วันพุธที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2565

[MHA] Above the city skyline (Dabi/Hawks)


Above the city skyline

Boku no Hero Academia

— Dabi / Hawks —

Warning : Alcohol

Summary : ดาบิเจอเขาครั้งแรกในงานเทศกาลดนตรี

Note : Alternate Universe - No Hero, Inspired by Far East Movement, Ryan Tedder - Rocketeer ft. Ryan Tedder






ดาบิเจอเขาครั้งแรกในงานเทศกาลดนตรี 

ท่ามกลางฝูงชนหนาแน่นเสียจนโอกาสที่จะพบพานใครสักคนแทบเป็นศูนย์ ไม่ต้องเอ่ยถึงใครสักคนที่จะกลายมาเป็นส่วนสำคัญของชีวิตอันแหว่งวิ่นไม่สมประกอบนี้เลย เสียงอึกทึกกึกก้องสองหู ย้ำลงถึงหัวใจ ยากที่จะได้ยินเสียงร้องเรียกไม่ว่าใกล้ชิดเพียงใด มีเพียงคำตะโกนตามเนื้อเพลงและเสียงร้องแรกอย่างคึกคะนองของพวกขี้เมา สปอตไลท์สาดสีสันฝ่าความมืดยามราตรี แต่ไม่เพียงพอให้เห็นใบหน้าอย่างชัดเจน ทุกอย่างพร่าเลือน ฉาบฉวย และวุ่นวาย เป็นโลกแห่งความโกลาหลที่ผู้คนยินดีปลดปล่อยตัวเองให้ไหลตามกระแสดนตรี

ดาบิหลงกับพวกชิการาคิมาสักพักใหญ่แล้ว เขาไม่สนใจที่จะร้องเต้นหรือเบียดเสียดในพื้นที่ที่เต็มไปด้วยพวกไร้สติ แม้ยืนห่างออกมาอยู่รอบนอก แต่ใช่ว่าจะไม่รู้สึกสนุกกับบรรยากาศ ดาบิยืนพิงราวกั้น มือข้างหนึ่งถือแก้วพลาสติกที่เบียร์แทบพร่องหมด มืออีกข้างถือบุหรี่ที่ใกล้มอดดับ เขาคิดว่าเห็นโทงะชูแขนเต้นกับเด็กสาวแปลกหน้าอีกคนหนึ่ง ทไวซ์หาเพื่อนเต้นได้กลุ่มใหญ่และทุกคนต่างถือขวดเหล้าหรืออย่างน้อยก็กระป๋องเบียร์ชูไปมา ชิการาคิคงถูกสามคนที่เหลือในกลุ่มลากไปอยู่ชิดเวที กอดคอร้องเพลงตามวงโปรด

มองวงที่กำลังแสดงสดบนเวทีแล้ว ดาบิยิ้มมุมปาก ทั้งนักร้องนำหญิงและนักดนตรี ดูอย่างไรก็ไม่พ้นวัยมัธยม ทว่ากลับไม่ใช่เรื่องที่เกินความคาดหมาย งานนี้เป็นงานกึ่งใต้ดิน จัดในโซนโกดังเก่าที่อยู่ห่างจากตัวเมือง หากจะมีใครสักคนที่อายุต่ำกว่าเกณฑ์หลุดเข้ามาหรือมีการลักลอบขายสินค้าเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็ยากที่จะจับมือใครดม

ทุกคนต่างสนใจเสียงเพลง สนใจเสียงดนตรีที่กระแทกกระทั้นเข้ามาจากทุกทิศ เพราะมันรู้สึกดีกว่าการถูกบดขยี้โดยความคาดหวังของสังคม เป็นสิ่งที่เลือกเองไม่ใช่สิ่งที่คนอื่นหยิบยื่นให้รับ ดาบิไม่ได้ขยับมากไปกว่าการโคลงศีรษะรับจังหวะ ลมหนาวทิ้งท้ายฤดูทำให้รสเบียร์ยิ่งละมุนลิ้น และเมื่อดนตรีเร่งเร้าถึงจุดไคลแมกซ์ ริบบิ้นกับควันสีก็จุดระเบิดขึ้นบนเวทีพร้อมกับพลุที่ยิงขึ้นฟ้า

ระหว่างเสียงโห่ร้องกับแสงวาบบนท้องฟ้า ใครคนหนึ่งโดดเด่นขึ้นมาเหมือนพระจันทร์ท่ามกลางหมู่ดาว ดาบิเห็นเส้นผมสีทองก่อนอะไรอื่น ถัดมาคือวงโลหะวาววามตามใบหู เสื้อยืดสีขาวธรรมดากับกางเกงวอร์มที่ขับความไม่ธรรมดาบางอย่างออกมา ชายหนุ่มคนนั้นสวมหน้ากากสีขาวบังครึ่งหน้าล่าง หน้ากากควรจะปิดบังแต่มันกลับเน้นรอยวาดกับอายไลเนอร์สีดำรอบดวงตาให้คมขึ้น และสะกดลมหายใจ

