วันพุธที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2565

[MCU] Mischief Managed (Loki/Mobius)


Mischief Managed

MCU, Loki (TV)

— Loki / Mobius —

Warning : N/A

Summary : ‘ก้าวเล็ก ๆ ของการเปลี่ยนแปลงเริ่มต้นจากการยอมรับตนเอง’ คือประโยคแรกในบทนำของคู่มือโลกิฉบับใหม่ที่โมเบียสไม่ได้เป็นผู้เขียน

Note : Spoiler Alert for season 1, Alternate Universe - Canon Divergence






“เจ้าจะกลับไปอย่างนั้นสิ” โลกิกล่าว ก่อนเสริมสำทับพร้อมรอยยิ้มและนัยน์ตาพราวราวกับนึกว่าคำพูดยากเกินเข้าใจ “กลับไปหาครอบครัวของเจ้า”

หากกิริยาท่าทางนี้สำแดงต่อผู้อื่น พวกเขาคงคิดว่าโลกิกำลังทำสิ่งที่สร้างชื่อให้เขา เล่ห์กล มายา ปราศจากความจริงใจหรือจริงจัง เขาเลียนล้อ เสนอความนัยที่อาจไม่มีอยู่เพียงเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจ หรือหากมี มันก็คือมีดที่เสียบลึกตรงไขสันหลังเสียแล้ว 

แต่โมเบียสรู้จักโลกิ เขาศึกษาทุกเส้นชีวิตของเทพเจ้าตนนี้ในทุกสาขาเวลา หากมีสาขาเฉพาะทางนามโลกิ เขาก็คงเป็นผู้เชี่ยวชาญอันดับหนึ่งของทีวีเอไปแล้ว ไม่ว่าในจักรวาลใด หรือในเน็กซัสไหน โมเบียสรู้ว่าต้องวางเท้าลงตำแหน่งใด ใยที่ขึงรอบตัวจึงจะสะเทือนไปถึงเส้นสายความคิดอันส่งผลให้โลกิกระทำตามจุดประสงค์ที่กำหนดไว้

ฉะนั้นประโยคที่ขยายความตามมา มิใช่เพื่อเย้าแหย่ความอดทน แม้มันจะได้ผลก็ตาม — แต่เพื่อกลบบังการเสียจังหวะก่อนหน้า

เจ้าจะกลับไปอย่างนั้นสิ 

คำบอกเล่าว่าล่วงรู้เช่นผู้เหนือกว่า หรืออาจจะเป็นคำถาม แต่ไม่ใช่ทั้งสองอย่าง

“ไม่ล่ะ” 

โมเบียสย่อตัวลงเก็บข้าวของที่กระจัดกระจาย ท่ามกลางมิติพิศวงที่พังพินาศจากพลังพิเศษของบรรดาโลกิ อดีตเจ้าหน้าที่ทีวีเอผู้ซึ่งกลายเป็นคนตกงานมาหมาด ๆ กลับพบว่าตนไม่มีสิ่งของส่วนตัวเป็นชิ้นเป็นอันเลย 

“ไม่หรือ” โลกิกะพริบตา รอยยิ้มสอพลอยังประดับริมฝีปาก

“ไม่” โมเบียสย้ำ ก่อนรู้สึกว่าทั้งหมดนี้ช่างไร้สาระเสียจริง “นั่นไม่ใช่ที่ของฉันอีกแล้ว”

“คิดว่าเจ้าอยากกลับไปมีชีวิตแบบเดิม” โดยไม่ต้องมอง โมเบียสรู้ว่ารอยยิ้มแสนกลคลายลงแล้ว “ทำเรื่องที่อยากทำจริง ๆ ออกนอกระบบระเบียบสักหน่อย ทำทุกอย่างโดยไม่ต้องคำนึงถึงห้วงเวลาหนึ่งเดียวอันศักดิ์สิทธิ์”

“อือฮึ”

