วันอังคารที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2565

[DCU] Interview within Psych (Joker/Batman)


Interview within Psych

DCU (Comics) and Batman

— Joker / Batman —

Summary : สุภาพสตรีจากบัลติมอร์ขอเวลาพูดคุยสั้น ๆ กับนักโทษคนหนึ่งในอาร์คัม

Note : Inspired by Doctor Bedelia Du Maurier, a character from Hannibal. Because her voice and demeanor was peculiarly fascinating.




เสียงล้อรถบดถนนดังครืดคราดตั้งแต่เริ่มเคลื่อนออกจากตัวเมือง ไม่ใช่เพราะพื้นถนนเป็นลูกรังหรือมีหลุมบ่อ แต่เป็นเพราะเส้นทางสายนี้เปลี่ยวร้างคนสัญจรจนเศษหินและใบไม้สีแดงส้มนอนนิ่งบนพื้นคอนกรีตได้โดยไม่ถูกรบกวน สองข้างทางเหลือเพียงความรกร้าง ไม่เหลืออะไรดึงดูดให้ชมมอง 

ยิ่งใกล้จุดหมายปลายทางเท่าไร ใบหน้าของคนขับแท็กซี่ก็ยิ่งเผือดสีลงเท่านั้น แม้ฮีทเตอร์ทำงานต้านทานความเย็นเยือกภายนอกของฤดูใบไม้ร่วงได้เป็นปกติ ฉันกลับเห็นเหงื่อเม็ดเล็กผุดขึ้นที่ข้างขมับของเขาผ่านทางกระจกมองหลังได้อย่างชัดเจน

กระนั้นรถก็เคลื่อนต่อไปด้วยความกระสับกระส่ายดุจเดียวกับผู้ขับ เป็นเวลาสิบห้านาทีเต็มกว่าที่ฉันจะมองเห็นกำแพงยาวเหยียดแทบสุดสายตา ความสูงใหญ่และทะมึนมืดราวอสุรกายค้อมตัวก้มมอง ผิดกับรั้วโลหะสีเงินแวววาวที่พอเหลือช่องแบ่งให้เห็นทัศนียภาพภายใน ซึ่งก็เป็นตึกสูงสีเข้มดูมืดหม่นไม่ต่างกัน

เส้นโลหะดัดม้วนเป็นอักษรที่ส่วนบนสุดสะกดฉันไว้เนิ่นนานจนกระทั่งมันหลุดหายไปจากครรลองสายตาขณะที่รถขยับเข้าไป

ARKHAM ASYLUM

สถานที่อันเป็นศูนย์รวมของจิตบ้าคลั่งที่ชั่วชีวิตอาจไม่มีวันค้นพบทางออกจากวงกตแห่งใจไปตลอดกาล

บางทีการผ่านประตูเมื่อครู่ก็อาจไม่ต่างจากการเดินเข้าปากทางของขุมนรก

“ผมขอรอข้างนอก” คนขับแท็กซี่กล่าวเสียงหนักแน่น เขาหลีกเลี่ยงการสบตา “คุณจะใช้เวลานานหรือเปล่า”

“ฉันไม่แน่ใจนัก แต่รับรองว่าคุณจะไม่เสียเวลารอโดยเปล่าประโยชน์” ฉันบอกเสียงเนิบช้า จับจ้องความโล่งใจของเขาโดยไม่ให้ถูกจ้องตอบ ใครว่ากันว่าเงินตรามิอาจบันดาลได้ทุกสิ่ง อย่างน้อยที่สุดมันก็สามารถซื้อความกล้าหาญของเขาได้แล้วกัน

ฉันหมุนตัวเดินเข้าไปในส่วนของแผนกต้อนรับ สภาพห้องโถงเก่าคร่ำครึหากสะอาดสะอ้าน ผนังทุกด้านตลอดจนเครื่องตกแต่งล้วนระบายด้วยสีทึมทื่อ เว้นแต่ดอกทานตะวันสีเหลืองสดเพียงหนึ่งเดียวที่ประดับไว้ในแจกันตรงมุมห้อง เจ้าหน้าที่ที่ยืนหลังเคาน์เตอร์เป็นสุภาพสตรีร่างท้วมใบหน้าซึมเซา ฉันไม่อาจโทษความรู้สึกที่เก็บไว้ไม่มิดของเธอได้ ใครกันจะอยากฝืนยิ้มเบิกบานในสถานที่เช่นนี้

