเพียงเฟย์ฤดูร้อน ขณะที่บิลลี่ไม่ได้รับสิทธิ์เดียวกันนั้น เขาเกือบจะเหมือนเฟย์สันโดษ เป็นผู้รั้งท้ายฝูง แทบจะไม่รู้สึกถึงสายใยใดจากตัว จนกระทั่งได้มาแทนที่สตีฟนั่นเอง

ทอมมี่กับแครอลเป็นเฟย์ในกลุ่มของบิลลี่ พวกเขาย่อมรู้เมื่อมีบางสิ่งผิดปกติ แต่สตีฟแปลกใจที่แม็กซ์เองก็รับรู้ด้วย

“เขารู้หรือเปล่าว่าพวกเธออยู่ที่นี่”

เอลส่ายศีรษะ ตัวสั่นเมื่อเอ่ยคำถัดมา “เขามีกลิ่นเหมือนมัน

สตีฟรู้ดีทีเดียวว่ามันที่ว่านั้นหมายถึงอะไร เขายกมือลูบหน้า พลางคิดว่าควรจะดื่มกาแฟเมื่อตอนเช้าให้หมด

“ความร้อน” สตีฟเอ่ยขึ้นหลังจากมองพฤติกรรมแสนพิกลของเฟย์คิมหันต์พักหนึ่ง “เราต้องใช้ความร้อน แบบเดียวกับวิล”

เอลพยักหน้า แม็กซ์กัดริมฝีปาก สตีฟไม่เคยเห็นเธอแสดงความกังวลมากมายขนาดนี้ ความกังวล ความเครียด มีรสชาติขมปร่า ทว่าหวานหอม เหมือนกาแฟ แทบไม่รู้เลยว่ากลิ่นอันอบอวลด้วยสัมผัสละมุนนั้นฝาดเฝื่อนจนกว่าจะแตะบนลิ้น

สตีฟสามารถหลอมละลายมันได้ในพริบตา เติมนม เติมน้ำตาล ปลอบโยนมันให้โอนอ่อนผ่อนลงด้วยสัมผัสเพียงปลายนิ้ว แต่เขาจะไม่ทำ ใช้คำพูด สตีฟ เสียงของแนนซี่ดังขึ้นในหัว ตรรกะและสามัญสำนึกมีเสียงเหมือนหญิงสาวคนนี้มาโดยตลอด

“ฉันเห็นห้องซาวน่าตรงทางเดิน” แม็กซ์พูด เด็กหญิงเหยียดตัวขึ้น ผมสีเพลิงสะท้อนแสงแดดจนเลื่อมวาวเหมือนเส้นสายทองแดง “เราจะล่อเขาเข้าไปในนั้น”

“ได้” เอลรับคำ สตีฟเหลือบมองเฟย์เยาว์วัยผู้ถือพันธะร่วมกับเขา เยาว์วัยทว่าทรงพลังอย่างที่ไม่เคยมีมา ไม่ว่าเธอจะเลือกเส้นทางใด เขารู้ว่าตนกับเด็กมนุษย์อีกสี่คนจะเดินตาม และในเวลาเดียวกัน เธอก็จะทำทุกวิถีทางเพื่อปกป้องพวกเขา

สังหรณ์อันเลวร้ายก่อตัวขึ้นอย่างเงียบงัน สตีฟไม่ได้มีพรสวรรค์ในการล่วงรู้อนาคตหรือมองเห็นความเป็นไปได้ แต่น้อยครั้งเหลือเกินที่มันจะผิดพลาด

สตีฟขอเพียงอย่างน้อยความโชคร้ายนี้จะเกิดกับตัวเขา ไม่ใช่พวกเด็ก ๆ




แผนซาวน่าดำเนินไปอย่างราบรื่น หากไม่นับห้องซาวน่าที่พังยับเยินกับแผลไฟไหม้บนแขนซ้ายและฝ่ามือของเขา

ฮาร์โกรฟถูกบังคับให้หลับลึกไปแล้ว เอลหน้าเผือดสี ล้มลงนั่งบนพื้นกระเบื้อง แม็กซ์คลานเข้ามาข้างเขา ร้องเรียกเสียงเบา บิลลี่ ขณะที่เจ้าของนามนอนหมดสติโดยที่ศีรษะหนุนบนตักสตีฟ

มือทั้งสองของสตีฟประทับข้างขมับเฟย์คิมหันต์ รู้สึกมึนงงเหมือนมีน้ำวนอยู่ในภายในกาย เขาหวาดกลัวเกินกว่าจะขยับหนี เกรงว่าตนจะยอมแพ้ให้กับความเหนื่อยล้า เกรงว่าหากปล่อยมือ สิ่งที่อยู่ในร่างฮาร์โกรฟจะกลับมาอีก

ยามปกติ ฮาร์โกรฟทั้งทารุณราวพายุและเปี่ยมด้วยโทสะของดวงตะวัน แต่ยามที่เขาถูกครอบงำโดยมายเฟลย์เยอร์นั้นต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง

สตีฟไม่เคยหวาดกลัวความมืด เขากำเนิดจากความมืด แต่สิ่งนี้ต่างออกไป มันบิดเบี้ยว กำเนิดจากลำแสงเลื่อมพรายและเงาดำเยี่ยงหมึก มันผิดธรรมชาติ