“หรือเล่นเจ็ตสกี”

“ฉันต้องลองเล่นสักครั้งแน่” โมเบียสหยิบปากกากับแจ็กเก็ตใส่ลังกระดาษ และยกมันพร้อมกับเหยียดตัวขึ้น อาการเมื่อยขบไต่ลามช่วงเอว เขาเริ่มคิดถึงอดีตที่เปี่ยมด้วยพลังกับความเยาว์วัย

“เจ้ากลับไปทำสิ่งที่เคยชอบ แต่ไม่กลับไปหาครอบครัวอย่างนั้นหรือ”

โมเบียสเหลียวมองใบหน้าที่เต็มไปด้วยความงุนงง โลกิคงไม่รู้ตัวว่าเวลานี้เขาทำหน้าเหมือนแมวยักษ์ที่ฉงนสงสัย แทบเห็นหางยกค้างรอคำตอบเสียด้วยซ้ำ แต่แน่นอน เรื่องนี้คือความลับที่โมเบียสจะไม่เปิดเผยต่อใครเป็นอันขาด

ชายสูงวัยถอนหายใจ ก่อนเดินไปยังโต๊ะเก้าอี้ที่รอดจากความโกลาหล “ที่นั่นมีตัวฉันอีกคนอยู่แล้ว”

“แต่เจ้าไม่อยากพบพวกเขาหรือ” โลกิยังตามวอแว ถึงกับนั่งลงด้วยกันและจดจ่อรอคอยคำอธิบาย

เขาอยากรู้ขนาดนั้นเชียว โมเบียสยิ้มขบขัน “อยากสิ”

“แล้วทำไม…”

“เพราะฉันไม่รู้สึกเหมือนเดิมอีกแล้ว” โมเบียสพูด “ความทรงจำนั้นห่างไกลและเลือนรางมาก กระทั่งความรู้สึกก็เจือจาง นายเองก็คงเข้าใจ เวลาเป็นสิ่งที่ทั้งเมตตาและโหดร้าย มันเยียวยาและลบเลือน ความทรงจำที่กลับมาจึงเหมือนกับการมองเรื่องราวของคนอื่น ฉันเปลี่ยนไป และมันคงไม่ยุติธรรมหากกลับไปเพียงเพื่อเขย่าตะกอนที่นอนก้นมานานหลายปีแล้ว”

โลกิเงียบไป มองนิ่งหรี่ตา

ทว่าในดวงตาสีฟ้ากลับวาววามอย่างลิงโลด “ถ้าอย่างนั้น เจ้าจะเอายังไงต่อ” โลกิพลิกลิ้น เอ่ยเสียงนุ่มละมุน “หลังจากเล่นเจ็ตสกีแล้ว”

สายตาของโลกิเหมือนแมวที่เห็นโอกาสตะครุบเหยื่ออย่างไรอย่างนั้น

“อันที่จริง ฉันต้องหางานทำก่อน”

“สนใจงานไหนเป็นพิเศษล่ะ”

“ไหน ๆ ก็มีประสบการณ์ทำงานด้านวิเคราะห์” โมเบียสครุ่นคิด “อาจจะตำรวจละมั้ง ไม่ก็หาทางติดต่อกับอเวนเจอร์รุ่นใหม่”

โลกินิ่วหน้าค้าน “ยังละทิ้งความหมกมุ่นไม่ได้สินะ รักระบบระเบียบไปถึงไหน”

“ความวุ่นวายคือสิ่งที่เลี่ยงตลอดไปไม่ได้ก็จริง แต่ต้องมีใครสักคนคอยตบเข้าที่ไม่ให้เตลิดไปไกล”

“แต่ใครคนนั้นไม่จำเป็นต้องเป็นเจ้านี่”