ฉันเอ่ยทักทายตามมารยาท แจ้งกิจธุระที่นัดไว้ กรอกเอกสารระหว่างที่เธอยกหูโทรศัพท์ขึ้นต่อสายหาใครบางคนที่น่าจะเป็นผู้นำทางของฉัน

การรอคอยในความเงียบงันไม่เคยทำให้ฉันอึดอัดใจ และดูท่าทางแล้วเจ้าหน้าที่หญิงคนนั้นก็ไม่รู้สึกว่ามันเป็นเรื่องกระอักกระอ่วน เธอนั่งลงและหยิบหนังสือที่มีแกนกระดาษทิชชูคั่นไว้มาเปิดอ่าน นั่นคงเป็นกิจกรรมที่เธอทำก่อนฉันจะมาถึง

ฉันประสานมือทั้งสองข้างอย่างติดนิสัย ก่อนเอ่ยถาม “ที่นี่ออกจะขาดความสดใสไปนิด เมื่อพิจารณาว่ามันเป็นสถานบำบัดจิต คุณว่าไหม”

เธอเงยหน้า กล่าวเสียงแห้งแล้ง “ให้มันเป็นอย่างนี้แหละถูกแล้ว คุณไม่รู้อะไร คนที่อาศัยอยู่ที่นี่กระเหี้ยนกระหือรือหาความสนุกได้ตลอด ออกจะดูมีความสุขเกินไปด้วยซ้ำ” ก่อนก้มลงมองหน้ากระดาษด้วยอิริยาบถอันไร้ซึ่งอารมณ์ “บางครั้งฉันก็สงสัยว่าถูกแล้วหรือที่เราจะปลุกให้พวกเขาตื่น”

ฉันไม่ได้รู้สึกอะไรเป็นพิเศษกับคำกล่าวของเธอ แต่เป็นทัศนคติที่ชัดเจนของเธอเองที่ทำให้ฉันประทับใจ

ก็อทแธมเป็นเมืองที่พิเศษ ไม่ว่าในแง่ดีหรือร้าย ฉะนั้นคนที่อาศัยอยู่ในเมืองแห่งนี้ได้ย่อมน่าสนใจไม่แพ้กัน

ฉันละสายตาจากเจ้าหน้าที่เมื่อได้ยินเสียงส้นสูงกระทบพื้นหินอ่อนเป็นจังหวะระรื่นหู ผู้มาใหม่เป็นหญิงสาวสวมเสื้อกาวน์ขาวบริสุทธิ์ สวมแว่นตา ผมสีบลอนด์เฉกเช่นเดียวกับฉันมัดเป็นมวยหลังศีรษะ สีหน้าตรงข้ามรอยหมองหม่นไปทุกกระเบียดนิ้วทำให้ฉันเลิกคิ้ว แพทย์หญิงคนนี้ยังเยาว์วัย แต่คนหนุ่มประเภทใดที่ยอมอยู่ในสถานที่ปิดตายโดยไม่กระหายหรือแสวงหาความก้าวหน้า

“คุณคือตัวแทนจากวารสารการแพทย์ในบัลติมอร์ใช่ไหมคะ” เธอยิ้มกว้าง พยายามแสดงความเป็นมิตรที่ไม่อาจเห็นชัดไปมากกว่านี้อีกแล้ว ฉันตอบรับอย่างไม่ยินดียินร้าย ทำให้รอยยิ้มหวานจืดเจื่อนลงไปนิดอย่างสมความตั้งใจ

“ดิฉันฮาร์ลีน ควินเซล จะเป็นคนนำคุณไปยังแผนกพิเศษของเรา เชิญทางนี้ค่ะ”