ดนตรีทอนจังหวะลง เปลี่ยนเป็นบทเพลงที่ไม่รุนแรงเท่าเดิม ไม่ฮึกเหิมเท่าเดิม เพิ่มความอ่อนหวานขึ้นอีกนิด แต่งแต้มความหวังมากอีกหน่อย โน้มน้าวให้คนแปลกหน้าสองคนประสานสายตาอย่างไม่ตั้งใจ เป็นสัมผัสเบา ๆ บนแผ่นหลังที่ผลักให้ขยับเข้าหากัน เป็นแรงโน้มถ่วงระหว่างมือสองคู่กับสองริมฝีปาก

ดาบิยังยืนอยู่ที่เดิม ทว่าคนมากมายกลับหายไป เป็นแค่เงาดำโยกไหวไร้ใบหน้า มองแต่ใครคนนั้นที่เพลิดเพลินกับดนตรี ช่วงกรามขยับคล้ายกำลังร้องตามบทเพลง ดวงตาปิดสลับเปิดอย่างเชื่องช้า แล้วทันใดนั้น เขาก็เหลียวมาทางที่ดาบิยืนอยู่

เขายังคงเต้นอยู่จุดเดิม คิ้วเลิกขึ้นเหมือนสงสัย แต่เมื่อความเงียบของการเปลี่ยนผ่านเพลงตกลงมา ก่อนที่เสียงแว่วหวานของบทเพลงใหม่เริ่มต้นขึ้น เขายื่นมือมาทางดาบิ ดวงตาพราว มีรอยยิ้มอยู่ใต้หน้ากาก ริมฝีปากขยับตามคำร้อง จับมือฉัน หลับตาลง แค่มีคุณอยู่ตรงนี้ฉันก็เหมือนกำลังโบยบิน

มาโบยบินไปด้วยกันสิ

ดาบิทิ้งบุหรี่ลงพื้นและเหยียบ กระดกเบียร์จนหมดแล้วโยน สองเท้าก้าวเข้าไปหาพระจันทร์ หัวโล่งว่างเหมือนพื้นที่ไร้แสงในจักรวาล และเมื่อเข้าใกล้จนสัมผัสถึงไออุ่นของร่างกาย เมื่อกลิ่นน้ำหอมบางเบารุกล้ำเข้ามาในโพรงปอด ดาบิสูดหายใจโดยไม่ให้อีกฝ่ายรู้ แสยะยิ้มที่ไม่คล้ายมิตรไม่คล้ายศัตรู ดวงตาสีอำพันคู่นี้มอบความรู้สึกเก่าเก็บที่ไม่นึกว่าจะได้พบอีก ดวงหน้าที่เปิดเผยเพียงครึ่งเดียวแสดงรอยยิ้มตอบ แต่ต่างจากยามที่เขาขยับร่างอยู่เพียงผู้เดียวกลางคนแปลกหน้า ความสุขสงบกลายเป็นความสนุกสนาน เชื้อเชิญให้ร่วมร้องรำด้วยกัน

เสียงกระหน่ำดังทุบลงบนอก แต่มันยังเบากว่าสิ่งที่อยู่ตรงหน้า ดาบิคล้องแขนรอบเอวแล้วดึงอีกฝ่ายเข้าหา ปล่อยให้ฝ่ามืออุ่นแนบข้างใบหน้า ไล่ปลายนิ้วบนรอยสักใต้โหนกแก้ม ดวงตาสีอำพันทอแววใคร่รู้ และดาบิก็ปล่อยให้เขาได้ทำตามใจ

พวกเขาเหมือนโขดหินแน่นิ่งกลางกระแสน้ำเชี่ยว อะไรก็ไม่สำคัญเท่าการทำความรู้จักท่ามกลางเสียงสนั่นลั่นของดนตรี ไม่ได้พูดคุย แต่ใช้ความรู้สึก มันเป็นธรรมชาติจนน่าหวาดหวั่น ดึงดูดจนสมควรก่อความกังวล แต่ในเวลาเดียวกันกลับนึกชอบเสียจนไม่อาจต้านทาน อะไรก็ตามที่อาจนำไปสู่ความระทมใจ ความเครียดและสถานการณ์ที่กดดัน หนทางที่ต้องเลือกระหว่างสองสิ่งที่ไม่อยากเลือก

คนแปลกหน้าที่เหมือนยากระตุ้นฝันหวาน เหมือนประตูหนีไฟที่นำไปติดกับดักบนดาดฟ้า เหมือนเพลงโปรดในวัยเยาว์ที่ทำหล่นหายแต่แล้วกลับได้คืนมาโดยไม่คาดคิด