“นั่นสินะ” โมเบียสยิ้มรับ

ความเงียบตกลงมา รอยยิ้มของโลกิดูฝืนธรรมชาติทีละนิดราวกับความเย็นจับค้างบนใบหน้า

สิ่งที่มองไม่เห็นจับไม่ได้ภายในซากอาคารขยายใหญ่ขึ้น โมเบียสจะไม่ยอมเป็นฝ่ายเอ่ยก่อน เขาจะไม่เดินตามเกมของเทพเจ้า หากโลกิต้องการอะไร เขาต้องรู้จักยอมรับและพูดออกมาเสียบ้าง

แต่ถ้าสุดท้ายแล้วโลกิไม่พูดออกมา โมเบียสก็ตกลงปลงใจว่าจะยินยอมรับ 

แม้การปล่อยมืออาจไม่ต่างจากการปล่อยโอกาสนับร้อยพันที่ปรารถนา ทว่าตรงหน้าเขานี้อย่างไรก็ขึ้นชื่อว่าเทพผู้เล่นเล่ห์เยี่ยงใบมีด เขาเกรงกลัวความเจ็บปวดไม่ต่างจากใครอื่น เรียกตัวว่าเชี่ยวชาญคู่มือปกโลกิ แต่หากทุกสิ่งง่ายดายเพียงอ่านจากทุกแขนงเวลาที่แยกออก เหตุใดเน็กซัสจึงกำเนิดขึ้นอย่างไร้จุดยุติ

พวกเขามองตากันไปมา จนกระทั่งโลกิเบือนหนี หน้ายับยู่คล้ายกลืนยาขม “โมเบียส”

“โลกิ”

“มาแข่งกัน”

“แข่งหรือ”

“แข่งว่าเจ้าจะคุมความประพฤติของข้าได้หรือไม่”

โมเบียสเหม่อไปครู่หนึ่ง “ทำไมฉันจะต้องควบคุมความประพฤติของนายด้วย”

โลกิยักไหล่ “ใครจะรู้ ข้าอาจหาทางครองโลกอีกครั้งก็ได้”

ฟังแล้วได้แต่กลอกตา “ไม่จำเป็นเลยถ้าฉันร่วมมือกับอเวนเจอร์”

“แต่ไม่ง่ายกว่าหรือหากเจ้าคอยเฝ้าจับตาดูอย่างใกล้ชิด เจ้าจะได้ป้องกันเหตุร้ายอย่างทันท่วงที”

“ฟังดูประหลาดมากเลยนะที่ผู้หวังจะครองโลกยื่นแขนมาให้ใส่กุญแจมือด้วยตนเอง”

“จะปฏิเสธอย่างไรได้ ข้าไม่เคยถอยหนีจากเรื่องท้าทาย เจ้าน่าจะรู้อยู่แล้ว”

“และฉันก็เคยบอกว่านายไม่จำเป็นต้องพิสูจน์อะไรทั้งนั้น นายเป็นได้ทุกอย่างที่อยากจะเป็น”

“งั้นเป็นอะไรดีนะ เด็กขี้แย เพื่อนชั่ว ๆ ไอ้ตอแหล หรือยอดวายร้าย”

โมเบียสยักไหล่ “ถ้าฉันปฏิเสธล่ะ”

โลกินิ่งคิด น้อยครั้งที่จะเห็นใบหน้านั้นปราศจากรอยร่องอารมณ์ ดูเยือกเย็นขึ้นอย่างผิดหูผิดตา หรือกล่าวให้ตรงกว่าคือภายใต้กลุ่มผมสีราตรี เทพแห่งคำลวงกำลังคิดคำนวณ

“ข้าก็จะตามตอแยจนกว่าจะได้ผู้ชนะ”

โมเบียสหลุดหัวเราะ คำตอบนี้เกือบจะผิดคาด เขาส่ายหน้า “แค่ต้องการเอาชนะนั้นไม่พอ”

“แล้วอะไรล่ะที่พอ”