ฉันอ่านป้ายชื่อบนอกของควินเซลได้ทันก่อนที่เธอจะหมุนตัวเดิน รู้สึกได้ถึงสายตาของเจ้าหน้าที่หญิงร่างท้วมมองตามหลัง ฉันก้าวตามควินเซลด้วยจังหวะที่ไม่รีบร้อน โถงทางเดินยาวมีเพียงแสงไฟส่องสลัวพร้อมบรรยากาศไม่น่าไว้วางใจ อดคิดไม่ได้ว่าหากมีอะไรเกิดขึ้นคนขับแท็กซี่ผู้แสนจะจิตอ่อนของฉันสามารถมอบความช่วยเหลือได้มากน้อยแค่ไหน 

ฉันส่ายหน้าให้กับตัวเอง ทั้งปฏิเสธจินตนาการที่เริ่มเหนือสำนึกธรรมดานั้นออกจากหัวแล้วตั้งใจจดจำเส้นทางรวมถึงจดจ่อกับเสียงตึก ตึก ที่ดังก้องผนังแทน

ด้วยสมาธิที่จมจ่อมจนไม่อาจบอกได้ว่าเร็วหรือช้า ในที่สุดเราก็มาถึงหน้าห้องหมายเลข 0801

ต่างจากห้องอื่น ห้องนี้ตั้งอยู่ในชั้นใต้ดินที่ต้องผ่านประตูล็อกหนาหลายนิ้ว มีเจ้าหน้าที่เฝ้ากล้องเฉพาะถึงสามคน และที่หน้าห้องขังยังมีพัศดียืนคุมซ้ายขวา คนหนึ่งผิวขาว คนหนึ่งผิวดำ คนหนึ่งอ้วนฉุ คนหนึ่งผ่ายผอม แต่สิ่งที่มีไม่แตกต่างคือท่าทางเด็ดเดี่ยวที่มองไปไม่เห็นร่องรอยความสุขใจใด ๆ ในการทำหน้าที่เลยสักนิด

ควินเซลพยักหน้าให้กับพวกเขา เธอหยิบการ์ดที่สวมห้อยคอขึ้นในเวลาเดียวกับที่พัศดีผิวดำหยิบการ์ดจากในกระเป๋ากางเกง พวกเขาแตะการ์ดตรงเครื่องสแกนหน้าประตูพร้อมกัน แสงไฟสีแดงตรงจุดที่ควรเป็นกลอนเปลี่ยนเป็นแสงสีเขียวก่อนได้ยินเสียงตึงดังชัด

ประตูแง้มเปิดเชื่องช้า ควินเซลเหลียวหน้ามาส่งรอยยิ้มเป็นเชิงชวนแล้วเดินนำเข้าไป

“มิสเตอร์เจ มีคนมาเยี่ยมค่ะ”

เสียงหวานแปร่งหูจนรู้สึกสะดุด แต่ความข้องใจเลือนหายไปแทบจะทันทีเมื่อเห็นบุคคลที่ฉันต้องสัมภาษณ์ในครั้งนี้

ศีรษะที่ปกคลุมด้วยเส้นผมสีเขียวก้มระนาบไปกับโต๊ะ รูปร่างผอมสูงสวมชุดผู้ป่วย หรืออาจเรียกได้ว่าห่อหุ้มด้วยชุดผ้าสีขาวที่ชายแขนเสื้อทั้งสองข้างผูกติดกันเป็นปม แต่ยังเหลือช่องว่างให้สายโซ่โผล่พ้นออกมาและยึดไว้กับกึ่งกลางโต๊ะ ทั้งร่างนั่งนิ่งไม่ขยับเขยื้อน ฉันจึงเลื่อนสายตามองรอบห้องขนาดที่ออกจะโอ่โถงสำหรับผู้ป่วยเพียงหนึ่งคน เตียงมุมหนึ่ง มุมห้องน้ำ หมอนและตุ๊กตาตกกระจัดกระจาย ไร้โลหะ ไร้ของมีคม

ควินเซลดูไม่ใส่ใจกับท่าทีไร้การตอบสนองของเขา เธอหันมายิ้มให้ฉันอีกครั้ง แต่ครั้งนี้รอยยิ้มดูแข็งกระด้างและมึนตึงอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน “ฉันจะปล่อยพวกคุณไว้แล้วกัน ถ้ามีอะไรให้เรียกได้เลยนะคะ ฉันจะรออยู่ข้างนอก”