“ชื่ออะไร” ดาบิกระซิบข้างหูของเขา ริมฝีปากแนบต่างหูโลหะเย็นเยียบ เสียงหัวเราะเกือบลอดลำคอเมื่อฝ่ามือที่แนบช่วงสันหลังรู้สึกถึงอาการสั่นของอีกฝ่าย “หนาวเหรอ”

“คงงั้น” เสียงของเขาแหบทุ้มเหมือนเสียงเบส ดาบิคิดว่าควรแสดงความเป็นสุภาพบุรุษโดยการเสนอโค้ทของตัวเองให้ ก่อนจะนึกได้ว่าตนไม่ใช่สุภาพบุรุษ หากเขาอยากคลายหนาว ก็คงต้องเบียดร่างเข้ามาควานหาเอาเอง

ดาบิจับมือข้างหนึ่งของเขา เลื่อนมาแนบปาก กดจูบข้างข้อมือ ดวงตาคมเหมือนเหยี่ยวพลันเบิกกว้าง กระตุกใจดาบิให้ถลำลึก “ชื่อล่ะ” เขาย้ำ เพราะมันคือความจำเป็น ไม่ใช่แค่ความสนใจอีกแล้ว

“ฮอว์ค”

“ฮอว์ค?” บังเอิญจนน่าหัวเราะ “นามแฝงเหรอ”

อีกฝ่ายยักไหล่ “รู้ชื่อนี้ไปก่อนดีกว่า”

“ดาบิ” เขาก้มหน้าลงอีกครั้ง ปลายจมูกเกือบจะสัมผัสกัน แต่ดาบิผินออก ลากผ่านโหนกแก้มที่โผล่พ้นหน้ากากแทน

“นามแฝงเหมือนกันงั้นสิ”

“ก็เหมือนกับนาย รู้จักกันอย่างเป็นทางการก่อนดีกว่า”

“แล้วถ้าจะนอนด้วย ต้องผ่านการเดทก่อนเหมือนกันหรือเปล่า”

ฮอว์คถามเสียงใส เหมือนล้อเล่นมากกว่าหยั่งเชิง แต่ที่เหมือนกว่าอะไรอื่นคือความตั้งใจ

ดาบิหัวเราะเบา ๆ กล่าวเสียงเนือย “เรื่องนั้นฉันไม่ถือ”

ฮอว์คเอียงคอ หางตายับลงแทนรอยยิ้ม มือเอื้อมดึงหน้ากากลง เผยจมูกโด่งและริมฝีปากบาง จากนั้นจึงแนบจูบที่มุมปากของดาบิอย่างไม่ให้ตั้งตัว แค่ความนุ่มเบา เกือบจะอ่อนหวาน แต่ดาบิไม่เคยได้รับขนมหวานหรือความใส่ใจ และไม่เคยเป็นฝ่ายให้ใคร เขาจึงจับปลายคางของฮอว์ค ดึงมารับจูบที่ถูกต้อง

แทนที่จะประหม่าหรือตกใจ ฮอว์คกลับกอดรอบคอเขา ฝังจูบให้แน่นและส่งลิ้นมาเกี่ยวพัน หยอกเย้าเหมือนรู้อยู่ก่อนแล้ว หากดาบิกัด เขากัดตอบ หากดาบิพยายามรุกคืบ เขาก็ช่วงชิงเอาคืน รสขมฝาดของเบียร์ผสมกับรสหวานของผลไม้ เหมือนกำลังลิ้มรสอมยิ้มที่ทำให้เมามาย

เมื่อผละจากกัน พวกเขาหอบหายใจ ดาบิมองริมฝีปากแดงช้ำ นัยน์ตาขยายกว้าง แต่รอยยิ้มของฮอว์คกลับดูไม่คล้ายคนที่เพิ่งถูกฉวยจูบอย่างเอาแต่ใจและพรากลมหายใจทั้งหมดไปในคราวเดียว

รอยยิ้มนี้กลับทำให้ดาบิไม่รู้จะตอบโต้อย่างไร

“ที่ของฉันหรือที่ของนาย” ดาบิเอ่ยถาม เขาไม่อยากติดอยู่ในความสับสนนานเกินไป

“เอาที่ใกล้ที่สุดก็ได้ แต่ตรงไหนน่าจะเห็นพลุชัดที่สุดนะ” ฮอว์คทำท่าคิด ดวงตาระริกเหมือนเด็ก

แต่ดาบิกลับคิดว่ายังมีหน้ากากอีกชั้นที่ฮอว์คยังไม่ถอดออก

เขาคลี่ยิ้ม กลับมาเป็นตัวของตัวเองอีกครั้งเมื่อพบสิ่งที่อยากเผาทำลาย

“ระเบียงห้องของฉันก็แล้วกัน”


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น