“เขาจะตื่นในไม่ช้า” เอลกระซิบ “เราต้องทำอะไรบางอย่าง”

ทอมมี่กับแครอลที่ทรุดตัวนั่งไม่ไกลต่างเบิกตากว้าง เมื่อครู่พวกเขาคือตัวล่อบิลลี่ ฮาร์โกรฟ เข้ามาติดกับ นอกจากที่แฟรี่ใต้อาณัติควรจะดึงดูดความสนใจได้มากกว่าแล้ว มันยังเป็นความรับผิดชอบหนึ่งของพวกเขา ทั้งสองไม่เข้าใจว่าเอลคืออะไร รวมถึงภยันตรายที่แทรกแซงมาจากโลกกลับหัว ทว่าไม่ตั้งคำถามเมื่อสตีฟบอกปัด จนกระทั่งตอนนี้

ทำอะไร” เงาทมิฬย้อมน้ำเสียงราวพิษร้าย ทอมมี่มองพวกเขาทีละคนจนหยุดที่สตีฟ “เขาเป็นกษัตริย์ของเรา

“เราจะไม่แย่งชิงเขาไปจากพวกนายหรอก” สตีฟพูด ไม่ใส่ใจความรู้สึกชาวาบที่เกิดขึ้นจากประโยคนั้น เขาสบตาเอลก่อนเลี่ยงไปหาแม็กซ์ “ครอบครัวของเธอ ให้พวกเขาช่วยได้ไหม”

“นีลจะฆ่าเขาทันทีที่รู้เรื่องนี้” เสียงของเด็กหญิงสั่นพร่า น้ำตาของเธอเจือแสงอาทิตย์

เอลจ้องเขาไม่ละสายตา สตีฟรู้ว่าเธอกำลังคิดอะไร “ไม่

“มันคือหนทางเดียว” ดวงตาของเอลอาบแสงสีโลหะ “ฉันดึงมันออกมาได้ก็ต่อเมื่อเขาสงบนิ่งภายใต้การควบคุมอันสมบูรณ์”

“วิล บายเออร์ ไม่ได้สงบเสงี่ยมเลยตอนเธอดึงมันออกมา”

“วิลต่างจากเขา ต่างจากเฟย์ทั่วไป” น้ำเสียงของเอลหนักแน่น สตีฟรู้ในทันทีว่าเขาไม่อาจเปลี่ยนใจเธอได้ เขาจึงเปลี่ยนกลอุบาย ใช้การต่อรอง

“เธอไม่จำเป็นต้องทำทั้งสองอย่าง” สตีฟขยับปลายนิ้วที่ยามนี้แดงก่ำและแทบไร้ความรู้สึก เพื่อควบคุมฮาร์โกรฟเขาต้องจำยอมถูกแผดเผา “ฉันจะทำมันเอง ส่วนเธอแค่ดึงสิ่งนี้ออกมา”

เขาเคยเผชิญโทสะอันเลวร้ายของฤดูร้อนมาแล้ว จะเป็นอะไรไปหากต้องเหยียบย่างบนธารลาวากลางพายุร้อนเร่าอีกสักหน

เอลนิ่งคิด สตีฟอยากเอื้อมมือไปยีผมของเธอ กล่าวหยอกล้อ ยังต้องคิดอะไรอีก เธอล่วงรู้ทุกอย่างที่ฉันรู้สึก ทว่าเขารอทั้งรอยยิ้มบาง เอลอาจใช้เวลาทำความเข้าใจสิ่งต่าง ๆ มากกว่า แต่เธอจะเข้าใจในท้ายที่สุด

เด็กหญิงพยักหน้าช้า ๆ เธอลุกขึ้นยืน เหลียวไปทางทอมมี่กับแครอล “ช่วยเขา”

เธอไม่ใช้พลังจิตตามที่ตกลงกัน สตีฟคลายไหล่ลง รอทอมมี่เข้ามาช่วยพยุงร่างฮาร์โกรฟไปที่พาหนะ โดยมีเฟย์สาวทั้งสามเดินตาม พวกเขาใช้มนตร์พรางตา ไม่สนใจว่าอาจกระทำไปขณะที่มนุษย์กำลังจ้องมองเสียด้วยซ้ำ

“นายยังไม่บอกว่าจะทำอะไรกับเขาและจะพาเขาไปที่ไหน” ทอมมี่มองอย่างระแวงเมื่อขึ้นมาบนรถแล้ว สตีฟมองเฟย์มืดผ่านกระจกมองหลังโดยมีฮาร์โกรฟนอนพิงข้างตัว มือร้อนไหม้ แต่ไม่กล้าละสัมผัสจากร่างเฟย์ฤดูร้อน

เอลนั่งเงียบ ไม่ยอมอยู่ห่างกายเขา แม็กซ์ที่ไม่พูดจามาสักพักก็เหลียวมองจากที่นั่งด้านหน้าข้างแครอลอย่างรอคอยคำตอบ

“ไปร้านโครว์เนส” สตีฟพูด ประโยคแสนสั้นนี้สูบกลืนพลังไปมากกว่าที่คาดไว้

ทอมมี่จ้องตาค้าง ความเข้าใจฉายวาบในดวงตาราวกับดาวตก


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น