หญิงสาวจากไปพร้อมกับเสียงประตูปิด

ฉันยืนมองชายผู้เป็นทั้งนักโทษและผู้ป่วยครู่หนึ่ง ก่อนก้าวไปใกล้ ถอดเสื้อโค้ทออกพาดแขน ลูบเสื้อเนื้อเรียบสีแดงสดและกระโปรงดำ มือเลื่อนเก้าอี้ออก เสียงครูดพื้นดังสะท้อนผนัง ฉันนั่งลง ไขว้ขา เอนหลังพิงพนักและประสานฝ่ามือพร้อมทั้งเสื้อโค้ทบนตักตามความเคยชิน

ฉันเอ่ยเสียงไร้อารมณ์ “มิสเตอร์เจหรือ?”

ไม่มีคำเอ่ยตอบ ฉันจึงพูดต่อ ละเลียดถ้อยคำอย่างเชื่องช้านุ่มนวล

“คุณดูไม่เหมือนคนที่รับใครเข้ามาในโลกส่วนตัวได้ง่าย ๆ มิสควินเซลคงพิเศษน่าดู”

ใบหน้าขาวผิดเฉดที่ประดับประดาด้วยรอยแผลเป็นประหลาดเงยขึ้นอย่างช้า ๆ ดวงตาติดจะเหม่อลอย เกลือกกลิ้งในเบ้าอย่างไม่ยอมหาจุดวาง

“งั้นฉันดูเหมือนอะไร”

เสียงของเขาเบาและแหบทุ้ม อาจเพราะไม่ได้เปล่งเสียงนาน ฉันไม่ค่อยแน่ใจ บางทีอาจไม่ใช่เพราะไม่ได้พูด แต่เป็นเพราะเส้นเสียงถูกใช้งานหนักเกินก็ได้เช่นกัน

ฉันยังสังเกตได้ว่าเขาพยายามหลบเลี่ยงคำถามข้อหลัง

ฉันเผยอยิ้มจริงใจครั้งแรกนับแต่มาเยือนที่แห่งนี้

“คนที่ปล่อยให้ใครบางคนเข้ามามีอิทธิพลต่อจิตใจแล้วอย่างน้อยหนึ่งคน”

เขาหัวเราะในลำคอ เสียงแหลมเล็ก และครั้งนี้ฉันไม่สามารถบอกได้เลยว่าเขารู้สึกจริงดังพฤติกรรมที่แสดงออกหรือเปล่า

“บอกหน่อยสิ คุณผู้หญิง ว่าเมื่อใดที่เราจะรู้แน่ว่าใครบางคนมีอิทธิพลต่อใครอีกคน”

“นั่นขึ้นอยู่กับว่าเป็นอิทธิพลประเภทไหน”

โจ๊กเกอร์โคลงหัว ลำตัวยังแนบติดกับขอบโต๊ะ เขาผ่ายผอมจนหนังหุ้มกระดูก แต่โครงกระดูกของเขาดูหนา ดูคล้ายว่าจะหักกระดูกของคนอื่นได้เพียงแค่กำมือ

“อิทธิพลแบบไหน…” เขาเลียริมฝีปาก “...แบบที่ไม่ปฏิเสธทุกคำร้องขอ แม้จะเป็นเรื่องฝืนใจอย่างที่สุด”

ฉันพ่นลมหายใจ “คำตอบก็อยู่ในคำพูดของคุณอยู่แล้ว”

ฉับพลันนั้น เขาทำหน้าตกใจ ก่อนแหงนคอหัวเราะเสียงดัง “โอ้ ใช่จริงด้วย!”