“อาจจะเป็นการลองหยุดคิดสักนิดว่าตัวนายต้องการผลลัพธ์แบบใดกันแน่” โมเบียสไม่ถนัดเรื่องแบบนี้ เขาไม่ได้เอื้อมมือไปแบ่งปันสิ่งใดให้โลกิเพราะมันคงดูแปร่งตา พวกเขาไม่เคยสัมผัสกันด้วยวิธีอื่นใดนอกจากสายตาและคำพูด

โลกิเอ่ยหลังจากเงียบไปอึดใจ “เจ้าอยากให้ข้าพูดออกมาจริง ๆ”

“ฉันไม่กล้าหวังมากขนาดนั้น” โมเบียสพูด “แต่คงเป็นก้าวแรกที่ดีถ้านายยอมรับได้ว่าทำไมนายถึงไม่ยอมพูดสิ่งที่ต้องการออกมา”

เป็นอีกครั้งที่โลกิแสดงท่าทางคล้ายถูกจับกรอกยาขม “เพราะเมื่อพูดออกมา มันก็จะเป็นเรื่องจริง”

โมเบียสพยักหน้า “แล้ว?”

“มันจะยิ่งรู้สึกเจ็บหากเกิดความผิดพลาด”

และการมองสีหน้าของโลกิยามนี้ก็เจ็บปวดเกินไป ยามที่อีกฝ่ายปอกลอกหน้ากากของตนออกจนเหลือเพียงความประหม่าและกริ่งเกรงต่อผลลัพธ์อันเกินควบคุม แต่โมเบียสเลือกที่จะประคองดวงตาคู่นั้นไว้แล้วจดจำมันอย่างละเมียดละไม

“นายจะไปด้วยกันก็ได้” โมเบียสเอ่ยในที่สุด “แต่ต้องช่วยออกค่าที่พักด้วยล่ะ”

ภาพลวงย้อนกลับมาคลี่คลุมเหมือนม่านปิดการแสดง ทั้งที่การแสดงทั้งหมดเป็นของจริง ตอนนี้โลกิแสยะยิ้ม “อยู่กับข้าไม่มีความจำเป็นต้องจ่ายอะไร”

“โลกิ” โมเบียสกล่าวเสียงหน่าย “เราจะใช้ชีวิตแบบปกติ ซึ่งนั่นหมายความว่าต้องไม่มีเวทมนตร์มาเกี่ยวข้อง”

โลกิเลิกคิ้ว

“ก็ได้ ใช้เวทมนตร์ให้น้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ นั่นรวมถึงการออกค่ากินอยู่เองด้วย”

“การซื้อขายแลกเปลี่ยนด้วยโลหะกลม ๆ กับแผ่นกระดาษนั้นก็แค่ภาพลวงตา” เทพแห่งการลวงตาโบกมือไปรอบ ๆ สำนักงานร้าง

“งั้นนายก็รู้อยู่แล้วสิว่าระบบจะมีประสิทธิภาพได้ก็ต่อเมื่อมันตั้งอยู่บนสิ่งสมมติที่คนทั่วไปเห็นตรงกัน” โมเบียสหัวเราะ ทุกอย่างฟังดูคล้ายมุกตลกร้ายไปเสียหมด

โลกิฉีกยิ้ม ตัวนั่งพิงขอบโต๊ะ แขนกอดแนบอก แต่อิริยาบทผ่อนคลาย

โมเบียสลุกขึ้น บอกลาสถานที่ทำงานเก่าด้วยสายตา รู้สึกใจหาย แต่ไม่เสียดายกับผลลงท้ายนี้

เมื่อเหลียวกลับมา กล่องลังของเขาก็ไปอยู่ในวงแขนของโลกิเสียแล้ว เทพเจ้านอร์สเชิดหน้าขึ้น “ไปกัน” แล้วเดินนำเหมือนอยากออกจากที่นี่เต็มแก่ โมเบียสกลอกตาก่อนรีบก้าวตามไปติด ๆ


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น