ฉันปล่อยตัวตลกหัวเราะให้พอ ความรื่นเริงเกินปกติบีบให้ฉันปรารถนาจะแสดงความรู้สึกตรงข้ามกับเขา ฉันเก็บสีหน้า รู้สึกได้ถึงความผิดพลาด ประหนึ่งเพิ่งยื่นอาวุธให้จอมวายร้าย แต่ฉันรู้ดีว่าต่อให้ไม่พูดออกมา เขาก็ย่อมจะคิดได้เอง เผลอ ๆ อาจคิดมานานแล้วนับแต่ได้พบกับฮาร์ลีน ควินเซล

เขาเคยหนีออกไปได้ครั้งหนึ่งแล้ว และฉันเชื่อว่านั่นจะไม่ใช่ครั้งสุดท้าย

เป็นนาทีนี้เองที่ฉันพบว่าบนตักของเขาไม่ได้ว่างเปล่า

“นั่นคงเป็นตัวโปรด”

ตุ๊กตาหมีสีน้ำตาลส่งยิ้มที่ดูคล้ายจะเนือยหน่ายให้ฉัน สภาพช้ำมืออย่างไม่ต้องครุ่นคิดหาตัวการให้เสียเวลา ฉันอ่านตามรอยด้ายที่ปักเอียงกระเท่เร่บนเสื้อสีดำของมันอย่างนึกสงสัย

“บรูซคือใคร”

“บรูซ!” โจ๊กเกอร์ทวนเสียงสูง เขาก้มมองตุ๊กตาบนตักเหมือนกำลังพยายามนึกหาคำพูดที่เหมาะสม “คือตุ๊กตาตัวโปรดของฉัน”

ฉันแทบจะรู้สึกกระหยิ่มยิ้มย่องในใจ นั่นเป็นสัญญาณที่บ่งนัยถึงเรื่องส่วนตัวอันลึกซึ้งไม่ใช่หรือ ใครบ้างจะไม่สนใจเบื้องหลังของเจ้าชายแห่งอาชญากรรมผู้นี้

“คุณมีคนพิเศษอยู่จริง ๆ” และคนนั้นไม่ใช่ฮาร์ลีน ควินเซล ไม่รู้ว่าควรเสียใจหรือเบาใจแทนเธอดี

“แน่นอน” เขาร้องเสียงเบิกบาน ก่อนเปลี่ยนมาเป็นจังหวะเนิบช้าเหมือนต้องการเลียนวิธีพูดของฉัน “ตั้งแต่เกิดมา พวกเราต่างก็แสวงหาความสุขของตัวเองทั้งนั้น ผิดตรงไหนถ้าใครคนหนึ่งจะนึกฝันและกระสันอยาก...”

ฉันมองดูเขา ปล่อยให้ประโยคนั้นตกตะกอน เว้นจังหวะครู่หนึ่งแล้วจึงถาม “บอกชื่อได้ไหม”

ผิดคาด เขายักไหล่ “ไม่รู้เหมือนกัน”

ฉันเลิกคิ้ว สงสัยว่ากำลังถูกปั่นหัวอยู่หรือเปล่า ทำไมเขาถึงไม่แยแสสนใจ หรือนั่นจะเป็นแค่คำลวง เขาแค่ไม่รู้ หรือเขาไม่แน่ใจพอที่จะบอก ฉันขยับมือที่ประสานบนตัก สังเกตทุกอิริยาบถของเขาอย่างถี่ถ้วนอีกครั้ง

เนิ่นนาน ทว่าสิ่งที่ฉันพบกลับเป็นสีสันพร่างพรายที่หาความหมายใดไม่ได้เลย

หรือสีสันที่เห็นอาจเป็นความนึกคิดที่เบียดอัดจนล้นปรี่ ปั่นป่วน สับสน และระเบิดออกมาได้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด

“คุณ...” ฉันพูดในทันทีที่รู้สึกเหมือนจับต้องบางสิ่งได้ “เคยมองหา...บางสิ่งใช่ไหม”

ภวังค์เลื่อนลอยชะงักงัน ดวงตาสีเขียวตรึงประสานกับดวงตาของฉัน

“นี่คือตัวตนของคุณ” ฉันพูด “โหยหาสิ่งยึดเหนี่ยว ปรารถนาสิ่งที่อยู่นอกกรอบสำนึกถูกผิด รักความโกลาหล แต่ไร้เงาคนเติมเต็ม จนเมื่อได้ค้นพบ...ทุก ๆ วันกลับกลายเป็นยิ่งเจ็บปวดและหิวกระหายกว่าเดิม...ใช่ไหม”

เขาอ้าปาก คล้ายอยากจะเอ่ยคำ คล้ายอยากจะแสยะยิ้ม

ฉันยังคงกล่าวต่อไป “คุณเจ็บเพราะเขา คุณสุขเพราะเขา คุณค้นพบสิ่งที่สามารถปรนเปรอจิตใจจากตัวเขา แต่คุณกลับไม่อาจอยู่ร่วมกับเขา แต่ก็อยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีเขา”

ฉันเงยหน้ามองเงาดำมืดตามขอบผนังเพดาน นึกสงสัยว่าเมื่อไรกันที่เผลอใช้คำแทนคน ๆ นั้นว่า เขา เมื่อไหร่กันที่ตระหนักว่าสีสันมากมายในห้องนี้ล้วนถูกคนตรงหน้ามองข้ามทั้งหมด

เว้นเพียงสีเดียว

“จะทำยังไงต่อไปล่ะ มิสเตอร์เจ ฉันไม่คิดว่าความสัมพันธ์นี้จะไปได้ไกลนักหรอกนะ”

เขาโคลงหัวอีกครั้ง หัวเราะคิกคัก แสดงความสบายใจที่น่าขัดตาสำหรับคนที่เพิ่งถูกล้วงความใน “เธอก็จะมาเป็นจิตแพทย์ให้ฉันอีกคนเหรอ”

“คุณมีดอกเตอร์ควินเซลอยู่แล้ว อีกอย่างฉันคงไม่กล้าแย่งหน้าที่ที่สำคัญต่อเธอ” ฉันหลุบตา ปัดกระโปรง “และคุณเปลี่ยนเรื่องอีกแล้ว”

“จะสนุกอะไรหากต้องวางแผนไปหมดทุกย่างก้าวเล่า คุณหมอ”

เขาหัวเราะเสียงขลุกขลัก ขณะแนบแก้มกับโต๊ะ ตาเหลือกจ้องมองยามฉันลุกขึ้นสวมเสื้อโค้ท ซึ่งฉันก็จ้องกลับอย่างไม่วางตาเช่นกัน

แม้ภายในใจจะหนาวสั่นอย่างไม่อาจห้าม ฉันไม่เคยแนะนำตัวว่าเป็นหมอ เขาแค่เล่นแผลงจากมุกก่อนหน้า หรือเพราะเขารู้

สองตัวตนที่ยากทำความเข้าใจเมื่อจับแยก แต่สายใยที่ผูกเข้ากันกลับกระจ่างต่อสายตา ในเมื่อไม่มีเหตุให้อยู่ที่นี่อีกต่อไปแล้ว ฉันจึงเดินไปที่ประตูและเคาะ เสียงปลดล็อกดังก่อนจะพบสองผู้คุมและควินเซลที่กอดอกยืนรออยู่ ฉันหยุดตัวไว้ มองความหวานเชื่อมซึ่งซุกซ่อนในดวงตาของเธอ แล้วเหลียวมองตัวตลกแห่งก็อทแธมที่ปล่อยใจเกลือกกลั้วไปกับภาพมายาของคนที่ไม่มีตัวตนในที่แห่งนี้

สองสิ่งที่เห็นนั้นต่างก็ไม่ใช่ความรัก

กระนั้น ฉันยังสงสัย

“คุณเป็นคนเจ้าแผนการ” ฉันทิ้งท้าย “แต่การวิ่งไล่ตามโดยไม่มีเป้าหมาย ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ที่ได้มาครอบครองแล้วจะทำอย่างไรกับมัน...ก็เห็นบทสรุปได้ชัดเจนแล้วไม่ใช่เหรอ โจ๊กเกอร์”

เพียงเท่านั้น ฉันหันหลังจากมาโดยไม่เหลียวกลับไปมองแม้สักครั้งเดียว แม้ความสงสัยจะยังบิดเร่าในอก แม้ความอยากรู้อยากเห็นจะสุมอยู่ไม่เจือจาง

ฉันสงสัยนักว่าจะเป็นไปได้ไหม หากปลายทางของเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นจะไม่ได้มีเพียงหลุมดำมืดเท่านั้นที่รอคอยอยู่เบื้องหน้า


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น